หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 146 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 2
ตอนที่ 146 เกิดเหตุสุวิสัยที่สนามม้า-อวิ๋นเหยาใช้ความรุนแรง 2
หันหมิงชั่นถูกนัยน์ตาที่สื่อถึงความคลั่งรักที่ยิ่งทีก็ยิ่งชัดเจนของอวิ๋นคุน จึงทำให้นางตกใจ ทันใดนั้นนางจึงยกมือแล้วสะบัดมือของอวิ๋นคุนออก จากนั้นก็ดึงบังเหียนม้าออกจากข้างกายของอวิ๋นคุน แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “ญาติผู้พี่ พี่รองของข้าอยู่ทางโน้น ท่านมีอะไรก็ไปคุยกับเขา” กล่าวจบ นางก็โบกแส้ในมือลงบนก้นม้าสีแดงพุทราแรงๆ
ม้าตัวนี้เป็นที่โปรดปรานของหันหมิงชั่น นางเลี้ยงมาหลายปีก็ไม่เคยคิดจะโบยตีมันลงคอ วันนี้กลับได้รับการยกเว้น
พอม้ารู้สึกเจ็บ จึงร้องฮี้ด้วยเสียงยาว จากนั้นก็ถีบกีบม้าแล้วควบออกไปอย่างบ้าคลั่ง
“ชั่นเอ๋อร์!” อวิ๋นคุนสะดุ้งตกใจทันที กลัวว่าวิธีขี่ม้าของหันหมิงชั่นเช่นนี้จะเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงรีบเร่งม้าให้ตามออกไป
ทางฝั่งเว่ยจาง ความขุ่นเคืองใจภายในใจของเขาก็ไม่น้อยไปกว่าอวิ๋นคุน
เขาเร่งม้าจากที่ไกลๆ ก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่ที่สวมเสื้อคลุมสีส้มและสวมหมวกขนมิงค์สีขาวกำลังนั่งงอตัวอยู่บนม้าสีขาวหิมะ ท่าทางนั้นดูหวาดกลัวยิ่งนัก เว่ยจางรู้สึกได้ถึงการที่นางกำอานม้า และแขนที่เกร็งแข็งจนสั่นสะท้านไปหมด
หันซังเย่ว์จูงม้าไว้ แล้วหันหน้ากลับมาเงยหน้ามองนางด้วยรอยยิ้ม เหมือนกำลังพูดอะไรบางอย่าง กลับทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าไม่หยุด
ท้ายที่สุด สิ่งที่ทำให้เว่ยจางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟก็คือม้าตัวนั้น
ม้าตัวนั้นเป็นม้าที่ดีที่สุดในสนามม้า อีกอย่างใครๆ ก็รู้ว่านี่คือของขวัญวันเกิดที่ฮ่องเต้ทรงประทานให้หันซังเย่ว์ที่เป็นหลานชาย ตอนเขาอายุสิบหก เป็นเหมือนสมบัติหัวแก้วหัวแหวนของหันซังเย่ว์ แม้กระทั่งคนที่คอยป้อนอาหาร น้ำ และหวีขนในทุกๆ วัน ก็คงถูกคัดเลือกมาด้วยความใส่ใจ
ม้าที่หันซังเย่ว์เลี้ยงดูเหมือนดั่งบุตรชายมาสี่ห้าปี ตัวเขาเองยังขี่ไปแค่สองสามครั้ง และไม่เคยให้คนอื่นแตะต้อง วันนี้ผู้ที่นั่งอยู่บนม้ากลับเป็นเหยาเยี่ยนอวี่
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้เว่ยจางอยากจะอาเจียนเป็นเลือดมากที่สุด ก็คือแม่นางคนนี้ ทั้งที่รู้สึกประหม่าแทบตาย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของนางนั้นสดใสยิ่งกว่าแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในเหมันต์ฤดู! อีกทั้งหันซังเย่ว์เจ้าสารเลวนั่นยังรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก ทั้งสองพูดคุยเล่นและหัวเราะกัน ช่างดูมีความสุขกันยิ่งนัก!
ยิ้มอะไร! เว่ยจางแทบอยากจะพุ่งเข้าไปตะคอกใส่นางสองสามประโยค เหตุใดเจ้าถึงสามารถยิ้มให้กับบุรุษที่นอกจากบิดาและพี่ชายของเจ้า! กฎระเบียบและมารยาทล่ะ ความเป็นกุลสตรีล่ะ!
ทางโน่น หันซังเย่ว์จูงม้าไว้ แล้วหันกลับมากำชับเหยาเยี่ยนอวี่ไม่หยุด “ผ่อนคลายหน่อย ยืดตัวตรง อย่ากลัว…”
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวมากเยี่ยงนั้นแล้ว แค่ได้ขี่อยู่บนม้าที่งดงามเยี่ยงนี้ ตรงหน้ายังมีคุณชายตระกูลชั้นสูงที่เป็นวีรบุรุษคอยจูงม้าให้ตนเอง นางจึงรู้สึกค่อนข้างผ่อนคลาย พอม้าเดิน จึงทำให้ส่ายไปส่ายมา นางกลับรู้สึกอะไรที่อยู่ตรงหน้าก็ส่ายไปมาจนหมด ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าส่ายไปส่ายมา นางจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายตาม พอส่ายไปส่ายมา ก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะ
หันซังเย่ว์เห็นเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเยี่ยงนี้ ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกขบขัน ดังนั้นจึงกำชับอีกครั้ง “คุณหนูเหยา ผ่อนคลายหน่อยเถอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องจับอานม้าแน่นปานนั้น วางใจเถอะ ไม่ตกแน่นอน”
“อืม ข้ารู้แล้ว…ข้าไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่กำลังคิดในใจว่า คุณชายหัน ท่านเปลี่ยนให้คนขับรถม้ามาช่วยข้าจูงม้าได้หรือไม่ ท่านเป็นบุตรชายขององค์หญิงใหญ่มาจูงมาให้ข้า ข้าก็ต้องรู้สึกกดดันอยู่แล้ว! อา…อ๊ะ? เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันระบายอารมณ์จนจบ ก็เห็นเว่ยจางที่สวมใส่ชุดทหารสีมืดที่กำลังขี่ม้าจากที่ไม่ไกล ระยะห่างเพียงไม่กี่สิบก้าว เหยาเยี่ยนอวี่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกจากร่างของหมอนั่น และนัยน์ตาที่เฉียบคมกำลังจะบาดคนของเขา
“คุณหนูเหยา สิ่งที่ข้าพูดเจ้าจำได้หรือยัง เจ้ากำลังมองอะไรอยุ่” หันซังเย่ว์จูงม้าแล้วเดินพร้อมกับเอ่ยพูด บังเอิญเงยหน้ามองเหยาเยี่ยนอวี่ก็เห็นนางนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางที่เหม่อลอย แม้แต่อาการตื่นเต้นยังลืม เขาจึงรู้สึกแปลกใจจนต้องหันไปตามทิศทางที่สายตานางกำลังมอง…จากนั้นก็คลี่ยิ้ม
หันซังเย่ว์รู้ลึกในความคิดของเว่ยจางยิ่งนัก ถึงแม้ภายในใจของเขาเองก็ชื่นชอบเหยาเยี่ยนอวี่ ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่เคยรักษาข้อเท้าของหันซังเกอให้หาย ภายในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกที่พิเศษ ทว่าหลังจากที่วิเคราะห์แยกแยะ เขาควรที่จะแสดงตามอารมณ์ หยุดตามสมควรดีกว่า[1] จึงค่อยๆ อดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกนี้ไป
เขาคือบุตรชายของเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่ งานสมรสของเขาก็ต้องยึดผลประโยชน์ของตระกูลเป็นหลัก องค์หญิงใหญ่ก็ดี เจิ้นกั๋วกงก็ดี แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังรวมอยู่ในนั้นด้วย คนเหล่านี้คงไม่มีใครยอมให้เขาขอสู่เหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นบุตรีอนุภรรยาเช่นนี้มาเป็นภรรยาเอกหรอก
แน่นอนว่าถ้าเขายืนกรานในเรื่องนี้ ก็ต้องเป็นไปตามที่ต้องการอยู่แล้ว บิดามารดาของเขารักและเอ็นดูตนเอง ไม่มีทางทำให้ตนเสียใจ ทว่าชีวิตความเป็นอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงต้องหักปีกของเหยาเยี่ยนอวี่แน่นอน ทำให้ทั้งชีวิตของนางต้องถูกกักขังไว้ในกรงสุดหรู
เช่นนั้น ตลอดทั้งชีวิตนางก็คงไม่มีความสุข
หันซังเย่ว์จึงจูงม้าไปหาเว่ยจางด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน รอจนกว่าเหยาเยี่ยนอวี่ได้สติกลับมา พวกเขาทั้งสองก็เดินไปถึงตรงหน้าเว่ยจางแล้ว
เหตุใดถึงได้เร็วเช่นนี้ คุณหนูเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเพียงเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ และไม่ได้ตระหนักถึงระยะทางหลายสิบก้าวเลย นางคงไม่มีทางดึงสติกลับมาทันอยู่แล้ว ถ้าหากทั้งสองฝ่ายจะเดินสวนทางกัน ก็คงเป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น
“พี่เสี่ยนจวิน” หันซังเย่ว์กล่าวทักทายเว่ยจางด้วยรอยยิ้ม “ช่างบังเอิญจริงๆ”
เว่ยจางลงมาจากหลังม้า แล้วพยักหน้าให้กับหันซังเย่ว์ “ชิงจือ เจ้าก็มาขี่ม้าด้วยหรือ”
“ข้าว่างไม่มีอะไรทำ เลยออกมาเที่ยวเล่นกับน้องสาว แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเป็นคนที่ยุ่งจนไม่มีเวลา เหตุใดถึงมีเวลามาขี่ม้าได้”
เว่ยจางยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “จวินเจ๋อร์ (นามทั่วไปของอวิ๋นคุน) ลากตัวข้ามา”
บุรุษทั้งสองกล่าวทักทายกันอย่างสนิทสนม ทำให้คุณหนูเหยาที่ขี่อยู่บนหลังม้าถูกละเลยไป เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าตนเองนั่งอยู่บนหลังม้าสูงแล้วกำลังมองบุรุษสองคนพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ไม่มีความหมายเลย จึงกัดฟัน แล้วดึงบังเหียนม้าและกำลังเดินจากไป
หันซังเย่ว์กลับเอ่ยถามอย่างกะทันหัน “ใช่แล้ว พี่เสี่ยนจวินมาจากทางโน้น เห็นน้องสาวข้าหรือไม่”
“พบแล้ว ตอนข้ามานางกำลังพูดคุยกับจวินเจ๋อร์อยู่”
“อ๊ะ!” หันซังเย่ว์รู้สึกใจไม่ดี น้องสาวได้ตัดสินใจตัดขาดกับญาติผู้พี่ ตามด้วยนิสัยของอวิ๋นคุนเกรงว่าคงไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ ต้องมีการถกเถียงเกิดขึ้น อีกทั้งยามปกติน้องสาวของเขาก็ยังดี ทว่าตอนที่ดื้อรั้นขึ้นมา ต่อให้มีวัวสิบตัวลากนางก็ไม่มีทางกลับมา หากสองคนนี้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน ต้องเป็นน้องสาวที่เสียเปรียบอยู่แล้ว!
พอนึกถึงเช่นนี้ หันซังเย่ว์ก็ไม่สามารถนิ่งเฉยอีกต่อไป เขาเลยรีบโยนบังเหียนม้าในมือไปให้เว่ยจาง แล้วพูดขึ้น “เจ้าช่วยข้าดูแลคุณหนูเหยาที ข้าไปแล้วจะรีบกลับมา”
“ได้” เว่ยจางคลี่ยิ้มบางๆ แล้วรับบังเหียนม้ามา ใบหน้าที่ดูหม่นหมองค่อยๆ หายไปทันที จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองด้านข้างของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเลิกคิ้วคมอันหล่อเหลาขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาคละเคล้าด้วยความรู้สึกดีใจที่ไม่ง่ายที่จะสังเกตเห็น
เหยาเยี่ยนอวี่มองหันซังเย่ว์ดึงม้าของเว่ยจางแล้วรีบขึ้นม้าพลางควบออกไปอย่างว่องไว ดวงหน้าจึงค่อยๆ เปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นแดงระเรื่อขึ้น นางจึงอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ แม่งเอ๊ย! ทำไมคุณหนูคนนี้ถึงต้องมาเจอกับเจ้าสารเลวนี่อีกแล้ว
“คุณหนูเหยาอยากฝึกขี่ม้า?” เว่ยจางมองใบหน้าที่แดงระเรื่อของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วถามด้วยรอยยิ้มบางๆ
คนๆ นี้โดดเด่นและมีเสน่ห์เกินไป ถึงแม้ในนัยน์ตาสีน้ำตาลจะเปล่งประกายรอยยิ้มออกมา ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่มองว่ารอยยิ้มนี้กลับแฝงด้วยการประชดและความไม่หวังดี ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงทำเสียง ‘ฮึ’ อย่างชาญฉลาด แล้วไม่สนใจเขา
“ถ้าเจ้าอยากเรียนขี่ม้า เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ เจ้านั่งบนหลังม้าและเดินไปรอบๆ ไม่ใช่การเรียนขี่ม้า” เว่ยจางพูดพร้อมกับยกมือขึ้นและส่งบังเหียนม้าไปยังเหยาเยี่ยนอวี่ “เอาไปสิ ไม่ว่าเจ้าจะเรียนอะไรก็ตามเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะจับบังเหียนของม้า แล้วเจ้าจะให้ม้าเชื่อฟังเจ้าได้อย่างไร ถ้าม้าไม่ฟังเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถควบคุมมันได้”
[1] แสดงตามอารมณ์ หยุดตามสมควรดีกว่า คือคำสอนความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายหญิงของขงจื่อ หมายถึงการแสดงอารมณ์ความรักความรู้สึกต่อกันโดยต้องถูกที่ควร รู้จักธรรมเนียมจารีต