หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 137 ฝีมือการแพทย์พัฒนา ท่านซื่อจื่อวางอำนาจ (3)
“อะไรยุ่งเหยิง” เหยาเหยียนอี้ที่สาวเท้าเดินเข้าไปโดยเร็ว ทำให้สองสามีภรรยาในเรือนสะดุ้งตกใจทันที
เหยาเฟิ่งเกอลุกขึ้นพลางเดินเข้าไปต้อนรับ จากนั้นก็ขานเรียกยิ้มๆ “พี่ชายรอง”
ซูอวี้เสียงพลันเหยียดกายลุกขึ้นพลางประสานมือคารวะให้กับเหยาเหยียนอี้ พร้อมกับพูดขึ้น “พี่รองมาแล้ว ไม่รู้ว่าอาการป่วยของพี่สะใภ้ใหญ่ข้าเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“นี่ต้องถามน้องรอง ข้าคงไม่เหมาะแก่การพูด เอ๊ะ แล้วน้องรองล่ะ?” เหยาเหยียนอี้นั่งตามสบาย แล้วรับน้ำชาร้อนๆ ที่สาวใช้ยื่นมาให้
เหยาเฟิ่งเกอรีบพูดขึ้น “น้องรองไปอาบน้ำที่เรือนหลังแล้ว ดูจากสภาพที่ซีดเซียวเช่นนั้นของนางเหมือนกับคนป่วยหนัก เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
เหยาเหยียนอี้ส่ายหน้า พร้อมกับพูดขึ้น “ข้าก็พูดไม่ถูก สาวใช้ชุ่ยเวยบอกว่านางเหน็ดเหนื่อยเกินไป เจ้าว่านางแค่รักษาคนป่วยเท่านั้น เหตุใดถึงเหนื่อยมากเพียงนี้ การรักษาโรคแบบนี้ก็ยากลำบากเกินไปแล้ว”
ภายในใจของซูอวี้เสียงมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่จะได้เป็นภรรยาคนต่อไปของพี่ใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “นี่ก็สายมากแล้ว พี่รองก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะสั่งให้คนไปเก็บกวาดเรือนให้พี่รอง”
เหยาเหยียนอี้ยิ้มพลางพูด “อย่างไรก็รบกวนน้องสาวและน้องเขยแล้ว”
“นี่พี่รองพูดอะไรอยู่” ซูอวี้เสียงพูดไป ก็สั่งให้หู่พั่วพาคนไปเก็บกวาดเรือนเล็กที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออก จากนั้นก็เชิญเหยาเหยียนอี้ไปพักผ่อน
เหยาเหยียนอี้ก็เกลี้ยกล่อมให้เหยาเฟิ่งเกอนอนพักเร็วๆ ผู้ที่ตั้งครรภ์ไม่ควรถูกรบกวนและไม่ควรรอคอย จากนั้นเขาก็เดินตามบ่าวออกไป
ซูอวี้เสียงอยากถามเหยาเฟิ่งเกอเกี่ยวกับเรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง เหยาเฟิ่งเกอกลับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วสั่งให้คนไปทำความสะอาดเรือนหลังเล็ก ซึ่งเป็นเรือนที่เหยาเยี่ยนอวี่เคยพักให้เรียบร้อย จากนั้นนางก็ไปนอน
ดังนั้น ตลอดทั้งคืนคุณชายสามซูหลับไม่ค่อยสนิท ตอนเช้าที่ตื่นมาเลยตาบวม เหยาเฟิ่งเกอเป็นคนที่คอยนอนอยู่เคียงข้างเขา ก็ต้องรู้ว่าภายในใจของเขาคิดอะไรอยู่ แต่นางเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเหยาเยี่ยนอวี่ และทัศนคติของพ่อของนางดีขึ้น ดังนั้นนางจึงไม่กังวลกับเรื่องนี้มากเกินไป
ซูอวี้เสียงตื่นเช้ามาก็ออกจากเรือน ภายในใจรู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก และรู้สึกขุ่นเคืองเหยาเฟิ่งเกอ ดังนั้นแม้แต่อาหารยังไม่กินที่เรือนของนาง
เหยาเหยียนอี้หลับจนเต็มอิ่ม หลังจากที่ตื่นก็ไปหาเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่กำลังกินอาหารมื้อเช้าอยู่ พอเห็นเหยาเหยียนอี้เข้ามา จึงรีบพูดขึ้น “เมื่อครู่สั่งให้สาวใช้ไปดูพี่ชายรองแล้ว บอกว่าพี่ชายรองยังหลับอยู่ น้องจึงอยากจะให้พี่ชายรองหลับให้เต็มอิ่ม พวกเราทั้งสองเลยกินข้าวกันก่อน”
เหยาเหยียนอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจ แค่ยิ้มพลางพูดขึ้น “ข้ามีเวลาว่างจนเคยชิน ทว่าเจ้าตั้งครรภ์อยู่ ก็ควรที่จะกินอาหารบำรุงร่างกายตามเวลา อย่าให้หลานชายคนโตของข้าต้องทนหิวล่ะ”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มพลางพูด “ใครบอกว่าเป็นหลานชายคนโตล่ะ หมอตำแยยังบอกว่าเหมือนครรภ์จะเป็นบุตรี”
เหยาเหยียนอี้คลี่ยิ้มอย่างไม่สนใจ “บุตรีก็ยิ่งดี ดูบุตรีตัวจิ๋วของข้าเอาใจใส่คนเก่งยิ่งนัก วันข้างหน้าข้าจะได้ไม่กังวลว่าจะไม่มีใครคอยใส่ใจเจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นแล้วหลีกที่นั่งให้เหยาเหยียนอี้ จากนั้นตนก็นั่งในที่นั่งถัดไป สาวใช้ยกอาหารชุดใหม่มาให้เหยาเหยียนอี้ ทั้งสามพี่น้องนั่งล้อมวงกินอาหารมื้อเช้าด้วยกัน
เหยาเหยียนอี้ถามเหยาเยี่ยนอวี่ “อาการของฮูหยินท่านซื่อจื่อเป็นเช่นไรบ้างแล้ว เมื่อวานอาการของเจ้าทำให้ข้าตกใจแทบแย่ เหตุใดถึงรักษาอาการป่วยให้ผู้อื่น ตนถึงต้องเกือบเอาชีวิตเข้าแลกด้วยเล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้า แล้วพูดขึ้น “ยังพูดอะไรไม่ได้เจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะไปดูอาการอีกครั้ง วิธีการฝังเข็มประเภทนี้ต้องสูญเสียพลังงานมากเป็นพิเศษ เมื่อวานข้าเห็นฮูหยินท่านซื่อจื่อป่วยเป็นสภาพเช่นนั้น ตอนฝังเข็มเลยไม่ได้เก็บแรงไว้ ดังนั้นจึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเป็นอย่างยิ่ง”
“เฮ้อ! นี่เป็นเรื่องที่ลำบากจริงๆ” เหยาเหยียนอี้ถอนหายใจ แล้วเปรยกับเหยาเฟิ่งเกอ “ข้าดูๆ แล้ว ทางฝั่งท่านซื่อจื่อก็ตกอยู่ในสภาพที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้ามากจริงๆ”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ อย่าว่าแต่พวกเขาที่เป็นสามีภรรยากันมาหลายปีเลย แล้วยังมีบุตรีด้วยกันอีก แค่ข้าที่เป็นเพียงคนนอกเท่านั้น พอดูๆ แล้ว ภายในใจยังรู้สึกทนไม่ไหว” เหยาเฟิ่งเกอก็ถอนหายใจตาม
“เจ้าน่ะ อย่าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่นเลย! แค่ดูแลตัวเจ้ากับทารกในครรภ์ของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว” เหยาเหยียนอี้เกลี้ยกล่อม
“ข้ารู้” เหยาเฟิ่งเกอยกมือลูบท้องน้อยที่นูนขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มมุมปากขึ้น นางต้องคลอดทารกคนนี้ออกมาอย่างราบรื่นให้ได้ ต่อให้เป็นบุตรี ก็ต้องปลอดภัยมีความสันติสุข ชีวิตที่ต้องนอนรอความตายเยี่ยงนั้นช่างทรมานเกินไปจริงๆ หลังจากที่เคยผ่านประสบการณ์นั้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็ไม่อยากกลับไปเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง
ทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ที่เพิ่งวางตะเกียบลง เฉินซินก็มาเยือน ไม่ต้องพูดก็รู้ว่านางต้องถูกซูอวี้ผิงสั่งให้มาเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไป เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้พูดจาให้มากความ จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดมุมปาก แล้วบอกกับเหยาเฟิ่งเกอและเหยาเหยียนอี้ “พี่รอง พี่สาว ข้าไปที่นั่นประเดี๋ยวเดียวนะเจ้าคะ”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้า “ข้าไม่ได้ไปพร้อมกับเจ้าแล้ว เจ้าแค่ระมัดระวังตัวให้ดีก็พอ การรักษาอาการผู้ป่วยเป็นเรื่องที่ดี แค่ต้องคำนึกถึงสุขภาพร่างกายของตนเองด้วย”
“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับพลางค้อมตัวเล็กน้อย จากนั้นพาชุ่ยเวยติดตามเฉินซินจากไป
พอเหยาเยี่ยนอวี่จากไป เหยาเฟิ่งเกอก็เล่าเรื่องที่เฟิงฮูหยินน้อยอยากจะให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นภรรยาคนต่อไปของซูอวี้ผิงให้เหยาเหยียนอี้ฟัง เหยาเหยียนอี้ฟังจนจบแล้วก็แสยะยิ้มขึ้น “นางช่างคิดเหลือเกิน”
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกคาดคิดไม่ถึงในท่าทีของเหยาเหยียนอี้ ด้วยเหตุนี้จึงถาม “พี่รอง เหตุใดถึงพูดเช่นนี้”
เหยาเหยียนอี้พูดด้วยเสียงในลำคอ “นางก็คิดวางแผนไว้เป็นอย่างดีแล้วไง หากนางสิ้นใจไปแล้วให้เยี่ยนอวี่แต่งเข้ามา เยี่ยนอวี่มีทักษะการแพทย์ ต้องรักษาบุตรีของนางให้อยู่อย่างสันติสุขแน่นอน หลังจากนางสิ้นใจจะได้ไม่มีอะไรต้องคอยกังวลอีก ทว่านางทำเช่นนี้กลับทำให้ตระกูลเหยาของพวกเราถูกคนในสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ยังไม่ต้องพูดถึงตระกูลเฟิงว่าจะเป็นเช่นไร และไม่พูดถึงเจิ้นกั๋วกงและแม่ทัพติ้งหย่วนจะรู้สึกเช่นไร แค่พูดถึงจวนติ้งโหว พวกเขาจะยอมให้เยี่ยนอวี่และเจ้าเป็นสะใภ้ทั้งสองคนเลยหรือ เช่นนั้นเรือนหลังของจวนติ้งโหวก็ตกอยู่ในกำมือของตระกูลเหยาแล้วสิ? ท่านฮูหยินติ้งโหวต้องไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”
เหยาเฟิ่งเกอรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที แล้วคิดในใจว่า ตนครุ่นคิดเรื่องนี้ละเอียดเพียงพอแล้วหรือไม่ แต่นางกลับไม่ได้คิดละเอียดถึงระดับนี้เลย
เหยาเฟิ่งเกอนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วถาม “เช่นนั้นความหมายของพี่รอง เรื่องงานสมรสของเยี่ยนอวี่ควรทำเช่นไร”
เหยาเหยียนอี้หัวเราะเสียงเบา แล้วส่ายหน้า “ตามความคิดของข้า เยี่ยนอวี่ยังไม่เหมาะสมแก่การพูดคุยถึงเรื่องงานสมรส เหตุผลที่หนึ่ง ผ่านเทศกาลตรุษจีนนี้ไปนางเพิ่งจะมีอายุสิบเจ็ดปี ตอนนั้นเจ้าก็ยังออกเรือนตอนอายุสิบแปดเลย ส่วนนางเล่า ให้ผ่านไปอีกสักสองปีก็ไม่ถือว่าสาย เหตุผลที่สอง ตอนนี้เยี่ยนอวี่กลายเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงอวิ๋น เหตุใดพวกเราถึงต้องรีบร้อนให้นางออกเรือนด้วยเล่า ตอนนั้นนางมาจวนติ้งโหวก็มาด้วยความจนใจ วันนี้เจ้าก็ตั้งครรภ์แล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก หรือว่าพวกเราไม่ควรเลือกคู่สมรสดีๆ ให้นางเลยหรือไร”
ทันใดนั้นเหยาเฟิ่งเกอก็ตระหนักถึงสิ่งที่เหยาเหยียนอี้พูด ถ้าเหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ออกเรือน ตอนนี้ก็ยังเป็นบุตรีของตระกูลเหยา ฝีมือทางการแพทย์ของนางน่าตกใจเพียงนี้ ราชวงศ์ใดจะไม่มีคนป่วยไข้เลย ด้วยเหตุนี้บุคคลสำคัญเหล่านี้จึงต้องมองตระกูลเหยาแตกต่างกันออกไป อย่างจวนองค์หญิงใหญ่หนิงหวาก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
ทว่าหากนางออกเรือนไปแล้ว ก็จะกลายเป็นสะใภ้ของคนอื่น ที่ผ่านมาวัฒนธรรมของราชวงศ์ต้าอวิ๋น พอออกเรือนก็ต้องติดตามและเชื่อฟังสามี ถึงเวลานั้น ต่อให้เยี่ยนอวี่จะดีมากเพียงใด ก็คงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหยาอีกต่อไป
พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาเฟิ่งเกอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ตามสิ่งที่พี่รองเอ่ย ทางฝั่งฮูหยินท่านซื่อจื่อ ข้าควรไปปฏิเสธอย่างเด็ดขาด?”
“แน่นอนว่าต้องไปปฏิเสธอย่างเด็ดขาด” เหยาเหยียนอี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
อย่าว่าแต่ไปเป็นภรรยาคนต่อไปเลย ต่อให้วันนี้ท่านซื่อจื่อท่านใดที่มาจากตระกูลโหวจะมาสู่ขอเหยาเยี่ยนอวี่ไปเป็นคู่ชีวิต เหยาเหยียนอี้ยังไม่แน่ว่าจะตอบตกลง ล้อเล่นหรือไร เขายังต้องร่วมมือกับน้องสาวคนนี้เพื่อทำเงินเป็นจำนวนมาก สูตรปรุงยาจะสำคัญอะไรกัน? น้องสาวคนนี้ต่างหากที่เป็นเงินสดตลอดกาล