หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 58 พิธีมหามงคลสมรส (3)
องค์หญิงจิ่วกำลังนั่งบนชิงช้าด้วยสีหน้าหมดอาลัย
ที่แท้ที่เขาบอกให้นางขยับตัวเอง ก็หมายถึงขยับตัวเองจริงๆ แต่จะขยับตัวอย่างไรละ?
“ขยับ…ขยับไม่ได้”
นางเอ่ยอย่างอ่อนแรง
นางผอมเกินกว่าจะแกว่งบนชิงช้าด้วยตัวเอง
“คนโง่!” เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยในใจ แค่ลุกขึ้นเดินไปสองสามก้าว แล้วก็นั่งลงออกแรงแกว่งชิงช้าทำไม่ได้หรือ?
แม้ในหัวจะคิดไร้สาระเช่นนี้ ทว่ากลับเดินอ้อมไปข้างหลังองค์หญิงจิ่ว แล้วยื่นมือออกมา “จับแน่นๆ นะ”
“อื้ม” องค์หญิงจิ่วคว้าเชือกชิงช้าไว้แน่น
เถี่ยตั้นน้อยผลักเบาๆ นางถูกแกว่งขึ้นไป
นางโบยบินบนท้องฟ้า สายลมปะทะหน้า รู้สึกถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย ความทรงจำที่ถูกลืมเลือน คล้ายกับน้ำเดือดที่ผุดขึ้นในใจของนาง
“ข้า…ข้านึกถึงบางอย่าง…” นางเอ่ยอย่างประหม่า
ลมหายใจเถี่ยตั้นน้อยหยุดชะงัก เขารีบหยุดชิงช้า จ้องมองนาง “เจ้านึกอะไรได้รึ?”
“ชิงช้า…ชิงช้าที่จวนคุณชาย” องค์หญิงจิ่วย้อนนึกถึงอดีต
เถี่ยตั้นน้อยดีใจมาก ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันคือที่จวนคุณชาย หากเอ่ยให้ถูกต้องคือวังหลวง ทว่ายามนั้นพวกเขาต่างไม่ได้สนใจกันและกัน เถี่ยตั้นน้อยจึงคิดว่าข้างชิงช้าจวนคุณชายเป็นครั้งแรกของทั้งสอง
“นอกจากชิงช้า มีอะไรอีก?” เถี่ยตั้นน้อยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
องค์หญิงจิ่วคิดอย่างพินิจ “ผู้สำเร็จราชการ พระชายา แล้วก็เยี่ยนอ๋อง”
เถี่ยตั้นน้อยตื่นเต้นไม่หยุด “อะไรอีก?”
“แล้ว…แล้วก็…” องค์หญิงจิ่วพยายามนึกย้อนกลับไป “อ้า แล้วก็…”
เถี่ยตั้นน้อยร่างสั่นสะท้านนาง!
“หลานชายสามคนของเจ้า” องค์หญิงจิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไข่ดำน้อย ยามนี้พวกเขายังดำอยู่หรือไม่?”
บัดนี้หลานชายยังดำอยู่หรือไม่ เขาไม่รู้ แต่ใบหน้าของเขาเป็นสีดำแล้ว
รอครึ่งวัน นึกออกเพียงคนอื่น คนที่ผลักชิงช้าให้นางคือตนแท้ๆ!
เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเขา องค์หญิงจิ่วก็ก้มหน้าด้วยความละอาย “ข้าขอโทษ…ข้า…ข้ายังจำเจ้าไม่ได้…”
อันที่จริงนางโกหก นางนึกถึงใครสักคนได้ แต่ก็นานมากแล้วนางจึงไม่ค่อยแน่ใจ เชื่อว่าซื่อจื่อก็คงไม่มีข้อบกพร่องอะไร แต่นางก็ไม่ได้โกหกไปเช่นนั้น
นางโกหกไม่เก่ง
เถี่ยตั้นน้อยสูดหายใจเข้าลึก “ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าไปที่อื่น!”
องค์หญิงจิ่วเดินตามไปอย่างล่องลอย
ไม่ไปก็ไม่ได้ นางไม่อาจเอาชนะเขา
คราวนี้เถี่ยตั้นน้อยพาองค์หญิงจิ่วไปยังจวนผู้ใต้บังคับบัญชา ภรรยาผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นเพิ่งให้กำเนิดทารก ยังไม่ครบหนึ่งเดือน
หลังจากสตรีทั้งสองทักทายกัน เถี่ยตั้นน้อยก็พาองค์หญิงจิ่วเข้าไปในห้อง มาที่เปล และชี้ทารกที่นอนหลับอยู่ในห่อผ้า “เจ้าเข้าไปที่จวนคุณชายไม่นาน พี่สาวของข้าก็คลอดบุตร เจ้ายังจำได้หรือไม่?”
ตอนแรกองค์หญิงจิ่วส่ายหน้า ต่อมาจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“ตกลงว่าจำได้หรือไม่ได้กัน?” เถี่ยตั้นน้อยเกาศีรษะอย่างร้อนใจ
หากเอ่ยถึงความทรงจำเรื่องพระชายาผู้สำเร็จราชการให้กำเนิดบุตร องค์หญิงจิ่วก็มีอยู่ ทว่าไม่ได้มาจากความทรงจำของตนเอง แต่หลังจากกลับเข้าวัง คนในวังก็เล่าให้นางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดังนั้นนางจึงรู้ว่าตนเคยพบแม่นางน้อยแห่งจวนผู้สำเร็จราชการมาก่อน
เถี่ยตั้นน้อยทอดถอนใจด้วยความผิดหวัง “เรื่องนี้เจ้าก็จำไม่ได้หรือ?”
องค์หญิงจิ่วจ้องมองทารกในห่อผ้า ทันใดนั้นทารกก็ร้องไห้ออกมา องค์หญิงจิ่วตื่นตระหนก มีบางอย่างกระตุ้นสมองนาง
“เกิดอะไรขึ้น? นึกออกแล้วใช่หรือไม่?” เถี่ยตั้นน้อยมองดูท่าทางประหลาดของนาง อดไม่ได้ที่จะบอกนางว่า ยามนั้นท่านพี่คลอดบุตร คนทั้งจวนต่างมีความสุข องค์หญิงจิ่วอยากไปดูทารกมาก แต่นางไม่กล้า เขาจึงจูงมือนาง แล้วยังให้นางอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อด้วย
เขายังจำท่าทางงุนงงปนประหม่าของนางยามอุ้มเยี่ยนเสี่ยวซื่อได้ ช่างน่ารักยิ่งนัก
“ดูเหมือนข้าได้…อุ้มนาง” องค์หญิงจิ่วมองที่มือของตน พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิด
“ใช่ ใช่แล้ว!” เถี่ยตั้นน้อยพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม!
“อะไรอีก?” เขาถาม “ผู้ใดให้เจ้าอุ้ม?”
องค์หญิงจิ่วส่ายหน้า
จำไม่ได้
เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกท้อแท้หมดหวัง
ทุกคนในจวนคุณชาย นางล้วนจำได้ แล้วเหตุใดถึงจำเขาไม่ได้คนเดียว?
เขารู้สึกล้มเหลวมาก และปวดใจมากเช่นกัน
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลง สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย
เมื่อองค์หญิงจิ่วเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายลำบาก นางลังเล ก่อนจะใช้สองนิ้วเรียวยาวดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ “ข้าขอโทษ…”
เถี่ยตั้นน้อยร่าเริงขึ้นอีกครั้งและฉีกยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้นาง “ไม่เป็นไร! ยามนั้นเจ้ายังเด็ก อายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบ จำไม่ได้ก็ไม่แปลก!”
“แต่ข้าจำพวกเขาได้ มีเพียงเจ้าที่จำไม่ได้…” องค์หญิงจิ่วก้มหน้า นางไม่ได้สูญเสียความทรงจำ แต่นางโตขนาดนี้ จะจำเรื่องในวัยหกเจ็ดขวบไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ทว่าไม่รู้เหตุใด ในใจกลับทรมานอย่างประหลาด
อาจเพราะนางเคยชินกับความเฉยเมยของคนอื่น รู้สึกว่าตนควรเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้งและลืมเลือน ทว่าบัดนี้กลับตาลปัตร นางรู้สึกว่าตนไม่ได้เรื่องเกินไป
เอ่ยตามตรง นางดูถูกตนเองมาก ไม่คิดว่าตนคู่ควรที่จะถูกจดจำ
เมื่อเถี่ยตั้นน้อยเห็นองค์หญิงจิ่วอารมณ์ดิ่งลงอีกครั้ง ก็คิดว่านางหวาดกลัวตัวเอง รีบร้อนเกาหัวเอ่ย “ไอ้หยา ข้าไม่ได้คิดจะตำหนิเจ้า…เจ้าไม่ต้องกลัว…เจ้าหิวหรือไม่? ข้าขอเชิญเจ้าไปกินอาหาร เป็นการไถ่โทษ!”
องค์หญิงจิ่วไม่ได้ตอบว่าหิวหรือไม่ แต่เถี่ยตั้นน้อยก็ยังพานางไป
ที่ที่ไปเป็นร้านอาหารเจ้าเก่าอายุร้อยปี
“ข้าจะบอกเจ้า ฝูหยวนจื่อที่นี่เป็นสูตรที่สืบต่อรุ่นสู่รุ่น อร่อยมากเลยนะ! องค์ประมุขเคยพาข้าไปกินครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นข้าก็มาทุกเดือนเลย!” เถี่ยตั้นน้อยกับองค์หญิงจิ่วนั่งอยู่ในมุมที่เงียบสงบ ล่วงเลยเวลามื้ออาหารมาแล้ว ผู้คนจึงไม่เยอะ เขาสั่งฝูหยวนจื่อสองชาม
องค์หญิงจิ่วชิมคำหนึ่ง “นี่ไม่ใช่แค่…ทังหยวนหรอกหรือ?”
“ก็ใช่ แต่รสชาติละเอียดอ่อนกว่า”
“อื้ม” องค์หญิงจิ่วก็คิดเช่นนั้น ทังหยวนในเมืองหลวงรสชาติเข้มข้นกว่า เหนียวนุ่มกว่าหน่อย มีลักษณะเป็นเม็ดบดเล็กๆ นางชอบมันมาก แต่ฝูหยวนจื่อที่นี่ละเอียดอ่อนจนละลายในปาก และหวานเกินไป อันที่จริงนางไม่คุ้นเคยนัก
“ไม่อร่อยหรือ?” เถี่ยตั้นน้อยถาม
“หวานไป” องค์หญิงจิ่วกล่าว
“สตรีอย่างพวกเจ้าไม่ชอบกินหวานกันหรือ?” เถี่ยตั้นน้อยถามอย่างงุนงง
องค์หญิงจิ่วส่ายหัวเล็กน้อย “มามาไม่ให้ทานหวานเกินไป บอกว่าจะอ้วนได้”
“เช่นนั้นเจ้าลองชิมหมูทอดของพวกเขาสิ! ไม่เลวทีเดียว!” เถี่ยตั้นน้อยสั่งหมูทอดราดพริกมาจากหนึ่ง
องค์หญิงจิ่วไม่ขยับตะเกียบ
“เจ้าไม่ชอบหมูทอดหรือ?” เถี่ยตั้นน้อยถาม
องค์หญิงจิ่วมองดูพริกบนจาน แล้วจับแก้มของตน “รสเผ็ด อาจทำให้เกิดสิว”
ครั้งหนึ่งนางทานพริกมาก มีสิวเล็กๆ สองเม็ดขึ้นบนหน้า นางถูกมามาตำหนิอยู่นาน
มามาบอกว่า เป็นองค์หญิง ต้องรักษาใบหน้าให้งดงาม
เถี่ยตั้นน้อยกะพริบตามองนาง “เจ้ากลัวเป็นสิว?”
องค์หญิงจิ่วหลุบตาลง “มันน่าเกลียด”
เถี่ยตั้นน้อยหลุดหัวเราะออกมา “ถึงเจ้าน่าเกลียดข้าก็ไม่รังเกียจ!”
จากนั้นเขาก็คีบหมูทอดชิ้นหนึ่งให้นาง “กินเถอะ!”
องค์หญิงจิ่วกัดริมฝีปาก ก่อนจะกินหมูทอดในชาม ภายใต้สายตาที่ให้กำลังใจจากเถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยว่า “ยังมีฝูหยวนจื่ออีก เจ้าไม่ต้องกลัวอ้วน! ข้ารักสตรีอวบอ้วน!”
องค์หญิงจิ่วตกตะลึง
เถี่ยตั้นน้อยมองร่างผ่ายผอมของนางในยามนี้ กลืนน้ำลายแล้วเอ่ยว่า “เอ่อ…ข้าหมายถึง…หากเจ้าผอม ข้าก็ชอบคนผอม แต่หากเจ้าอ้วน ข้าก็ชอบคนอ้วน!”
องค์หญิงจิ่วกินอย่างเงียบๆ
เถี่ยตั้นน้อยให้คนไปซื้ออาหารคาวหวานดีๆ ในละแวกนั้นมาอีกสองสามอย่าง
จานหลักของร้านนี้คือฝูหยวนจื่อ กระทั่งหมูทอดก็เพิ่งเริ่มวางขาย ในอาหารที่เถี่ยตั้นน้อยให้คนไปซื้อมีหมูตงปอ ปริมาณเนื้อกับไขมันเท่าๆ กัน สัมผัสนุ่มละมุนลิ้น รสชาติเค็มหวานปานกลาง องค์หญิงจิ่วกินอย่างเพลิดเพลิน
เถี่ยตั้นน้อยไม่ได้กินอะไรมาก นี่เรียกกันว่างดงามจนลืมหิว เขาดูนางกินก็อิ่มเอมมากแล้ว
“เหตุใดเจ้า…เอาแต่มองข้า? ข้ากินมากเกินไปหรือ?” เมื่อองค์หญิงจิ่วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเถี่ยตั้นน้อยจ้องมองตนไม่วางตา จนประหม่าเล็กน้อย
เถี่ยตั้นน้อยรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ เจ้าอย่าเข้าใจผิด!”
ซื่อจื่อผู้เอาแต่ใจ หลังจากรู้ว่าองค์หญิงจิ่วมีความกล้าหาญเล็กน้อยเช่นนี้ ก็กลายเป็นบุรุษสดใสบ้องแบ๊วในพริบตา
“อะแฮ่ม” เถี่ยตั้นน้อยกระแอมในลำคอ “ข้าอยากถามเจ้าว่า เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”
องค์หญิงจิ่วไม่ตอบทันที แต่หยุดชะงักและเอ่ยว่า “อันที่จริง หากเจ้าแต่งงานกับข้า เพื่อชดเชยสามีให้ข้า ไม่จำเป็นหรอก ข้าไม่ได้ชอบเขา”
“หือ?” คำพูดนั้นทำให้เถี่ยตั้นน้อยตื่นเต้น “อะ…อะไรคือไม่ชอบเขา? เหตุใดเจ้าถึงไม่ชอบเขาละ?”
องค์หญิงจิ่วเหลือบมองเขาและกระซิบเบาๆ “เขาน่าเกลียดเหมือนกับเจ้า”
เถี่ยตั้นน้อย “…?!”
นี่ข้า…ควรจะดีใจหรือเสียใจดี?
องค์หญิงจิ่วหัวเราะดังลั่น “หยอกเจ้าน่ะ”
คราวนี้ เถี่ยตั้นน้อยรู้สึกว่าหัวใจของตนตกใจจนแทบหยุดเต้น
องค์หญิงจิ่ววางตะเกียบลง หัวเราะอย่างขมขื่น มองเข้าไปในดวงตาของเถี่ยตั้นน้อยอย่างกล้าหาญ “ข้าไม่ชอบเขา แล้วก็ไม่ได้อยากแต่งไปอยู่ซยงหนู ในคืนแรกของวันสมรส เขาก็เริ่มพาข้าหนีแล้ว ตาของเขาวางแผนจะตัดนิ้วข้าเพื่อข่มขู่ทหารต้าโจว แต่เขาไม่ทำ พวกเจ้าทุกคนคิดว่าข้าควรรู้สึกขอบคุณเขา แต่ข้าก็ยินดีไม่ลง หากเขาต้องการให้ข้าออกจากเรื่องนี้จริง ก็ไม่ควรพาข้าไปตั้งแต่แรก
ข้าพยายามแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง เหมือนเช่นยามที่ข้าอยู่ในวังเมื่อหลายปีก่อน เช่นนี้เขาจึงไม่อาจทนลงมือกับข้าได้ แต่มิใช่เขาทำไม่ลงจริงๆ เพียงแต่คิดว่ายังไม่ถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับ หากถึงเวลานั้นแล้ว เขาก็คงตัดนิ้วข้าได้โดยไม่ลังเล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของเถี่ยตั้นน้อยปวดร้าว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางผ่านอะไรมาบ้าง
ไม่มีผู้ใดรู้ถึงความหวาดกลัวของนาง ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงความสิ้นหวังของนาง
กระทั่งหลังจากเหตุการณ์นั้น นางก็ยังต้องไว้ทุกข์ให้ไอ้สารเลวที่ ‘เคยปกป้องนางจากตา’ เป็นเวลาสามปี
นางต้องไว้ทุกข์ให้เขาด้วยความรู้สึกเช่นไร?
ยามนี้เถี่ยตั้นน้อยเกลียดตัวเองที่ยิงเร็วและแม่นยำเกินไป ไอ้สารเลวนั่นไม่ควรตายด้วยธนูเพียงดอกเดียว ควรถูกฟันเป็นพันครั้งหมื่นครั้ง บดขยี้กระดูกเป็นผุยผง!
องค์หญิงจิ่วกล่าวว่า “ข้าขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยฉุดข้าขึ้นจากหลุม เจ้าไม่ได้เป็นหนี้อะไรข้าเลย ข้าต่างหากเป็นหนี้เจ้า…เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาตนเองมาชดเชยให้ข้า…”
“เช่นนั้นเจ้าก็ชดเชยให้ข้าสิ” เถี่ยตั้นน้อยขัดจังหวะนาง
“อะไรนะ?” องค์หญิงจิ่วผงะอีกครั้ง
เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเจ้าเป็นหนี้ข้า? เช่นนั้นเจ้าเตรียมสิ่งใดมาตอบแทนข้าละ?”
“ข้า…”
เถี่ยตั้นน้อยฮึดฮัด “ไม่อาจตอบแทนใช่หรือไม่? เช่นนั้นมอบหัวใจให้ข้าได้หรือไม่?”
องค์หญิงจิ่วบีบผ้าเช็ดหน้า เบือนหน้า แล้วเอ่ยว่า “อย่างเจ้า สามารถแต่งงานกับองค์หญิงที่ดีกว่านี้ได้”
เถี่ยตั้นน้อยกุมมือนาง มองใบหน้าด้านข้างที่ไม่เต็มใจหันกลับมาอย่างแน่วแน่ และเอ่ยคำเว้นคำ “ข้าไม่ได้ชอบองค์หญิง เพียงแต่คนที่ข้าชอบ บังเอิญเป็นองค์หญิง”
ฝ่ามือขององค์หญิงจิ่วเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
เถี่ยตั้นน้อยแววตามุ่งมั่น “เจ้าแสร้งเชื่อฟังต่อหน้าเขา คงแสร้งขี้ขลาดต่อหน้าข้าด้วยกระมัง? เจ้าไม่ได้กลัวข้าสักนิด เจ้าแค่ต้องการทดสอบข้า”
องค์หญิงจิ่วราวกับถูกไฟเผาแก้ม “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากับข้าเคยรู้จักกันมาก่อน”
“เช่นนี้ยามนี้เจ้ารู้หรือยัง?” เถี่ยตั้นน้อยกุมมือนางแน่น
องค์หญิงจิ่วกัดริมฝีปากไม่เอ่ยอะไร
“ข้าจะส่งเจ้ากลับ” เถี่ยตั้นน้อยลุกขึ้นยืน
“กลับ…ที่ใด?” องค์หญิงจิ่วหันกลับมา เงยหน้ามองเขา
เถี่ยตั้นน้อยเอ่ยว่า “รถม้าไง ขบวนรับตัวเจ้าสาวใกล้ถึงหมิงตูแล้ว จะสายไม่ได้ ทำไมรึ? เจ้าคิดว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปที่ต้าโจวหรือ?”
องค์หญิงจิ่วกะพริบตา ไม่เอ่ยอะไร
เถี่ยตั้นน้อยส่งคนไปถึงที่ตั้งค่ายแล้ว “ไปกันเถอะ”
องค์หญิงจิ่วดึงมือเล็กที่เขาจูงกลับมาแล้วเดินไปขึ้นรถม้า
เถี่ยตั้นน้อยจ้องมองด้านหลังนางแน่นิ่ง หวังว่านางจะหันมามองเขาสักครั้ง ทว่าก็ต้องผิดหวัง นางเดินไปถึงหน้ารถม้าแล้ว
เขาหลุบตาลง ใช้เท้าเตะก้อนหินข้างทาง
ทันใดนั้นองค์หญิงจิ่วก็หันกลับมา ยกกระโปรงวิ่งไปหาเขา ราวกับนกนางแอ่นอรชรโผบิน จุ๊บลงที่แก้มของเขาอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตาตกตะลึงของเขา
เถี่ยตั้นน้อยตกใจนิ่งอึ้ง!
องค์หญิงจิ่วหน้าแดงวิ่งกลับไป วิ่งไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย “ถึงแม้ว่าข้าจะจำเรื่องราวในวัยเด็กไม่ได้ แต่สามปีที่แล้วที่เจ้าปรากฏตัวบนม้าชั้นสูงตัวหนึ่งต่อหน้าข้า ข้าก็รู้ว่า วีรบุรุษของข้ามาแล้ว…”
………………………