หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 109 หมิงชั่นลองเชิง เยี่ยนอวี่หยั่งรู้ (4)
เหยาเยี่ยนอวี่หันหน้าไป ชุ่ยเวยถือถาดแล้วกำลังเดินเข้ามา บนถาดมีผ้าฝ้ายสีขาวที่ผ่านการต้มมาแล้ว บนผ้าฝ้ายมีมีดผ่าตัดวางเรียงรายกันเป็นแถว
สายตาของเหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ กวาดมองใบมีดไปทีละเล่ม มีรูปร่างที่เรียวยาวของคนคนหนึ่งลอยผ่านตรงสายตาของนาง นางมองใบหน้างดงามที่มีสีหน้าเฉยเมยของตนบนใบมีดอย่างชัดเจน… สุดท้ายนางก็เลือกใบมีดเล่มหนึ่ง แล้วจับด้ามจับของมีดผ่าตัดขึ้น จากนั้นก็ใช้นิ้วค่อยๆลูบไล้ใบมีด ดวงตาเต็มไปด้วยความรักและความเมตตาราวกับลูบผิวบอบบางของทารกแรกเกิด
หันซังเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ เห็นจึงคลี่ยิ้มบางๆ พอนึกถึงของสิ่งนี้ที่เว่ยจางส่งมอบให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ ตอนที่นางทำการรักษาบาดแผลของพี่ชายตนเอง โชคดีมากที่มีสิ่งนี้ เส้นเอ็นตรงข้อเท้าของพี่ใหญ่จึงสามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติ
เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามองรอยแผลเป็นที่อยู่ตรงคางของหันหมิงชั่นอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นมือออกไป แล้วเอาใบมีดที่ผ่านการใช้สุราเช็ดมาเผาด้วยเปลวไฟ จากนั้นก็หมุนตัวมาอย่างสงบนิ่ง แล้วเอาใบมีดกดลงไปตรงรอยแผลเป็นอย่างประณีต และค่อยๆ เฉือนผิวหนังที่ตายไปแล้วอย่างเบามือ ทันใดนั้นบาดแผลตรงบริเวณนั้นจึงมีเลือดสดซึมออกมา ทว่าเลือดกลับไม่ไหลออกมามาก เหตุเพราะการฝังเข็มไว้ก่อนหน้านี้
หันซังเย่ว์เห็นแล้วรู้สึกอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบวางมีดผ่าตัดลง แล้วเอาขวดยากระเบื้องสีขาวโพลนขนาดเล็กขวดหนึ่ง ค่อยๆ โรยผงยาวิเศษลงไปบนบาดแผล หลังจากที่ผงยาซึมเข้าไปในเลือด ก็ทำให้ผงยาละลายตัวอย่างรวดเร็วและคราบเลือดก็ไหลออกมาตามผงยา เหยาเยี่ยนอวี่จึงโรยผงยาไม่หยุด จนกว่าผงยาจะปกคลุมคราบเลือดจนหมด นางจึงจะหยุดโรยยาลงไป
ชุ่ยเวยยื่นผ้าตาข่ายสีขาวที่พับไว้อย่างเรียบร้อยมาให้นาง เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ผ้าตาข่ายปิดแผล จากนั้นก็ใช้แผ่นผ้าติดกาวติดผ้าตาข่ายไว้กับใบหน้าของหันหมิงชั่น สุดท้ายก็ดึงเข็มเงินที่ทำให้รู้สึกชาออก
การผ่าตัดเล็กๆ นี้ใช้เวลาไม่เกินหนึ่งถ้วยน้ำชาก็เสร็จสิ้นแล้ว
หันหมิงชั่นถูกซูอิ่งสาวใช้คนสนิทพยุงขึ้น ตรงคางของนางยังคงรู้สึกชาเล็กน้อย เพราะว่ามีบาดแผล ทำให้นางไม่สะดวกที่จะพูดคุยกับใคร ทำได้เพียงมองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วยิ้มให้
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้หันซังเย่ว์รู้สึกกระวนกระวายตอนที่เห็นพี่ใหญ่ของตนได้รับบาดเจ็บเพราะหมีสีนิล เขาแค่รู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับขาของพี่ใหญ่ที่จะไม่สามารถเดินเหมือนดั่งปกติ ภายในใจรู้สึกวิตกกังวลและหงุดหงิดยิ่งนัก จึงอยากจะต่อสู้กับเจ้าหมีสีนิลที่สมควรตายตัวนั้นให้ตายกันไปข้าง ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดใจเหมือนครั้งนี้ เมื่อครู่ตอนที่เห็นเหยาเยี่ยนอวี่เฉือนเนื้อตรงขากรรไกรล่างของน้องสาว เขาก็เกือบจะร้องออกมาด้วยความทุกข์ใจ
เวลานี้ พอเห็นน้องสาวของตนนั่งลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังคลี่ยิ้มจนตาหยี ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกไว้วางใจ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “ชั่นเอ๋อร์ เจ็บหรือไม่”
“อื้อๆ…” หันหมิงชั่นส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้มอ่อนๆ
“เช่นนั้นก็ดี เจ้าพักฟื้นอยู่ที่นี่ดีๆ รอให้บาดแผลนี้หายดี พี่รองจะกลับมารับเจ้ากลับจวน”
“อืม” หันหมิงชั่นพยักหน้า
หันซังเย่ว์หันไปประสานมือคารวะให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วแย้มยิ้มขึ้น “หลายวันต่อจากนี้ก็คงต้องรบกวนคุณหนูเหยาช่วยดูแลน้องสาวของข้าเสียแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ล้างมือเสร็จ แล้วถอดหน้ากากผ้าปิดจมูกปากออก จากนั้นก็คลี่ยิ้ม “คุณชายรองไม่ต้องเกรงใจ ข้ากับพี่หันเป็นเหมือนพี่น้องกัน เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำหรอกหรือ”
หันซังเย่ว์จึงพูดอย่างเกรงอกเกรงใจอีกไม่กี่คำ ภายในใจไม่อยากจะปล่อยให้น้องสาวของตนอยู่ที่นี่ตามลำพัง ทว่าก็รู้สึกว่าตนเป็นบุรุษผู้หนึ่ง จึงไม่เหมาะแก่การพักอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะทำให้ชื่อเสียงของเหยาเยี่ยนอวี่ป่นปี้ เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวคำอำลา
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นเขาที่เป็นบุรุษกระชุ่มกระชวยผู้หนึ่งกำลังแสดงท่าทางที่ลังเลใจ นางจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยเสียงเบา
หันหมิงชั่นรู้ดีว่าพี่ชายรองของตนมีใจให้เหยาเยี่ยนอวี่อยู่บ้าง อีกทั้งยังได้ยินกับหูว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้คิดอะไรกับเว่ยจาง พอผ่านช่วงเวลาสองวันนี้ที่ได้อยู่ร่วมกัน นางก็ยิ่งชื่นชอบเหยาเยี่ยนอวี่ และยิ่งอยากให้เหยาเยี่ยนอวี่และพี่ชายรองของตนได้คบหากันมากกว่านี้ แค่ว่าตอนนี้ตนไม่สามารถขยับปากพูดคุยได้ จึงได้แต่เพียงมองพวกเขาสองคนแล้วแอบยิ้ม
เหยาเยี่ยนอวี่เชิญชวนหันซังเย่ว์จิบชาไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็เหมือนไม่มีอะไรจะพูดคุยกับเขาอีก
ประจวบกับตอนที่เหยาเฟิ่งเกอได้ยินพวกสาวใช้บอกว่าการผ่าตัดครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี จากนั้นนางจึงอยากจะมาเยี่ยมเยียน หลังจากมาเยือน นางก็ได้เห็นหันซังเย่ว์พูดคุยกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเกรงอกเกรงใจ ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าต้องการให้หันหมิงชั่นพักอาศัยอยู่ที่นี่ต่อ และนางเองก็บอกว่าจะตั้งใจดูแลน้องสาวของเขาเป็นอย่างดีอย่างแน่นอน และยังฝากกราบทูลองค์หญิงใหญ่ให้ทรงวางพระทัย
ภายในใจของหันซังเย่ว์กลับไม่ได้คิดเช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา แค่เพียงกำชับคำพูดกับน้องสาวไปสองสามคำ จากนั้นก็ออกจากบ้านนา
หลังจากที่ออกจากบ้านนาน้อยวัวจวู หันซังเย่ว์ก็ยกมือสั่งให้ทหารที่อยู่ด้านหลังหยุดเดิน
ผู้นำของเหล่าทหารจึงเดินหน้ามา แล้วน้อมคำนับพลางเอ่ยถาม “คุณชายรองมีสิ่งใดจะสั่งการขอรับ”
หันซังเย่ว์หันกลับไปมองป้ายบ้านนาน้อยวัวจวู พร้อมกับแย้มยิ้มบางๆ จากนั้นก็สั่งการขึ้น “พวกเจ้าคอยเฝ้าอยู่รอบนอกบ้านนานี้ รับผิดชอบปกป้องและเฝ้าระวังความปลอดภัยของคุณหนูรอง หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้บริเวณนี้ ก็รีบไล่พวกเขาไปให้ไกล ห้ามใครหน้าไหนมารบกวนเวลาพักฟื้นตัวของคุณหนูรองเด็ดขาด เข้าใจหรือยัง”
“ขอรับ! คุณชายรองได้โปรดวางใจ ข้าน้อยไม่มีทางบกพร่องต่อหน้าที่ที่ท่านมอบหมาย”
หันซังเย่ว์พยักหน้า พอนึกถึงว่าที่นี่ไม่เพียงแต่มีน้องสาวของตนพักอาศัยอยู่ แต่ยังมีฮูหยินน้อยสามแห่งจวนติ้งโหว จึงรีบสั่งขึ้นอีก “ถ้าคนของจวนติ้งโหวมา พวกเจ้าต้องถามให้กระจ่างแจ้งถึงจะปล่อยพวกเขาเข้าไปได้ สำหรับคนที่มาจากจวนอื่นๆ ห้ามปล่อยใครคนใดคนหนึ่งเข้าไปข้างใน” หันซังเย่ว์รู้สึกว่านอกจากคนของจวนติ้งโหวแล้ว คนที่จะมาเยือนถึงที่นี่ ก็คงมีเพียงคนที่ต้องการมาขอให้เหยาเยี่ยนอวี่ช่วยรักษาอาการเจ็บป่วย เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเกี่ยวกับตน ดังนั้นเขาเลยออกคำสั่งเช่นนี้กับทหารรักษาการณ์
ทหารรักษาการณ์ของจวนกั๋วกงเกือบทั้งหมดที่อยู่ ณ ที่นี่ ก็เคยผ่านศึกสงครามกับท่านกั๋วกงและท่านซื่อจื่อ คนเหล่านี้อาศัยอยู่กลางป่าพงไพรหรือถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสิบกว่าวันก็คงไม่มีปัญหาอะไร ดังนั้นหันซังเย่ว์ไม่เคยกังวลว่าคนเหล่านี้จะเจอกับความยากลำบากตอนที่อาศัยอยู่นอกรอบบ้านนาเพื่อคอยรักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว
พอมีคนเหล่านี้ของหันซังเย่ว์คอยรักษาความปลอดภัย ทีแรกบ้านนาน้อยวัวจวูที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบก็ยิ่งเงียบกริบกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหล่าคุณชายอย่างเช่น เฟิงเซ่าเชิน คอยส่งพวกผัวจื่อหรือว่าเสี่ยวซือมาขอยาสมุนไพร เพื่อต้องการตีสนิทกับคุณหนูเหยา ตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่แมวป่าสักตัวเข้ามาเยือนที่นี่
ทีแรกหันหมิงชั่นนึกว่าหากมีบาดแผลใหม่เกิดขึ้น ก็คงจะทำให้นางไม่สะดวกต่อการกินอาหารหรือดื่มน้ำ ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากที่บาดแผลได้ทายาสูตรพิเศษของเหยาเยี่ยนอวี่ กลับทำให้นางไม่ได้รู้สึกตึงแน่นหรือไม่สบายแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่มีทางทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
เวลาดื่มน้ำ เหยาเยี่ยนอวี่ก็เตรียมหลอดดูดที่ทำจากต้นอ้อให้นาง เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้แผลโดนน้ำ และตอนเวลากินอาหารก็จะให้นางกินอย่างช้าๆ เริ่มแรกหันหมิงชั่นไม่กล้าขยับปากพูดคุย ทว่าหลังจากที่ได้ลองดูแล้ว นางกลับสามารถขยับกรามพูดคุยกับคนอื่นได้ แต่อย่างไรก็ตามตรงคางก็ยังมีบาดแผล หากเป็นไปได้ก็อย่าพูดคุยจึงจะดีกว่า อีกอย่างเหยาเฟิ่งเกอก็พักอาศัยอยู่ที่นี่ เรือนฝั่งตะวันออกและตะวันตกก็อยู่ใกล้กันเช่นนี้ หันหมิงชั่นก็คงไม่ยอมพูดคุยอะไรให้มากความอยู่แล้ว
ไม่ได้เป็นเพราะเหยาเฟิ่งเกอเป็นคนที่น่ารังเกียจแต่อย่างไร เพียงแต่ว่าหันหมิงชั่นรู้สึกว่าไม่อยากมากความอะไรกับนาง พอครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นของจวนติ้งโหว นางกลับต้องการมาลี้ภัยและดื้อดึงที่จะมาพักอาศัยอยู่กับเหยาเยี่ยนอวี่ ตนจึงคิดว่าฮูหยินน้อยสามท่านนี้คงไม่ใช่คนประเภทที่ตนโปรดปรานแน่นอน
และหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างเงียบสงบไปเป็นเวลาสองวัน ก็มีคนของจวนติ้งโหวมาเยือน
ตอนนั้นเหยาเยี่ยนอวี่กำลังอยู่ในเรือนกระจก เพื่อจะไปดูการเจริญเติบโตของซานชีและสมุนไพรห้ามเลือดที่กำลังงอกเป็นต้นกล้าเล็กๆ ปั้นซย่าก็เข้ามาส่งสารให้นางอย่างเงียบๆ “คุณหนูเจ้าคะ มีพี่สาวคนหนึ่งมาจากจวนติ้งโหวเจ้าค่ะ ตอนนี้นางกำลังพูดคุยอยู่กับฮูหยินน้อยสามอยู่ ฮูหยินน้อยสามบอกให้มาเชิญท่านไปเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม “รู้หรือไม่ว่าใครที่มาเยือน”
ปั้นซย่าครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ไปสักพัก แล้วตอบกลับ “บ่าวได้ยินไม่ค่อยชัดเจน เหมือนได้ยินฮูหยินน้อยสามเรียกพี่สาวคนนั้นว่า ‘หู่พั่ว’ เจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า จากนั้นก็วางพลั่วดอกไม้ในมือลงข้างๆ แล้วรับผ้ามาเช็ดมือจากหวงฉินที่เป็นบุตรีของผู้เฒ่าหวงที่เป็นเกษตรกรที่เชี่ยวชาญการเพาะปลูกยาสมุนไพร แล้วค่อยเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ”
ในเรือนของเหยาเฟิ่งเกอ หู่พั่วกำลังนั่งจิบชาอยู่บนที่รองฝ่าเท้าตรงหน้าตั่งไม้