หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 103 ตัดสินใจลบรอยแผลเป็น ฝังเข็มรักษาอาการตกเลือด (2)
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะขบขัน “จริงหรือ เรื่องสำคัญเช่นนี้ เหตุใดข้าจึงไม่รู้ พี่หันรีบบอกข้ามา ภายในใจของข้ากำลังชื่นชมใครอยู่หรือ”
ซูอวี้เหิงก็เสนอหน้าเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ใช่ พี่หญิง รีบบอกข้ามาว่าภายในใจของพี่เหยากำลังชื่นชมใครอยู่”
หันหมิงชั่นแค่หัวเราะ ทว่ากลับไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา แล้วก็หรี่ตามองเหยาเยี่ยนอวี่
“อา! ข้าเดาได้แล้ว!” จู่ ๆ ซูอวี้เหิงก็แย้มยิ้ม
“เจ้านึกอะไรออก” หันหมิงชั่นถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“มีคุณชายที่แสนจะอ่อนโยนและรูปลักษณ์งามดั่งจันทรา…เป็นสุภาพชนผู้สูงส่ง และเป็นผู้ที่ร่ำเรียนฝึกฝนวินัยและนิสัยมาอย่างดี ลักษณะของเขานั้นเคร่งขรึม…คนที่พี่เหยาชื่นชมต้องเป็นเขาแน่นอน!”
“บุรุษในเมืองหลวงอวิ๋นนี้ มีคนเช่นนี้จริงหรือ” หันหมิงชั่นแย้มยิ้มอ่อนๆ แล้วถามกลับ
ซูอวี้เหิงทำปากมู่ทู่ จากนั้นก็พึมพำขึ้น “จะไม่มีได้อย่างไร พี่หญิงมัวแต่มองวีรบุรุษ จึงมองไม่เห็นว่ามีคุณชายที่สุภาพและอ่อนโยนอย่างไรเล่า”
“ข้าว่าเจ้ากำลังพูดถึงตัวเองใช่หรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ใช่สตรีที่ปากคอเราะร้าย โดยปกติแล้วหากเป็นคำพูดที่นางไม่ชื่นชอบ นางก็จะไม่พูดออกมา ถ้าหากนางตั้งใจที่จะถกเถียงกับใครขึ้นมา นางก็ไม่เคยแพ้ใคร “รีบว่ามา คุณชายที่สุภาพและบอบบางผู้นั้น เป็นคุณชายจากตระกูลใดกันแน่”
“อะไรนะ!” ซูอวี้เหิงหัวเราะอย่างเบิกบานและวิ่งหนี “ข้าไม่มีทางชื่นชมบุรุษที่บอบบางผ่ายผอมและรู้เพียงแค่การโอ้อวดบทกวีโบราณหรอก!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ดูสิ นางเอาบุรุษที่ตนไม่โปรดปรานมายัดเยียดให้กับข้า ไม่เข้าใจจริงๆ ว่านี่หรือเป็นความหวังดีจากนาง”
“ไม่ใช่! พี่เหยาเกิดในเจียงหนาน และยังเป็นคนที่มีนิสัยนุ่มนวลและสง่างามดั่งหยก เหมาะสมกับคุณชายที่สุภาพและอ่อนโยนเช่นนั้นพอดี” ซูอวี้เหิงเดินไปตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของหันหมิงชั่น แล้วแย้มยิ้มพลางเล่นหูเล่นตาใส่หันหมิงชั่น “พี่หญิงหันว่าข้าพูดถูกหรือไม่”
“เจ้าน่ะ! ไม่เคยโตเป็นผู้ใหญ่เลยจริงๆ” หันหมิงชั่นยิ้มพร้อมดีดหน้าผากของซูอวี้เหิงเบาๆ จากนั้นก็ยื่นมือไปจับคันฉ่องลายหลินฮวามาส่องดวงหน้าของตัวเอง และตอนที่เห็นรอยแผลเป็นตรงคางของตน จึงทำสีหน้าที่ตกตะลึงเล็กน้อย พอนึกถึงคำพูดพวกนั้นของอวิ๋นเหยา รอยยิ้มของนางจืดจางลงทันที
ซูอวี้เหิงเห็นเช่นนี้ พลันเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “โธ่ พวกเรารีบแต่งตัวกันเถอะ จะได้ไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่กัน”
เหยาเยี่ยนอวี่ก็เร่งชุ่ยเวย “เร็วเข้า ประเดี๋ยวหากพวกเราชักช้า องค์หญิงใหญ่จะหาว่าพวกเราไม่รู้จักมารยาท”
หันหมิงชั่นแย้มยิ้มอ่อนๆ แล้วส่ายหน้า “ท่านแม่เป็นคนเจ้าระเบียบเยี่ยงนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน ทว่าพวกเราก็ต้องรีบไป ประเดี๋ยวก็คงจะมีบ่าวมาเชิญไปกินอาหารเช้าแล้ว เมื่อวานดื่มสุราจนมึนเมา แม้แต่อาหารค่ำก็ไม่ได้กิน ตอนนี้ท้องของข้าร้องครวญครางไม่ไหวแล้ว”
ได้ยินดังกล่าว ซูอวี้เหิงลูบหน้าท้องพลางบ่นว่าหิว สุดท้ายพวกนางทั้งสามคนจึงรีบแต่งกายให้แล้วเสร็จ ต่างคนต่างสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับกันอย่างเรียบร้อย แล้วมุ่งหน้าไปตำหนักองค์หญิงใหญ่เพื่อไปทำความเคารพ
ตอนกินอาหารค่ำเมื่อคืน องค์หญิงใหญ่ก็ได้พบปะกับหันซังเกอแล้ว หันซังเกอเล่าเรื่องที่เว่ยจางบังเอิญมาได้ยินคำพูดที่เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นเสวนากันให้องค์หญิงใหญ่ฟัง องค์หญิงใหญ่รับฟังจนจบ จากนั้นก็แย้มยิ้มพลางเปรยว่าเหยาเยี่ยนอวี่ช่างเป็นสตรีที่ไม่เหมือนผู้อื่นจริงๆ ทุกคนมักจะบอกว่าหลังจากดื่มสุราและมึนเมาแล้วก็มักจะพูดความจริง หากนางไม่อยากจะแต่งงานกับเว่ยจางจริงๆ ตนเองที่เป็นแม่สื่อก็คงจะทำอะไรไม่ได้
ถึงแม้องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจะทรงมีนิสัยที่ชอบใช้ไม้แข็ง ทว่ากลับไม่เคยไปบีบบังคับในเรื่องที่ผู้อื่นรู้สึกลำบากใจ ยิ่งไปกว่านั้น เหยาเยี่ยนอวี่เป็นผู้มีบุญคุณของบุตรชาย นางก็ยิ่งไม่อยากจะใช้ฐานะของตนเองไปบีบบังคับให้นางไปแต่งงานกับบุรุษที่ตนเองไม่ปรารถนา ดังนั้นองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงรู้สึกเคร่งเครียดกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
หันหมิงชั่นพาซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ไปทำความเคารพองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาชวนให้พวกนางทั้งสามอยู่กินอาหารเช้าด้วยกัน
หลังจากที่กินอาหารเสร็จ องค์หญิงใหญ่หนิงหวาตรัสว่าอยากจะรบกวนเหยาเยี่ยนอวี่ไปดูอาการของบุตรชายตนเอง เหยาเยี่ยนอวี่จึงตอบตกลงอย่างเต็มปากเต็มคำ
สุดท้ายองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงสั่งให้คนไปส่งสาร ผ่านไปไม่นาน เฟิงเซ่าอิ่งก็พยุงหันซังเกอเข้ามา พวกเขาทำความเคารพองค์หญิงใหญ่เป็นอันดับแรก จากนั้นก็ทักทายเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิง เสร็จแล้วทุกคนจึงค่อยต่างคนต่างนั่งลง
นี่เป็นครั้งแรกที่หันซังเกอมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความตั้งใจ ในใจกำลังครุ่นคิดว่า เว่ยจางถือเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ที่ดี แม่นางผู้นี้นอกจากเรื่องที่มีฐานะเป็นบุตรีอนุภรรยาแล้ว แม่นางผู้นี้เป็นหญิงสาวที่ดีที่หาได้ยากทั้งในด้านรูปร่างหน้าตาและท่าทาง และนางยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่มีใครเทียบได้อีกด้วย บุรุษที่เก่งกาจจึงไม่ควรพลาด
“เยี่ยนอวี่ขอจับชีพจรของท่านซื่อจื่อหน่อยนะเจ้าคะ” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกหันซังเกอจับจ้องจนวางตัวไม่ถูก นัยน์ตาของนางจึงแอบเหลือบมองเฟิงเซ่าอิ่ง
เฟิงเซ่าอิ่งเอ่ยถามอย่างเร่งเร้า “ท่านซื่อจื่อจะไปนอนพิงที่ตั่งไม้ฝั่งโน้นดีหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากไปแตะเนื้อต้องตัวหันซังเกอในสถานที่ที่หลบสายตาทุกคน การดูอาการของผู้ป่วยถือว่าเป็นเรื่องที่เปิดเผยและโปร่งใส เหตุใดถึงต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า หันซังเกอไม่ใช่แม่นางเสียหน่อย ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ แค่จับชีพจรโดยทั่วไป ท่านซื่อจื่อเชิญยื่นข้อมือออกมาหน่อยเถอะ”
หันซังเกอยิ้มแย้ม แล้วยกมือพลางดึงแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็วางแขนลงบนราวจับเก้าอี้ ทำให้เผยข้อมือที่มีผิวพรรณสีเหลืองน้ำผึ้งออกมา
เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงตรงเก้าอี้กลมที่อยู่ข้างกายหันซังเกอ จากนั้นก็หันไปมองเฟิงเซ่าอิ่งก่อนกล่าว “ฮูหยินท่านซื่อจื่อ ขอยืมผ้าเช็ดหน้าของท่านหน่อยได้หรือไม่”
เฟิงเซ่าอิ่งคลี่ยิ้ม แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าวางลงบนข้อมือของสามีตนเอง
ท่าทางนี้ของนางดูน่าขบขันเล็กน้อย โดยปกติแล้ว หากหมอหลวงจับชีพจรให้กับแม่นางที่ยังไม่ได้ออกเรือน ถึงจะใช้วิธีเช่นนี้ในการจับชีพจร ทว่าครั้งนี้คนไข้กับหมอกลับสลับหน้าที่กัน ทำให้คนที่มักจะทำการทุกอย่างอย่างราบรื่นเฉกเช่นหันซังเกอซื่อจื่อถึงกับเขินอายจนหน้าแดง
แม่นางผู้นี้! หันซังเกอมองนิ้วมือที่งดงามดั่งหยกและเรียวยาวประดุจต้นหอมของเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังจับชีพจรให้ตนเอง จากนั้นแอบถอนหายใจเบาๆ เจ้าเว่ยจางถูกหักอกแน่นอน
ผ่านไปสักพัก เหยาเยี่ยนอวี่จึงดึงมือกลับ แล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ท่านซื่อจื่อเคยได้รับบาดเจ็บ จึงทำให้ภายในร่างกายมีความชื้นสูง หากไม่สามารถขับความชื้นออกมาโดยเร็วที่สุด ก็อาจจะทำให้พิษเย็นชื้นอุดกั้นอวัยวะภายในร่างกายได้ ตอนถึงฤดูฝนหรือตอนที่อากาศอับชื้นก็อาจจะทำให้รู้สึกเจ็บตรงบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ ถ้าหากอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้รู้สึกทุกข์ทรมานมากขึ้น ดังนั้นต้องรีบกินยาสมุนไพรเพื่อปรับความสมดุลของร่างกายเจ้าค่ะ”
เฟิงเซ่าอิ่งรีบพูดขึ้น “คุณหนูกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก รบกวนคุณหนูจ่ายยาให้ด้วยเถิด”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดขึ้น “ก็ได้เจ้าค่ะ”
องค์หญิงใหญ่พลันรับสั่งให้คนไปเอาพู่กันและกระดาษมา เหยาเยี่ยนอวี่จึงจับด้ามพู่กันหยกขาวและขนพู่กันที่ทำจากขนหมาป่าขึ้นพลางสังเกตมองไปสักพัก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า ต่อให้เป็นพู่กันที่เลอค่ามากเพียงใดก็คงไม่คุ้นมือเท่าพู่กันขนห่านที่ตนใช้อยู่เป็นประจำ ทว่าที่นี่คือจวนองค์หญิงใหญ่ ตนก็คงไม่สามารถเอาพู่กันขนห่านมาเขียนใบสั่งยาได้ อย่างไรนางก็ฝึกเขียนพู่กันอย่างพอเป็นพิธีเป็นเวลาสิบปีแล้ว ถึงแม้นางจะเขียนพู่กันได้ไม่ดี ทว่าก็ถือว่ายังพออ่านออก
ทันใดนั้นนางนิ่งเงียบและเริ่มเขียนขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ เขียนใบสั่งยาลงไป ซึ่งยาที่นางเขียนประกอบด้วยยาสมุนไพรหวางฉี รากตู๋หัว ฝางฟง จื้อกานฉ่าว พริกเสฉวน ฟู่จือ ไป๋สู้และอื่นๆ นำยาสมุนไพรสิบกว่าชนิดมาต้มรวมกับสุราระดับสูง
เฟิงเซ่าอิ่งรับใบสั่งยามา จากนั้นก็ถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนูเหยา ใบสั่งยานี้มีกระสายยาเป็นเหล้าขาวอย่างนั้นหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าเล็กน้อย “ท่านซื่อจื่อให้ความร่วมมือในด้านการรักษาเป็นอย่างดี อีกอย่างยังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ทุกวี่ทุกวัน การนำเหล้าขาวมาเป็นกระสายยา จะทำให้พิษเย็นในร่างกายถูกขับออกไปเร็วกว่าเดิม หลังจากที่ดื่มยาต้มสมุนไพรจากใบสั่งยานี้ไปเจ็ดวัน แล้วจับชีพจรอีกครั้ง หลังจากนั้นค่อยปรับสูตรยาไปตามอาการของชีพจรเจ้าค่ะ”
แท้จริงแล้ว หากอยากจะรักษาพิษเย็นภายในร่างกายของหันซังเกอให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า ก็สามารถใช้วิธีการรักษาด้วยการฝังเข็ม ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับต้องการรักษาด้วยวิธีนี้ นางไม่ได้กลัวว่าการใช้วิธีการรมยาแบบไท่อี่จะทำให้ตนต้องสูญเสียพลังงานมาก กลับเป็นเรื่องของความแตกต่างระหว่างหนุ่มสาวต่างหาก ตนเองคอยระวังตัวจึงจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในภายภาคหน้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฟิงเซ่าอิ่งแย้มยิ้มอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นก็ยื่นใบสั่งยาให้องค์หญิงใหญ่