หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 111 ข้าหลวงเหยาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เยี่ยนอวี่ถวายสูตรปรุงยา (1)
ดังนั้นครั้งนี้นางพักอาศัยอยู่ที่นี่ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ถือว่าถูกเอารัดเอาเปรียบแต่อย่างไร
ตอนกลางดึก เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นยังคงนั่งอยู่บนตั่งไม้เพราะยังไม่รู้สึกง่วง หันหมิงชั่นหันข้างมองดวงตาของเหยาเยี่ยนอวี่ที่กึ่งหลับกึ่งตื่น จากนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงต่ำ “ไม่เช่นนั้นเจ้าก็แต่งงานกับพี่ชายรองของข้าเถอะ พี่ชายรองของข้าเป็นผู้ที่กล้าหาญชาญชัย และเขาต้องดีกับเจ้าแน่นอน มารดาของข้าก็ไม่มีทางให้พี่ชายรองแต่งตั้งอนุภรรยาและยิ่งไม่มีทางให้สาวใช้ไปเป็นเมียบ่าวของเขาในเรือนอยู่แล้ว หากเจ้ายินยอม ข้าจะกลับไปคุยเรื่องนี้กับมารดาของข้า รอเมื่อใดที่บิดาของเจ้าเข้าเมือง จะได้ส่งแม่สื่อไปขอสู่เจ้า เช่นนี้ดีหรือไม่”
“อ๋า?” เหยาเยี่ยนอวี่สะดุ้งตกใจทันที จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้น นางรู้สึกอยากหัวเราะและรู้สึกร้อนใจในขณะเดียวกัน จากนั้นก็ยื่นมือไปแตะหน้าผากของหันหมิงชั่น พร้อมกับถามด้วยเสียงต่ำ “พี่หญิง นี่ท่าน…เป็นไข้หรือเปล่า”
หันหมิงชั่นมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความเคร่งขรึม แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเห็นข้าเหมือนกำลังล้อเล่นหรือไร ข้ากำลังพูดกับเจ้าจากใจจริง!”
“ทว่าข้าดูไม่ออกว่าท่านจะจริงจังกับเรื่องนี้ ท่านอยากจะกลั่นแกล้งข้าก็อย่าเลือกใช้วิธีนี้เลย ขอร้องเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะอย่างขมขื่น แล้วไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เพราะว่านางเห็นว่าหันหมิงชั่นกำลังหยอกล้อนาง การหยอกล้อเช่นนี้ มีเพียงบุตรีสุดที่รักขององค์หญิงใหญ่เท่านั้นที่สามารถหยอกล้อได้ ทว่านางกลับไม่สามารถทำได้
เกิดเป็นคนต้องหัดเจียมเนื้อเจียมตัว นี่เป็นหลักเหตุผลที่นางใช้สั่งสอนตัวเองมาในสองชาติสองภพนี้
หลังจากที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเพียงไม่กี่วัน บาดแผลตรงปลายคางของหันหมิงชั่นเริ่มตกสะเก็ดแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่กล้าละเลย นางมักเปิดผ้าตาข่ายเพื่อตรวจดูผิวอยู่เป็นระยะๆ หรือไม่ก็ทายาขี้ผึ้งซ้ำอีกครั้ง หลังจากสองวันผ่านไป แผลที่ตกสะเก็ดก็ลอกออกจนเกลี้ยง เผยให้เห็นผิวหนังอ่อนๆ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เป็นผิวหนังที่เรียบเนียนและขาวผ่องที่เชื่อมต่อกับผิวหนังโดยรอบข้างได้เป็นอย่างดี นอกจากผิวมีสีซีดจางกว่าเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติอื่นใด
หันหมิงชั่นเองได้เตรียมพร้อมทางด้านจิตใจไว้แต่เนิ่นๆ ทว่าตอนที่นางส่องคันฉ่องอย่างละเอียด ความรู้สึกดีอกดีใจภายในใจก็อดกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“ช่างดียิ่งนัก! ดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด ไม่มีรอยแผลใดๆ ทิ้งไว้เลย!” นิ้วมือของหันหมิงชั่นลูบไล้ผิวหนังที่เกิดใหม่เบาๆ เป็นความตื่นเต้นดีใจที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
“จริงด้วยเจ้าค่ะ! ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก!” ซูอิ่งขยับเข้ามาใกล้พลางมองอย่างละเอียด แล้วก็ชื่นชมขี้น “คุณหนูเหยาปรุงยาได้น่าอัศจรรย์จริงๆ !”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” หันหมิงชั่นดีใจจนน้ำตาแทบจะไหลรินลงมา “เหตุใดพวกเราถึงไม่ได้เจอกันสักหลายปีก่อนหน้านี้!”
ซูอิ่งพูดขึ้นด้วยความปิติยินดี “ตอนนี้ก็ยังไม่สายเจ้าค่ะ! อีกสิบกว่าวัน สีผิวตรงนี้คงจะกลายเป็นสีปกติ พอมาคิดคำนวณเวลาดูแล้ว ยังดีที่ไม่เลยช่วงตรุษจีนเจ้าค่ะ! ตอนที่คุณหนูเข้าไปร่วมงานเลี้ยงในวังหลวง บรรดาองค์หญิง จวิ้นจู่ และเหนียงเหนียงในแต่ละตำหนัก ดูสิว่าใครยังจะกล้าหัวเราะเยาะคุณหนูอีก!”
“อืม” หันหมิงชั่นไม่ได้ตำหนิที่ซูอิ่งพูดจาเรื่อยเปื่อย เพราะสิ่งที่ซูอิ่งกล่าว เป็นความรู้สึกที่นางอัดอั้นไว้ในใจของนางมาหลายปี
หากอยู่ในจวน มีบิดามารดาและบรรดาพี่ชายคอยปกป้องตน พี่น้องผู้หญิงภายในจวนต่างก็คือบุตรีของอนุภรรยา พวกนางทำอะไรก็ต้องเห็นแก่หน้าของตนตลอด แน่นอนว่าพวกนางคงไม่กล้าหัวเราะเยาะตนอยู่แล้ว โดยปกติแล้วหากญาติมิตรจากแต่ละจวนรวมตัวกัน ทุกคนก็มักจะให้เกียรติองค์หญิงใหญ่ จึงพยายามหลีกเลี่ยงคำพูดที่จะกล่าวถึงรอยแผลเป็นนี้ของตน
ทว่าตอนเข้าวังหลวงทุกครั้ง กลับมีนางสนมหรือองค์หญิงบางคนที่มักจะสรรหาคำพูดที่ไม่เห็นแก่ความรู้สึกของผู้อื่น ถึงแม้จะไม่เอ่ยถึงใบหน้าของนางโดยตรง ทว่าหันหมิงชั่นไม่ใช่คนโง่ แค่ฟังจากน้ำเสียงก็สามารถฟังออก แน่นอนว่าทุกครั้งที่ได้ยินก็มักจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้ว
หลายปีก่อน ตอนที่นางยังเป็นเด็ก ตอนที่นางรู้สึกไม่พอใจในสิ่งใดก็มักจะเล่าให้เสด็จแม่ฟัง องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงคิดหาวิธีเพื่อที่จะระบายความโกรธออกไป แม้กระทั่งบางครั้งยังตำหนิต่อหน้าเหล่าสตรีที่มีฐานะต้อยต่ำกว่า ทว่าตอนหลังๆ มา นางค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องตำหนิและทำโทษคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นมักจะนินทานางลับหลังอยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงเข้มแข็งและยืนหยัดด้วยตัวเอง และแกล้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดเหล่านั้น ทำให้คนพวกนั้นไม่สนใจในเรื่องนี้ไปด้วย จากนั้นทุกคนต่างก็ปิดปากเงียบและไม่พูดถึงมันอีก
ทว่าพอพูดถึงตอนสุดท้าย การที่นางทำเป็นไม่สนใจก็แค่แกล้งทำเท่านั้น ใครจะสามารถอดทนกับการถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ได้
เพียงในพริบตาก็เข้าสู่เดือนสิบสองแล้ว อากาศยิ่งเหน็บหนาวกว่าเดิม
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาไม่ได้เจอหน้าบุตรีเป็นเวลาสิบวันแล้ว ก็รู้สึกคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง และพอครุ่นคิดถึงอากาศในบ้านนานั้นคงจะเหน็บหนาวกว่าที่อื่น เกรงว่าบุตรีจะจับไข้ไม่สบาย จึงสั่งให้หันซังเย่ว์ส่งของกินของใช้ไปให้บ้านนาน้อยวัวจวู ทางฝั่งซูอวี้เสียงเองก็หาเวลาว่างไปเยือนบ้านนาน้อยวัวจวูในวันนี้เช่นกัน และอยากจะรับเหยาเฟิ่งเกอกลับมา
หันซังเย่ว์และซูอวี้เสียงจึงออกเดินทางไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และไปบังเอิญเจอกันตรงประตูเมืองหลวง จากนั้นพวกเขาก็เดินทางไปบ้านนาน้อยวัวจวูพร้อมกัน
พอมีแขกมาเยี่ยมเยียน บ้านนาน้อยวัวจวูก็ยิ่งครึกครื้นกว่าเดิม
เฝิงหมัวมัวสั่งให้โรงครัวจัดเตรียมอาหารเพิ่ม เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้ชุ่ยเวย ชุ่ยผิงและสาวใช้คนอื่นๆ ยกน้ำชาอันหอมกรุ่นเข้ามา
อย่างไรก็ตาม ซูอวี้เสียงก็เป็นพี่เขยของเหยาเยี่ยนอวี่ และตอนนี้เหยาเฟิ่งเกอก็อยู่ด้วยพอดี เขาเลยวางตัวเหมือนเจ้าบ้าน แล้วนั่งจิบชากับแขกที่มาเยือน เขากับหันซังเย่ว์จึงนั่งสนทนาอยู่ที่เรือนรับแขกตรงสวนหน้า เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่รับรู้ นางก็รู้สึกผ่อนคลายและเป็นอิสระที่ไม่ต้องต้อนรับแขก นางจึงแอบไปหลบในเรือนของตน แล้วนั่งทำสมาธิอยู่บนตั่งไม้
หลังจากที่หันหมิงชั่นเจอกับพี่ชายเสร็จ ก็ได้กลับมาหาเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นเอาใบชา ขนม และของบำรุงร่างกายของสตรีอย่างเช่นเห็ดหูหนูขาวและรังนกที่พี่ชายส่งมาแบ่งเป็นสองชุด ชุดหนึ่งมอบให้เหยาเยี่ยนอวี่ อีกชุดก็มอบให้เหยาเฟิ่งเกอ
หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอได้ผ่านเรื่องที่เฟิงฮูหยินน้อยแท้งบุตร นางก็ยิ่งไม่อยากอยู่ห่างจากเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าเหตุเพราะจดหมายของเหยาหย่วนจือมาถึง บอกว่าวันที่หกของเดือนนี้จะเข้าเมืองหลวง นางที่เป็นบุตรีจึงต้องกลับเข้าเมืองไปตรวจดูความเรียบร้อยของจวนตระกูลเหยา เพื่อที่จะจัดเตรียมที่พักที่เหมาะสมให้กับบิดาของตน อีกอย่างหากเหยาหย่วนจือมาเมืองหลวง ก็ต้องไปเยี่ยมเยียนจวนติ้งโหวอยู่แล้ว เหยาเฟิ่งเกอจึงไม่มีเหตุผลที่จะพักอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป ดังนั้นนางจึงอยากจะพาเหยาเยี่ยนอวี่กลับไปด้วย
หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่ซึ่งเอนตัวพิงอยู่บนตั่งไม้ฟังเหยาเฟิ่งเกอพูดจบ นางก็กล่าวด้วยความลังเล “บิดาเข้าเมือง ผู้ที่เกิดเป็นบุตรีก็สมควรที่จะไปปรนนิบัติรับใช้อยู่แล้ว แค่ว่าตอนนี้บิดายังมาไม่ถึง หากข้ากลับตอนนี้ อย่างไรก็มีหลายสิ่งที่ทำให้ไม่สะดวก ขอพี่สาวโปรดเห็นใจ รอให้ถึงเวลาที่บิดากลับถึงเมืองหลวง ข้าจะไปต้อนรับท่านที่จวนของตระกูลแน่นอน หลายวันนี้พี่สาวก็ให้ข้าพักอาศัยอยู่ที่นี่ต่อได้หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ยอมกลับไปตามที่เหยาเฟิ่งเกอคาดการณ์เอาไว้ แค่นึกไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธตรงๆ เช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มบางๆ ในใจกำลังคิดว่า ยิ่งนานวันน้องสาวผู้นี้ก็ยิ่งปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวัน
หันหมิงชั่นจึงยิ้มพลางพูดอยู่ข้างๆ “ฮูหยินน้อยสามได้โปรดเห็นใจหน่อยเถอะ ใบหน้าของข้าในตอนนี้ไม่เหมาะแก่การกลับไปพบเจอใคร และโปรดเห็นแก่เสด็จแม่ของข้า อนุญาตให้เยี่ยนอวี่อยู่ต่อที่นี่อีกสักสองสามวันเถอะ รอให้ใต้เท้าเหยาเข้าเมือง ข้ากับเยี่ยนอวี่จะกลับเมืองหลวงไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งจะไม่ทำให้เวลาที่นางจะไปแสดงความเคารพใต้เท้าเหยาต้องล่าช้าแน่นอน”
แน่นอนว่าเหยาเฟิ่งเกอต้องให้เกียรติองค์หญิงใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้ม “เช่นนั้นพวกเจ้าก็พักอาศัยอยู่ที่นี่อีกสองสามวันเถอะ ข้าจะกลับไปก่อน รอให้ถึงเช้าตรู่ของวันที่หก น้องรองต้องกลับจวน ท่านพ่อไม่ได้เจอเจ้ามาเกือบครึ่งปีแล้ว จดหมายทุกๆ ฉบับที่ส่งมา ก็ล้วนถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบของเจ้า คิดว่าภายในใจของท่านพ่อก็คงจะเฝ้าคำนึงถึงเจ้าตลอดเวลา”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบรับคำ “คำพูดของพี่สาว เยี่ยนอวี่จดจำไว้แล้ว”
เหยาเฟิ่งเกอไม่ได้พูดมากอีกต่อไป มองซานหูและคนอื่นๆ ที่กำลังเก็บข้าวของตนเอง จากนั้นก็เดินตามซูอวี้เสียงขึ้นรถม้าแล้วจากไป
หันซังเย่ว์เห็นน้องสาวของตนพักอาศัยอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วัน ดวงหน้าของนางก็ดีขึ้นมาก แผลเป็นตรงคางมีเพียงรอยสีขาวจางๆ หลงเหลืออยู่เท่านั้น ผ่านไปอีกไม่กี่วัน รอยขาวนี้ก็คงจะจางหายไป ภายในใจจึงรู้สึกดีใจยิ่งนัก ก่อนที่จะจากไปก็ได้กำชับคำพูดบางอย่างกับน้องสาวตนเอง จากนั้นก็ออกจากบ้านสวนไปพร้อมกับซูอวี้เสียง
เหยาเยี่ยนอวี่ส่งทุกคนออกจากบ้านสวนเสร็จ ก็เห็นเหยาเฟิ่งเกอยื่นศีรษะออกมาจากหน้าต่างรถม้า นางจึงคลี่ยิ้มแล้วส่ายหัวทันที