หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 56 พิธีมหามงคลสมรส (1-2)
ส่วนใหญ่ในหมู่คนเหล่านี้ไม่ได้ปฏิบัติปี้กู่ ทว่าไม่กินสิ่งใดสิบวันครึ่งเดือนก็ยังไม่มีปัญหา แต่ไม่มีปัญหาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถูกคนยั่วให้น้ำลายไหลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่นานโจวจิ่นก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ดังขึ้นรอบตัว
เยี่ยนเสี่ยวซื่อโผล่หัวเล็กออกมาจากกระโจม เมื่อเห็นของกิน ดวงตาก็เป็นสีเขียว
นางเดินเข้ามา
ประมุขมารเขย่าม้านั่งเล็กออกมาจากแหวนเฉียนคุนให้นางนั่ง และถือร่มกันแดดขนาดใหญ่ไว้ข้างหลังนางไม่ให้ถูกแสงอาทิตย์
ทุกคนต่างไม่มีคำพูด
สหาย เจ้าคงย้ายบ้านทั้งหลังมาเลยกระมัง
ในสายตาประมุขมาร อุปกรณ์เช่นนี้ก็มีไว้ให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อได้พักผ่อนตอนกลางวัน หากใช้นอนตอนกลางคืนจริงๆ ก็ลำบากเยี่ยนเสี่ยวซื่อเกินไป
เยี่ยนเสี่ยวซื่อนั่งลงข้างประมุขมาร
ประมุขมารยื่นขาแพะย่างให้นาง
นางกัดกินอย่างดื่มด่ำ
ริมฝีปากแดงฟันขาวของนางกัดลงคำหนึ่ง แก้มเล็กเคี้ยวตุ่ย ไขมันเอ่อล้นออกจากมุมปาก ชวนให้ทุกคนรู้สึกหิวขึ้นมา
ประมุขศักดิ์สิทธิ์เหลือบมองประมุขมารด้วยความสับสน
อันที่จริงเขาก็มีอุปกรณ์ที่ใช้เก็บของ ทว่าภายในบรรจุด้วยอาวุธ อาวุธศักดิ์สิทธิ์และยารักษา ไม่ได้มีของใช้ในโลกีย์มากมายเช่นนี้
ในสายตาของเขา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญไม่ต้องการ แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อชอบมันมาก
“เจ้าก็มานั่งสิ” เยี่ยนเสี่ยวซื่อเห็นประมุขศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ จึงเขยิบไปด้านข้าง แบ่งม้านั่งครึ่งหนึ่งให้เขา
ประมุขมารเขย่าเก้าอี้ตัวใหม่ออกมาในหนึ่งวินาที!
ทุกคนถูกเยี่ยนเสี่ยวซื่อกินยั่วน้ำลาย หากเป็นเพียงกลิ่นของอาหารก็ไม่ลำบากนัก แต่เยี่ยนเสี่ยวซื่อกินอย่างหอมหวนเกินไป ไม่เคยเห็นสิ่งที่กินได้เช่นนั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญบางคนที่เบื่ออาหารก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที
เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าบากหน้าไปขอกิน หากเรื่องแพร่ออกไปพวกเขาจะกลายเป็นอะไร? ขอทานหรือคนพาลละ? เป็นคนพาลไม่เป็นไร แต่พาลเพราะเนื้อหนึ่งชิ้นเหมาะสมหรือ?
ยังต้องการศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่?
“สหายท่านนี้ ไม่เห็นหรือว่าทุกคนกำลังจดจ่อกับการล่าสมบัติ? พวกเจ้าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง?” ผู้บำเพ็ญเฒ่าคนหนึ่งกล่าว
เขาถูกยั่วน้ำลายที่สุด เพราะเขานั่งอยู่ใต้ลมของเยี่ยนเสี่ยวซื่อ กลิ่นจึงไหลเข้าจมูกเขาโดยตรง!
ปากที่แทะเนื้อของเยี่ยนเสี่ยวซื่อชะงัก
“เจ้ากินเถอะ ไม่เป็นไร” ประมุขมารเอ่ยเบาๆ
“โอ้” เยี่ยนเสี่ยวซื่อก้มลงกินต่อ
ประมุขมารมองเยาะเย้ยผู้บำเพ็ญเฒ่า “เราทำสิ่งใดไม่ค่อยเหมาะสม? ไม่ให้พวกเจ้าเอาสมบัติ? หรือไปฆ่าคนวางเพลิงที่ใด? เจ้าอยากกินก็พูดตรงๆ สิ ไยต้องอ้อมค้อมเช่นนี้?”
ยามได้ยินประโยคหน้า ผู้บำเพ็ญเฒ่าโกรธอยู่บ้าง ทว่าประโยคสุดท้ายถึงกับทำให้เขาหูตั้ง “เจ้า เจ้าจะแบ่งให้ข้าหรือ?”
ประมุขมารหยิบไก่ฟ้าย่างเดินไปหาเขา ยกมุมปากเอ่ย “แน่นอน…ไม่!”
เขายั่วเย้าผู้บำเพ็ญเฒ่าอย่างไม่ปรานี และจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ผู้บำเพ็ญเฒ่าแทบจะอกแตก!
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม! เจ้าอยากให้ข้าขายหน้า! รังแกคนเกินไปแล้ว! ระวังเถอะ!”
ผู้บำเพ็ญเฒ่าหยิบอาวุธศักดิ์สิทธิ์กระบองลูกตุ้มออกมาโจมตีใส่ประมุขมาร
ประมุขมารไม่แม้แต่ยกเปลือกตา สะบัดแขนเสื้อส่งไอมารด้วยหลังมือตบผู้บำเพ็ญเฒ่าจนกระเด็น
ทุกคนผงะตะลึง
แม้ผู้บำเพ็ญเฒ่าจะเป็นผู้บำเพ็ญธรรมดาๆ แต่ก็บรรลุถึงระดับสูงจนน่าทึ่ง ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้ามาเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ระดับของเขาอยู่เหนือบุรุษชุดดำผู้นี้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายล้มลงอย่างง่ายดาย
นี่ นี่ก็เกินไป…
“เขาเป็นเผ่ามาร!”
มีเสียงคนตะโกนดังมาจากฝูงชน
ทุกคนเริ่มตระหนักขึ้นมาตามๆ กัน พลังเมื่อครู่นี้ดูไม่คุ้นเลยจริงๆ แต่ถ้าแยกแยะให้ดี พลังนั้นมิใช่ไอมารหรอกหรือ?
“มีคนเผ่ามารบุกเข้ามา! ทุกคนรีบฆ่ามันเร็ว!”
ฝูงชนรีบรุดไปข้างหน้าล้อมทั้งสามไว้
เยี่ยนเสี่ยวซื่อวางขาลูกแพะที่กินไปครึ่งหนึ่ง มองประมุขมารอย่างงุนงง “ท่านพี่เสี่ยวเจา เจ้าเป็นคนเผ่ามารหรือ?”
ร่างกายทรงพลังวางอำนาจของประมุขมารแข็งทื่อ
ยามที่กลุ่มคนรุมเข้าหาเขา เขาไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าการฆ่าฟัน หลายปีที่ผ่านมาเขายังเผชิญการฆ่าฟันน้อยไปหรือ?
ทว่าคำพูดเดียวของเยี่ยนเสี่ยวซื่อทำให้หัวใจของเขาเต้นรุนแรง
เมื่อครู่ประมาทไปจริงๆ ทำให้คนมองเห็นตัวตนมารของเขา
นาง…นางจะดูหมิ่นเขาและเป็นศัตรูกับเขาหรือไม่?
ประมุขศักดิ์สิทธิ์มองเยี่ยนเสี่ยวซื่อด้วยดวงตาซับซ้อน
เขากับประมุขมารไม่ได้สนิทสนมกัน หากคนพวกนี้จะฆ่าเขา ก็คงไม่เข้าไปช่วยให้มากเรื่องมากราว
เว้นแต่——
สายตาของประมุขศักดิ์สิทธิ์มองเยี่ยนเสี่ยวซื่อที่อยู่ข้างกาย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อวางขาแพะกลับบนตะแกรง ลุกขึ้นยืนเบาๆ
ตุบ!
หินก้อนหนึ่งตกลงบนไหล่ของประมุขมาร เขาไม่ได้หลบ แต่ประหม่ามองเยี่ยนเสี่ยวซื่ออยู่อย่างนั้น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อหลับตาลง
ในมือประมุขมารยังถือไก่ฟ้าที่เสียบไม้ไว้เรียบร้อย
เขากำไม้ในมือแน่น
เยี่ยนเสี่ยวซื่อดึงกริชออกจากเอวเงียบๆ พุ่งไปยังประมุขมาร
ประมุขมารหลับตาลง ไม่คิดหลบแม้แต่น้อย
ทว่าความเจ็บปวดที่จินตนาการกลับไม่ได้เกิดขึ้น กริชนั้นผ่านหูของเขาไป ฟาดฟันดาบยาวที่จะลอบทำร้ายประมุขมาร
ดาบยาวถูกทำลาย กริชแทงเข้าที่หน้าอกผู้ลอบโจมตี
“อ๊า——” ผู้ลอบโจมตีกรีดร้องเหาะหนีไป ล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ประมุขมารเบิกตากว้าง หันกลับไปมองผู้บำเพ็ญผู้นั้น และหันมองเยี่ยนเสี่ยวซื่ออย่างไม่เชื่อสายตา
เยี่ยนเสี่ยวซื่อแย้มยิ้ม “เจ้าเป็นคนเผ่ามาร แต่เจ้าก็เป็นท่านพี่เสี่ยวเจาของข้าเช่นกัน!”
หัวใจของประมุขมารพลันซาบซึ้งสุดหัวใจ “เจ้าทำเช่นนี้…จะเป็นศัตรูกับทุกคนหรือ?”
ธรรมะอธรรมไม่อาจอยู่ร่วมกัน นี่คือความจริงชั่วนิรันดร์ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีเส้นทางผ่านสองทาง ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้บำเพ็ญมารควรย่างกราย
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยักไหล่เอ่ยว่า “หากวันนี้คนที่พวกเขาจะจัดการคือข้า ท่านพี่เสี่ยวเจาจะทิ้งข้าไว้ข้างหลังหรือ?”
“ไม่มีทาง” เพื่อเจ้า ข้าพร้อมเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก
เยี่ยนเสี่ยวซื่อยิ้มหวาน “เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางทิ้งท่านพี่เสี่ยวเจา!”
ประมุขมารก้าวไปข้างหน้าลูบแก้มของนางเบาๆ “ตกลง”
ประมุขศักดิ์สิทธิ์เบือนหน้าหนีอย่างเฉยเมย
ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกอย่างเป็นทางการ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามาร่วม” ประมุขมารเอ่ยกับประมุขศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเผชิญหน้ากับศัตรู “พวกเขาล้วนเป็นสหายสายเดียวกับเจ้า”
ประมุขศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดอะไร เพียงใช้ดาบสังหารผู้บำเพ็ญไร้สำนักที่ลอบโจมตีเยี่ยนเสี่ยวซื่อ
เมื่อเห็นเลือดที่ไหลนองพื้น คิ้วประมุขมารก็ขมวดเล็กน้อย
ความโหดเหี้ยมของเจ้านี่รุนแรงถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่ตนไม่รู้?
ห่างไกลออกไป ปรมาจารย์เซียนจิ่วเฉาแห่งต้าโจวไม่รู้เลยว่าบุตรสาวที่รักของเขาถูกบุรุษตัวเหม็นสองคนลักพาตัวไป เถี่ยตั้นน้อยใกล้แต่งงานแล้ว ดังนั้นเขาจึงพาอวี๋หวั่นกลับไปต้าโจว
ยามนี้ทั้งสองอายุได้สามสิบแล้ว แต่อายุที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทิ้งร่องรอยให้ทั้งสองมากนัก กลับกัน พิธีล้างบาปตามวัย ยิ่งทำให้คนทั้งสองมีเสน่ห์ที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ปีนี้เถี่ยตั้นน้อยก็อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว
องค์ประมุขได้แต่งตั้งอวี๋เซ่าชิงเป็นกั๋วกง[1] บัดนี้เถี่ยตั้นน้อยก็เป็นกั๋วกงซื่อจื่อ
ทว่าตัวตนของเขาไม่ได้เป็นเพียงกั๋วกงซื่อจื่อเท่านั้น เขายังเป็นเหลนชายขององค์ประมุข องค์ประมุขแต่งตั้งเขาเป็นองค์ชายน้อยแห่งหนานจ้าวตั้งแต่อายุสิบปี
คนที่ถูกแต่งตั้งเป็นองค์ชายน้อยเช่นเดียวกับเขายังมีน้องชายคนเล็ก โก่วตั้นที่อายุน้อยกว่าเยี่ยนเสี่ยวซื่อหนึ่งปี
ใช่แล้ว ชื่อเล่นที่ตั้งให้เยี่ยนเสี่ยวซื่อในยามนั้นไม่ได้ใช้ ต่อมามารดาก็คลอดบุตรอีกคน เถี่ยตั้นน้อยจึงยก (ยัด) ชื่อนี้ให้เขา
คู่หมั้นของเถี่ยตั้นน้อยคือองค์หญิงจิ่วแห่งต้าโจว
เขากับองค์หญิงจิ่วได้พบกันที่ต้าโจว ยามนั้นเขายังเด็ก อาศัยอยู่ในจวนคุณชายของพี่สาวและพี่เขย องค์หญิงจิ่วเป็นบุตรีบุญธรรมของฮองเฮา ฮองเฮาปฏิบัติต่อองค์หญิงจิ่วไม่ดี ท่านพี่ของเขาจึงรับนางมาอยู่ที่จวน
เขาไม่เคยเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ราวกับดอกตูมบานสดใสขึ้นในหัวใจหนุ่มของเขา
เมื่อต้นปี เขาขอองค์หญิงจิ่วแต่งงานอย่างเป็นทางการ
องค์หญิงจิ่วอายุเท่าเขา ตามความเห็นสองประเทศ นางเป็นสาวแก่แล้ว ยามแรกองค์ประมุขกับฮูหยินผู้เฒ่าจึงไม่เห็นด้วย
ไม่เพียงเพราะองค์หญิงจิ่วแก่ลง แต่ยังเพราะองค์หญิงจิ่วเป็นหญิงม่ายด้วย
สามีขององค์หญิงจิ่วถูกเขายิงตายกับมือ
…………………………………………
[1] กั๋วกง คือ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์สำหรับเชื้อพระวงศ์ชาย ขั้น 1 ชั้นรอง เป็นตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับพระโอรสในองค์จักรพรรดิทุกพระองค์