หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 12 เงยหน้าสบตากัน
เหลียนหมัวมัวยิ้มจางๆ พลางกล่าว “เมื่อเช้าคุณชายสามกล่าวว่า นางคือดวงดาวนำโชค ทั้งยังเอ่ยว่าฝั่งท่านซื่อจื่อไม่ได้ส่งสารมาเป็นเวลาครึ่งค่อนปีแล้ว ทว่าคุณหนูรองเหยามาได้ไม่นาน กองกำลังที่อยู่ฝั่งตะวันตกก็ได้รับชัยชนะกลับมา…”
“หุบปาก!” ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วพลางตวาดด้วยเสียงเย็นชา “คำพูดไร้สาระเยี่ยงนี้ เจ้ายังกล้าเอ่ยขึ้นเรื่อยเปื่อยอีกรึ?! การได้รับมาซึ่งชัยชนะทางฝั่งตะวันตกเป็นบุญญาธิการของฮ่องเต้และเป็นเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อของเหล่ากองกำลังทหาร จะเกี่ยวข้องกับสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไรกัน ลูกสามของข้ามีวาจาที่ไม่รู้จักกาลเทศะก็ช่างปะไรไป แต่เจ้ากลับมาพูดจาไร้แก่นสารเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“เจ้าค่ะ” เหลียนหมัวมัวรีบหุบยิ้ม จากนั้นก็ค้อมตัวพลางรับคำ “เป็นบ่าวพูดจาเลื่อนเปื้อนเองเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และพลันทอดถอนใจเอ่ยขึ้น “แท้จริงแล้ว การที่ได้สมรสกับตระกูลเหยานั้นยังคงมีประโยชน์ต่อพวกเรามากยิ่งนัก ถ้าไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนั้นมันเกินเลยจริงๆ ข้าก็ไม่หวังว่าตระกูลเหยาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่ว่า…หากเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้เป็นความจริง เมื่อถูกลือออกไปล่ะก็ แม้แต่พระพักตร์ของฮ่องเต้และองค์หญิงต้าจั่งยังต้องเสีย! แล้วลูกสามจะยังมีหน้าไปไหนได้อีก?! ดังนั้น ข้าจะมัวสนใจผู้อื่นไม่ได้!”
เหลียนหมัวมัวรีบเอ่ยขึ้น “นายหญิงทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ก็เพราะพิจารณาถึงจวนติ้งโหวและคุณชายสาม นี่เป็นความผิดของฮูหยินน้อยสามเพียงผู้เดียวเท่านั้น ถ้าเกิดมีผลที่ตามมาเยี่ยงนั้นจริงๆ ก็มีเพียงนางคนเดียวเท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ นายหญิงต้องรักษาสุขภาพของตน จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเจ้าค่ะ”
คล้ายทุกอย่างเหมือนไม่ได้มีอะไรแปรเปลี่ยนไป แต่ทุกอย่างก็คล้ายว่าจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมด้วยเช่นกัน
เหยาเฟิ่งเกอยังคงป่วยอยู่ หมอหลวงบอกว่าอาการป่วยของฮูหยินน้อยสามอาจจะยืดเยื้อไปถึงปีหน้าก็ได้ คนมากมายที่อยู่ในจวนติ้งโหวต่างสามารถยิ้มได้ แต่กลับไม่ได้รู้สึกรื่นเริงยินดีมากนัก อย่างไรก็ตาม ต่อให้มีชีวิตรอดจนถึงปีหน้าก็ต้องสิ้นใจอยู่ดี จะสิ้นใจช้าหรือเร็ว มันแตกต่างกันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น
เหยาเฟิ่งเกอถูกเหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มทุกวัน แต่ไม่ได้เหมือนเริ่มแรกที่รักษาอาการเส้นลมปราณของม้ามและไตแล้ว กลับมาเริ่มรักษาเส้นลมปราณของหัวใจและปอดแทน เริ่มแรก เหยาเยี่ยนอวี่เองก็รู้สึกตื่นเต้น ถึงแม้ตลอดชีวิตนี้ นางเคยผ่านการผ่าตัดหัวใจมาหลายครั้ง นางคุ้นเคยกับโครงสร้างหัวใจและทักษะการผ่าตัดของตน อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีที่แปลกใหม่มาทำการรักษาเช่นนี้ ถ้าเกิดไม่ระมัดระวังขึ้นมาก็อาจจะทำให้ชีวิตคนผู้หนึ่งสิ้นชีพไปได้
ซูอวี้เสียงจะมาเยือนในทุกวัน อีกอย่างเวลาที่เขามานั้นไม่แน่ไม่นอน บ้างก็ตอนเช้าบ้างก็ตอนเย็น ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ระมัดระวังไม่ถูก จึงทำได้เพียงเปลี่ยนเวลาฝังเข็มไปเป็นเวลาตอนกลางดึก
วันนี้ได้ยินผู้คนต่างก็ลือกันว่าเป็นวันที่เจิ้นกั๋วกง ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ผิงซีนามว่าหันเวย กับเฉิงอ๋องซื่อจื่อและติ้งโหวซื่อจื่อจะเดินทางกลับมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้พร้อมกับชัยชนะ องค์ชายใหญ่ทรงเป็นตัวแทนฮ่องเต้ไปต้อนรับพวกเขากลับมา พร้อมกับปูพรมแดงให้ยาวเหยียดถึงสิบลี้ จึงทำให้บรรยากาศในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความครึกครื้น
เหยาเฟิ่งเกอได้พูดคุยกับเหยาเยี่ยนอวี่ว่าตั้งแต่วันแรกที่นางมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาสักระยะหนึ่งแล้ว วันๆ เอาแต่อุดอู้อยู่ในจวนเกรงว่าคงจะเบื่อหน่ายน่าดู จะเป็นการดีกว่าหากจะได้ออกไปผ่อนคลายข้างนอกกับคุณหนูสามตระกูลซู หรือก็คือซูอวี้เหิง ในใจของเหยาเยี่ยนอวี่คิดว่าอย่างไรตนก็ต้องทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในเมืองหลวง อนาคตหากได้ออกจากจวนติ้งโหวจริง จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนตาบอดที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ดังนั้นนางจึงรับคำ
ตอนที่ตื่นมาในยามเช้า เมื่อกินอาหารเช้ากับเหยาเฟิ่งเกอเสร็จ หลี่หมัวมัวก็พาเหยาเยี่ยนอวี่ไปที่เรือนชุยซื่อ และถือโอกาสไปเข้าเฝ้าองค์หญิงต้าจั่งในยามเช้า หลังจากสนทนากับซูอวี้เหิง วันนี้นางกับเหยาเยี่ยนอวี่จึงออกไปข้างนอกพร้อมกัน
ซูอวี้เหิงเป็นคนที่สดใสและร่าเริง เมื่อได้ยินว่าจะมีคนไปเป็นเพื่อนเล่นด้วย จึงรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา พอตื่นมาในยามเช้า หลังจากที่นางแต่งกายแต้มเครื่องประทินผิว ก็ได้ออกจากจวนองค์หญิงต้าจั่ง ครั้งแรกที่นางเจอเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ได้ทำสีหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอันเบิกบาน พลางเข้าไปจับมือแล้วเรียกขานว่าพี่สาว
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่าสาวน้อยนางนี้มีอายุสิบสี่ปี ดูจากแววตาของนางนั้นใสซื่อบริสุทธ์ซึ่งไม่เข้ากับอายุที่ใกล้วัยสาวแล้วยิ่งนัก นางมีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาที่ยังไม่รอบรู้เรื่องโลกภายนอก เหยาเยี่ยนอวี่คิดว่านางถูกสั่งสอนและเลี้ยงดูมาจากต้นตระกูลที่ดียิ่งนัก ทำให้นางรู้น้อยมากเกี่ยวกับกลอุบายทางโลกเหล่านั้น นางเป็นคนมีจิตใจที่ใสกระจ่าง ชอบก็คือชอบ เกลียดก็คือเกลียด ความรู้สึกถ่องแท้ของนางได้สื่อผ่านนัยน์ตาออกมาอย่างชัดเจนโดยไม่มีการปิดบัง และไร้ซึ่งความจอมปลอม
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่ย่อมเข้าใจดีถึงสิ่งที่คุณหนูสามผู้นี้เป็น ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนซื่อบื้อ ไม่รู้จักเรื่องราวใดๆ ของใต้หล้า ในทางตรงกันข้าม ต่อหน้าผู้ที่ยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบดั่งเช่นนาง ไม่ควรที่จะใช้กลอุบายในการคบหากับคนเช่นนี้ ซึ่งอาจจะถูกคนประเภทนี้ดูถูกเอาก็ได้
แต่ว่า การที่ได้อยู่กับคนที่ฉลาดหลักแหลมถือว่าดียิ่งนัก เหยาเยี่ยนอวี่รู้แค่ว่าตนไม่ควรกล่าวมากความ สิ่งที่แขกคนหนึ่งควรทำก็คืออยู่เคียงข้างซูอวี้เหิงอย่างเงียบๆ วันนี้นางก็แค่ถูกพาตัวออกไปชมบรรยากาศที่ครึกครื้น และไปในฐานะญาติของจวนติ้งโหวเท่านั้น
ครั้งนี้เจิ้นกั๋วกงที่ออกรบและถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพผิงซี และเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุด ส่วนติ้งโหวซื่อจื่อกับเฉิงอ๋องซื่อจื่อต่างก็เทิดทูนและภาคภูมิใจในตัวของแม่ทัพผู้นี้ สามารถกล่าวได้ว่าเขาคือแม่ทัพที่เตรียมการออกรบได้อย่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก การที่ได้รับชัยชนะกลับมาเพียงทำสงครามในครั้งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่น่ายกย่องและน่าเทิดทูนยิ่งนัก
ถนนหนทางจากประตูฝั่งตะวันตกของเมืองหลวงไปจนถึงพระราชวังเต็มไปด้วยผู้คนแออัด โรงน้ำชาตลอดจนภัตตาคารทั้งสองฝั่งไม่มีแม้แต่ที่นั่งว่างสักที่ ข้างถนนทั้งสองฟากเบียดเสียดไปด้วยผู้คน หน้าต่างและเสาของทุกๆ หลังคาเรือนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังรอดูแม่ทัพหนุ่มผู้กล้าหาญที่สง่าผ่าเผยกลับมา
ซูอวี้เหิงติดตามอยู่ข้างกายองค์หญิงต้าจั่ง นางเป็นคนแรกที่ได้รู้เรื่องนี้ จึงได้สั่งให้คนพกเงินตำลึงมาจองห้องส่วนตัวติดริมหน้าต่างในหอเฟิ่งเสียงเมื่อเจ็ดวันที่แล้ว หลังจากที่รถม้าจอดลงที่ลานด้านในของหอเฟิ่งเสียงแล้ว นางจึงจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปในหอโดยตรง
บ่าวไพร่ที่ติดตามก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อพวกนางทั้งสองคนไว้อยู่แล้ว เหยาเยี่ยนอวี่นั่งจิบชาอยู่ในห้องส่วนตัวอย่างเงียบๆ ในใจกำลังคำนึงถึงว่า ยุคสมัยโบราณก็มีดีตรงนี้แหละ ตราบใดที่มีอำนาจ เพียงเผยอปากเท่านั้นก็จะมีคนมาจัดการให้ นำทุกสิ่งที่ชอบและอยากได้มาไว้ตรงหน้า
ด้านนอกมีเสียงโห่ร้องดังขึ้นดั่งเสียงคลื่นน้ำ จากนั้นก็ได้ยินเสียงที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของสาวใช้ซ่งจื่อเอ๋อร์ที่กำลังมองนอกหน้าต่างตั้งแต่แรก “คุณหนู คุณหนู มาแล้วเจ้าค่ะ! ท่านกั๋วกงและท่านซื่อจื่อ พวกเขามากันแล้วเจ้าค่ะ!”
ซูอวี้เหิงจึงรีบวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับเหยียดกายลุกขึ้น พลางเดินไปดูตรงหน้าต่าง ทว่ากลับเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน นางจึงได้หันหลังกลับไปแล้วดึงตัวนางมาด้วย “พี่สาวรีบมาดูสิเจ้าคะ! นี่เป็นภาพอันสวยงามที่ยากจะพบเห็นนะเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกนางดึงตัวไปตรงหน้าต่าง มือข้างหนึ่งจับขอบหน้าต่างไว้ เพื่อที่จะโผล่ศีรษะออกไปด้านนอก ข้างนอกเต็มไปด้วยผู้คนล้นหลาม ทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจ ทั้งสองข้างของถนนเป็นพื้นอิฐหินสีเขียวที่มีทหารรักษาการณ์กำลังยืนเรียงรายกันเป็นแถว
ชาวบ้านที่เป็นเพียงสามัญชนทั่วไปยืนอยู่ตรงข้างถนน เหล่าป้าน้าอากำลังเบียดและผลักกันไปมา ตรงหน้าต่างของภัตตาคารและโรงน้ำชาก็เต็มไปด้วยผู้คนเช่นกัน ส่วนมากจะเป็นแม่นางน้อย มีเพียงบางที่ที่เป็นบุรุษ อย่างไรก็ตาม การได้รับชัยชนะกลับมาจากการรบนี้ล้วนเป็นบุรุษผู้ที่มีชื่อเสียงในราชสำนักต้าอวิ๋น เหล่าแม่นางพวกนี้เป็นวัยที่กำลังแตกเนื้อสาว จึงเป็นเรื่องปกติที่จะวิ่งออกมาเฝ้าดูหนุ่มๆ ส่วนเหล่าคุณชายเองก็ต้องการมาตามหาผู้ที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา และมีเพียงไม่กี่คนที่ออกมาเพื่อหาเรื่องตื่นเต้นสนุกสนาน
“พี่เหยา ดู รีบดูเร็ว…ผู้ที่สวมใส่ชุดออกรบสีม่วงคือเจิ้นกั๋วกง!” ซูอวี้เหิงชี้ไปยังบุรุษชุดม่วงที่อยู่ห่างไกลออกไปให้เหยาเยี่ยนอวี่ดู “คนที่ใส่ชุดออกรบสีเขียวอยู่ข้างหลังของเขานั่นก็คือพี่ใหญ่! ส่วนคนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวคือเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ซึ่งมียศเป็นแม่ทัพที่มีนามว่าหันซังเกอ และคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงคือเฉิงอ๋องซื่อจื่อ! พี่สาว ดูสิ พี่ใหญ่ช่างดูสุขุมและอ่อนโยนยิ่งนัก สมกับที่เป็นแม่ทัพด้านบุ๋นมากกว่าบู๊จริงๆ …”
เหยาเยี่ยนอวี่อมยิ้มพลางเอ่ยเห็นด้วย แล้วมองกองทัพชุดเหล็กกล้าที่ดูสง่าผ่าเผยกำลังเดินมาจากทางฝั่งทิศตะวันตก เสียงกีบม้าและเสียงชุดเกราะเหล็กกระทบกันดังขึ้น อำนาจและความสง่าผ่าเผยของกองทัพนั้นล้นขอบฟ้าดั่งที่คาดไว้เสียจริง แต่จริงๆ ในใจของนางกลับนึกคิดอีกเรื่อง
ถึงแม้ราชวงศ์ต้าอวิ๋นจะมีกฎธรรมเนียมปฏิบัติที่เคร่งครัด ส่วนมากเหล่าหนุ่มสาวก็ให้ความสำคัญกับเรื่องที่สตรีและบุรุษไม่อาจสนิทสนมใกล้ชิดกันเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้เคร่งครัดถึงขั้นที่สตรีจำต้องอยู่กับเรือน นับประสาอะไรกับเพียงแค่ถูกผู้ใดเห็นก็จำต้องออกเรือนกับคนผู้นั้น
เพราะว่าฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าอวิ๋นทรงให้ความสำคัญทางด้านการทหาร ดังนั้นเหล่าสตรีในตระกูลชั้นสูงจึงได้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างมีอิสรภาพ องค์หญิงและท่านหญิงสามารถทรงม้าบนถนน และสามารถไปท่องเที่ยวตามชนบท ออกล่าสัตว์ป่า การละเล่นชู่จวี และการเล่นตีคลี
ทว่าบุตรีในตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นจะเป็นกุลสตรีที่สงบเสงี่ยมกว่า การอบรมสั่งสอนลูกหลานในตระกูลก็จะเข้มงวดเป็นพิเศษ เหมือนอย่างคนตระกูลเหยา คุณหนูในตระกูลถูกฝึกฝนด้านการเย็บปักถักร้อย การเล่นกู่ฉิน การเดินหมาก แต่งบทกลอนเขียนอักษร และการวาดภาพ สำหรับการออกล่าสัตว์ป่า การละเล่นชู่จวี หรืออะไรอื่นจะไม่ค่อยให้ความสำคัญมากนัก