หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม - บทที่ 7 หาอาหาร
หลังจากที่นกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินเข้าไปในช่องบนกำแพงแล้ว ก็บินออกมาจากถ้ำ แต่สิ่งที่ทำให้ต้าเป่ารู้สึกแปลกใจก็คือ ตอนที่พวกเขาเข้ามาที่นี่เป็นช่วงเที่ยงวัน พวกเขาใช้เวลาไปนานเท่าไรกัน เมื่อออกมาฟ้าก็มืดเสียแล้ว?
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ตัวสูงใหญ่ บินได้รวดเร็ว มิใช่ว่ามันแบกผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กอีกสี่คนไม่ไหว แต่ต้าเป่าให้มันทำเช่นนั้น
ต้าเป่าต้องการสำรวจพื้นที่ เพื่อดูว่าพวกเขามาที่ใด
โชคดีที่พวกเขาเข้าเรียนมาพักใหญ่ อีกทั้งเยี่ยนอ๋องยังพาพวกเขาออกไปท่องเที่ยวและเรียนรู้ เพราะฉะนั้นต้าเป่าจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับพื้นที่ในเมืองหลวง
หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในถ้ำ พวกเขาก็ใช้เวลาเดินอยู่พักใหญ่ บางทีอาจเดินออกมาจากสำนักบัณฑิตแล้วก็เป็นได้ แต่ยังไม่น่าออกมาจากเมืองหลวง ทว่าเมื่อพิจารณาลักษณะภูมิประเทศโดยรอบแล้ว ที่นี่ไหนเลยจะเหมือนเมืองหลวง นี่มันเป็นป่าบนภูเขาดีๆ นี่เอง
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ต้าเป่าก็ไม่เข้าใจ
ต่อให้ต้าเป่าจะฉลาดเฉลียว แต่เขาก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงเรื่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับเขา เพราะฉะนั้นสำหรับเขาแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงสถานที่แห่งหนึ่ง
ด้านล่างของเทือกเขานั้นเงียบสงัด มีเสียงของสัตว์ป่าดังขึ้นเป็นครั้งคราว ต้าเป่าพบทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งอยู่เบื้องล่าง เขาตบหลังของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์เบาๆ เพื่อบอกให้มันพาพวกเขาลง
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ลดระดับลง แล้วโยนชายชราลงก่อนแตะถึงพื้น
ชายชราหน้าคะมำ เกือบต้องกินดินเสียแล้ว
กระนั้น ต้าเป่าก็พบว่าแม้ว่าชายชราจะอายุอานามใกล้เคียงกับอาม่าและหมอชุย แต่ร่างกายก็แข็งแกร่งกว่าทั้งสองมาก เพราะเขาเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์เหมือนกับปรมาจารย์ซือคง
ดังนั้นต้าเป่าจึงไม่ได้เป็นห่วงว่าเขาจะกระดูกกระเดี้ยวหักแต่อย่างใด
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ปล่อยเด็กๆ ลงอย่างอ่อนโยน มันค่อยๆ แตะลงบนพื้น กางปีกเบาๆ ต้าเป่าไถลงมาจากปีกของมัน
ต้าเป่าไม่ได้จับน้องชายซึ่งกำลังหลับสนิทลงมา นอนอยู่บนหลังของนกหลวนก็ดีเหมือนกัน ทั้งอบอุ่นทั้งนุ่มสบาย
ต้าเป่าหยิบปากกาออกมา
กระดาษที่เขาใช้เขียนหนังสือนั้น อวี๋หวั่นทำด้วยตนเอง ชั้นล่างเป็นกระดานไม้ บนกระดานไม้มีกระดาษขนาดใหญ่ประมาณตำราถูกตอกติดไว้ และมีชั้นเหล็กยึดให้แน่น ปากกาทำจากแท่งถ่านนั้นก็ถูกอวี๋หวั่นดัดแปลงด้วยการสวมปลอกโลหะเข้าไป ติดด้วยเส้นด้ายและตัวหนีบโลหะ หากไม่ได้เขียน ก็สามารถเก็บปากกาถ่านไว้ด้านข้างแผ่นไม้ได้ เขียนเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะทำหาย
ต้าเป่าเขียนว่า ‘ที่นี่คือที่ไหน’
ชายชราบ้วนเศษดินในปากออกมา “ทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือที่ไหน’
ต้าเป่าเขียนต่อ
ชายชราเริ่มหมดความอดทน “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ จะเป็นที่ไหนไปได้ เจ้าอายุเท่าไรแล้ว แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยได้ยินชื่ออีกหรือ”
ในโลกที่ชายชราคุ้นเคยนั้น ทุกคนล้วนรู้จักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็เหมือนกับที่คนต้าโจวทุกคนเคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองหลวงนั่นละ ดังนั้นเด็กที่รอบรู้อย่างเขา ไฉนจึงไม่รู้จักดินแดนศักดิ์สิทธิ์เล่า
ความจริงก็คือ ต้าเป่าไม่รู้จักจริงๆ
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเป่าก็ลุกขึ้นมาขยี้ตาเบาๆ เขามองไปยังผ้าที่ผูกอยู่บนหน้าท้องของตน แล้วมองไปยังเอ้อร์เป่า รวมไปถึงต้าเป่ากับน้องเล็กซึ่งอยู่บนพื้น ต่อให้สิ่งที่เขาเผชิญอยู่จะไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ต้าเป่า ข้าหิว” เสี่ยวเป่าบอก
“ข้าก็หิว” เอ้อร์เป่าก็ตื่นแล้วเช่นกัน
วันนี้พวกเขาใช้กระเป๋าใส่เยี่ยนเสี่ยวซื่อ จึงไม่ได้นำอาหารติดมาด้วย ต้าเป่าท้องร้องดังโครกคราก ข้าก็หิวเหมือนกัน
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์กางปีกออก มันเดินไปหาต้าเป่า ใช้หูแนบกับท้องของต้าเป่า เมื่อมั่นใจว่าตนได้ยินเสียงโครกครากนั้นจริง มันก็กระพือปีก เพื่อบอกว่ามันออกไปหาอาหารให้ได้!
ต้าเป่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจว่าให้ทุกคนไปด้วยกัน
ต้าเป่าคิดแล้วว่า ถ้าหากให้นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ไป เขาก็ยังไม่ไว้ใจในคำพูดของชายชรา เขาไม่อยากอยู่กับอีกฝ่ายโดยลำพัง จึงบอกให้นกหลวนศักดิ์สิทธิ์พาพวกเขาไปด้วยกันทั้งหมด แต่ที่นี่ไม่ใช่ถ้ำ หากแต่เป็นกลางป่าเขา หากพวกเขาอยู่ด้วยกันสี่คน อาจเผชิญกับอันตรายเมื่อใดก็ได้
สรุปแล้ว วิธีที่ดีที่สุดก็คือพวกเขาทุกคนไม่ออกห่างจากนกหลวนศักดิ์สิทธิ์
ต้าเป่าแบกน้องสาว แล้วขึ้นไปบนหลังของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์
ชายชราลูบเอวอันปวดเมื่อยของตนเองเบาๆ “ครั้งนี้ข้าจะได้นั่ง…อ๊ากกกก”
เขาถูกนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ใช้กรงเล็บคว้าหมับ แล้วบินขึ้นฟ้าไปทันที
ราตรีมืดมิด สายลมเย็นเฉียบ สถานที่ไม่คุ้นเคย เด็กทั้งสามนั่งอยู่บนหลังของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์ อิงแอบซึ่งกันและกัน ขอเพียงพวกเขาอยู่ด้วยกัน ก็รู้สึกราวกับมีความกล้าหาญมากพอที่จะเผชิญทุกสิ่ง
“คู้…” นกหลวนศักดิ์สิทธิ์ร้อง มันกางปีกมุ่งหน้าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ชายชราร้องเสียงหลง “ไอ้หยา ไปไม่ได้นะ อย่าไป!”
ครั้งนี้ต้าเป่าไม่ได้ถามชายชราว่าเหตุใจจึงไปไม่ได้ เพราะในตอนนั้นเองเขาก็พบว่าพื้นที่ซึ่งนกหลวนศักดิ์สิทธิ์กำลังมุ่งหน้าไปนั้นถูกปกคลุมไปด้วยมวลอากาศสีดำราวกับเป็นหมอกหนาก้อนหนึ่ง
ไม่ใช่เขาคนเดียวที่เห็น เอ้อร์เป่าและเสี่ยวเป่าก็เห็นเช่นกัน
“เมฆดำใหญ่มากเลยละ” เสี่ยวเป่าบอก
“ไม่ใช่เมฆดำ แต่เป็นหมอกดำ” เอ้อร์เป่าบอก
“มีหมอกสีดำที่ไหนกัน หมอกมีแต่สีขาว!” เสี่ยวเป่าพูด
“ไอ้หยา นั่นคือหมอกดำต่างหาก! หมอกดำๆๆ!”
“ไม่ใช่ๆๆ!”
“ใช่!”
“ไม่ใช่!”
เด็กทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นมา
ชายชราอยากจะบ้าตาย พวกเจ้ายังมีกะจิตกะใจจะมาทะเลาะกันอีกรึ ไม่ดูเวล่ำเวลาเอาเสียเลย นั่นไม่ใช่เมฆดำ
แต่คือหมอกดำ นั่นคือควันมาร!
แต่ที่น่าแปลกก็คือตอนนั้นตนเคยเดินผ่านเส้นทางนี้ ก็ไม่ยักมีควันมาร ผ่านไปนานกี่ปีแล้วนี่ เหตุใดพื้นที่อันกว้างใหญ่แห่งนี้ถึงถูกปกคลุมไปด้วยควันมารหนาทึบเช่นนี้
เผ่าศักดิ์สิทธิ์เกิดเรื่องอะไรกัน
ต้าเป่าจับขนของนกหลวนศักดิ์สิทธิ์เบาๆ เพื่อบอกมันว่าอย่าไป
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์หันหน้ามาร้องใส่เขา
‘มีของกิน!’
“ต้าเป่า ข้าหิวเหลือเกิน” เสี่ยวเป่าลูบท้องของตน
“ข้าก็หิวมากๆ” เอ้อร์เป่าลูบท้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
ต้าเป่ารู้ดีว่าน้องชายทั้งสองหิวแล้วจริงๆ เพราะแม้แต่เขาเองก็ยังหิว อีกทั้งพวกเขาก็กินอาหารชนิดเดียวกัน เพียงแต่ว่าจนถึงตอนนี้ เขายังคงรู้สึกลังเล
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวซื่อก็ลืมตาตื่นขึ้น นางโผล่ศีรษะเล็กออกมาจากกระเป๋าหนังสือ ซบกับลาดไหล่ของต้าเป่า “อุว้าา”
นางก็หิวเหมือนกัน
ต้าเป่าจึงตัดสินใจไปที่นั่น!
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินเข้าไปในกลุ่มหมอกดำ ชายชรากลัวจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาอยากกรีดร้อง แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการชักนำอันตรายเข้ามา
นกหลวนศักดิ์สิทธิ์บินไปยังหน้าผานอกสวนผลไม้
ต้าเป่ากระโดดลงบนพื้น แล้วเดินไปด้านหน้าชายชรา เขาหยิบกระดาษออกมาเขียนว่า ‘ท่านไปเก็บผลไม้’
เข้ามาที่นี่ก็นับว่าอันตรายมากพอแล้ว ยังจะขโมยผลไม้อีกรึ ชายชราไม่ทำหรอก!
ชายชราถลึงตาใส่ “เจ้าบ้าก็บ้าไปคนเดียวเถอะ! ข้าไม่ทำตามเจ้าหรอก! อ้วนขนาดนี้ยังจะกินๆๆๆ อยู่นั่นละ!
อยากกินก็ไปเก็บเองไป!”
เยี่ยนเสี่ยวซื่อเบะปากร้องไห้ในทันใด!
ข้าไม่ได้อ้วนสักหน่อย!
ข้าสะโอดสะอง อรชรอ้อนแอ้นน่ารัก!
ต้าเป่าส่งสัญญาณให้นกหลวนศักดิ์สิทธิ์คาบชายชราขึ้นมา นำไปไว้บนหน้าผา จากนั้นก็เขียนหนังสือด้วยท่าทาง
เย็นชาว่า ‘ข้าให้โอกาสท่านพูดอีกครั้ง’
ชายชรา “…”
………………………