หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 150 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี-เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ 1
ตอนที่ 150 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี-เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ 1
หลังจากที่ทุกคนกลับมายังไม่ทันไปเจอเหยาเหยียนอี้ ก็ได้กลับเข้าเรือนโดยตรง พอเข้าประตู ชุ่ยเวยก็สั่งการขึ้น “รีบไปเตรียมน้ำร้อน คุณหนูจะอาบน้ำแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มอย่างจนปัญญา รู้ว่าชุ่ยเวยรังเกียจความสกปรกบนร่างกายของเด็กคนนั้น แท้จริงแล้ว เด็กคนนั้นก็แค่ร่างสกปรกเท่านั้น ทว่าผู้ที่คิดว่าตนเองสูงส่งและสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีและเลิศหรู แล้วยังสวมใส่รองเท้าราคาแพง แต่ภายในใจสกปรกมากเพียงใด ใครจะไปมองเห็น?
เหยาเยี่ยนอวี่แช่น้ำที่โรยด้วยกลีบดอกไม้ ความไม่สบายตามเรือนร่างและจิตใจก็ถูกชำระล้างจนหมด วันนี้ก็ได้ชวนหันหมิงชั่นอยู่กินมื้อค่ำที่จวนด้วยกัน หลังจากนั้นก็ได้ปลอบโยนนางไปไม่กี่คำและส่งคนกลับจวนเสร็จก็กลับมานอนหลับในเรือน ตอนนี้นางเลิกคิดถึงเรื่องของเด็กคนนั้นไปแล้ว อย่างไรเด็กคนนั้นก็ใช้ยาของนาง บาดแผลก็ต้องหายแน่นอน นางจึงไม่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อีก
ไม่รู้ว่าตอนนั้นกลับถูกคนที่สนใจมาเห็นเรื่องนี้เข้า แล้วก็จดจำไว้ในใจเป็นอย่างดี
จวนเยี่ยนอ๋อง ณ ห้องอักษรของเยี่ยนอ๋องอวิ๋นเสิ้นหลี่ สองพ่อลูกนั่งหันหน้าเข้าหากันพลางจิบเหล้ากันอยู่
อวิ๋นเสิ้นหลี่ฟังบุตรชายอวิ๋นหางเล่าเรื่องที่ได้เจอมาทั้งหมดในช่วงบ่ายนี้ให้ฟังไปหนึ่งรอบ จึงเม้มปากจิบเหล้าอย่างช้าๆ แล้วพูดขึ้น “เรื่องนี้เจ้าคิดว่าเสด็จน้าเฉิงอ๋องของเจ้าจะทำอย่างไร”
อวิ๋นหางส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วพูดขึ้น “เสด็จน้ารักใคร่และเอ็นดูอวิ๋นเหยามาโดยตลอด ครั้งนี้หากรู้เรื่องแล้ว เกรงว่าก็คงไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาใกล้ตรุษจีนพอดี คาดว่าคงจะว่ากล่าวตำหนิเพียงสองสามคำก็คงปล่อยให้มันผ่านไป”
อวิ๋นเสิ้นหลี่แสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น “องค์หญิงจวิ้นจู่ในตระกูลราชวงศ์มีนิสัยที่เอาแต่ใจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้อวิ๋นเหยาก็ทำเกินไป! เกิดเป็นจวิ้นจู่กลับเฆี่ยนตีสามัญชนในเมืองหลวงด้วยตนเอง อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามยังเป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำให้ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลและเกือบจะเสียชีวิต! เกรงว่าเหล่าอวี้สื่อ[1]คงจะกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย”
อวิ๋นหางครุ่นคิดสักพัก แล้วพูดขึ้น “วันนี้การไว้อาลัยของแคว้นก็ผ่านไปแล้ว เทศกาลตรุษจีนใกล้จะมาถึง อีกอย่างปีนี้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ทั่วทุกที่จึงสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลได้อย่างถี่ถ้วน อีกทั้งสงครามตรงเขตชายแดนทางฝั่งทิศตะวันตกก็ได้รับชัยชนะ ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยยิ่งนัก บรรยากาศในเมืองหลวงอวิ๋นจึงเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี ทีแรกก็ใกล้ถึงตรุษจีนแล้ว เรื่องนี้สามารถเป็นเรื่องเล็กและเป็นเรื่องใหญ่ ลูกคิดว่าฮ่องเต้คงไม่โปรดปรานให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งเสด็จน้าเฉิงอ๋องและฮ่องเต้ก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง อวิ๋นเหยาก็เติบโตมาต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ทรงเห็นนางเหมือนดั่งบุตรีคนหนึ่ง ก็คงลงโทษนางไม่ลงหรอก”
เยี่ยนอ๋องส่ายหัว “เฉิงอ๋องมีพระมารดาเดียวกันกับฮ่องเต้ จึงครอบครองอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในราชสำนักตามลำพัง หลายปีมานี้ อิทธิพลและอำนาจก็ยิ่งนานวันยิ่งเติบโต ข้าคิดว่าฮ่องเต้ไม่มีทางวางพระทัยเด็ดขาด”
อวิ๋นหางถือเหยือกเหล้าแล้วรินเหล้าให้บิดา แล้วพูดขึ้น “ทว่าลูกยังคงรู้สึกว่า ความสัมพันธ์ของฮ่องเต้ที่มีต่อเฉิงอ๋องและองค์หญิงใหญ่หนิงหวา ไม่มีเสด็จลุงป้าน้าอาผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้”
“อืม อย่างไรก็ตามตอนนั้นที่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชย์ พวกเขาสองคนก็ได้สร้างผลงานยอดเยี่ยมไว้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่มีพระมารดาผู้ให้กำเนิดองค์เดียวกัน ฮ่องเต้จึงปฏิบัติตนกับพวกเขาแตกต่างจากผู้อื่น นี่ก็ถือว่ายังมีดีอยู่บ้าง ทว่าก็คงจะถูกจำกัดเพียงเท่านี้ เจ้าต้องจดจำไว้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม หากไปกระทบกระทั่งอำนาจของฮ่องเต้ เช่นนั้นก็คงไม่มีผลที่ดีตามมาแน่นอน”
อวิ๋นหางจึงก้มหน้าพลางตอบกลับ “ขอรับ ลูกจะจดจำคำสอนของเสด็จพ่อไว้ให้ดี”
เยี่ยนอ๋องนิ่งเงียบไปสักพัก แล้วคลี่ยิ้ม “คุณหนูเหยาท่านนี้ ช่างทำให้คนอื่นเปลี่ยนมุมมองในการมองนางจริงๆ !”
“เสด็จพ่อรู้สึกว่าคุณหนูเหยาดีมากหรือ” อวิ๋นหางมองเยี่ยนอ๋อง แล้วรอให้บิดาพูดขึ้นต่อ
เยี่ยนอ๋องกลับเปลี่ยนเรื่องคุย แล้วเอ่ยถาม “ข้าได้ยินมาว่า เหยาหย่วนจือได้เอาสูตรปรุงยาถวายให้กับฮ่องเต้แล้วหรือ”
อวิ๋นหางตอบกลับ “ตามข่าวสารที่ส่งออกมาจากพระราชวัง เป็นเช่นนี้ ลูกคิดว่า ฮ่องเต้คงอยากจะใช้สูตรปรุงยานี้ไปทำผงยา เพื่อให้เหล่าทหารรักษาการณ์และทหารในกองทัพใช้ในเวลาที่ออกรบได้”
“อืม หากผงยาปรุงสำเร็จ คุณหนูรองตระกูลเหยาคงได้สร้างผลงานชิ้นเอก”
“เป็นเช่นนั้น” อวิ๋นหางพยักหน้า นี่เป็นสูตรปรุงยาที่คุณหนูรองตระกูลเหยาคิดค้นด้วยตนเอง!
เยี่ยนอ๋องจับจอกเหล้า แล้วหัวเราะเสียงเบา “ครั้งนี้เหยาหย่วนจือได้กลับไปรับตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองต่อ เกรงว่าสูตรปรุงยานี้ช่วยเขาไว้แน่นอน”
“ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญกับเหยาหย่วนจือมาโดยตลอด” ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีทางให้เขาได้ดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองที่ได้รับเงินบำเหน็จมากมายมานานเยี่ยงนี้ อย่างไรก็คงมีคนไม่น้อยที่อิจฉาตาร้อนแล้วอยากจะแย่งตำแหน่งไปครอบครอง
เยี่ยนอ๋องเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม”
“ลูกไม่รู้ เสด็จพ่อได้โปรดชี้แนะ”
“ต้นตระกูลเหยาเป็นพ่อค้า เดิมทีก็เป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยอย่างมากอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเงินทองมากเพียงใด และสองเมืองนั้นเป็นเมืองที่ร่ำรวย หากส่งขุนนางที่มีฐานะยากจนไป แล้วจะไม่รับเงินบำเหน็จมากมายกันหมดเลยหรือไง” เยี่ยนอ๋องหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าต้องรู้ หลายปีมานี้เหยาหย่วนจือปกครองสองเมือง ก็ได้ส่งเงินให้กับคลังหลวงมากเพียงใดแล้ว”
อวิ๋นหางทำนัยน์ตาที่เปล่งประกาย แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เสด็จพ่อกล่าวถูกต้อง ฮ่องเต้รู้จักใช้งานคนให้เป็นประโยชน์ที่สุด”
ตรงลานขนาดเล็กในเรือนแห่งหนึ่งของจวนอัครเสนาบดี เฟิงเซ่าเชินและเซียวหลินกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันตรงโต๊ะที่มีอาหารเลิศรสมากมายจัดวางอยู่
“วันนี้ ข้าถือว่าได้เปิดโลกให้กว้างจริงๆ” เซียวหลินจิบสุราพลางแสยะยิ้มขึ้น
“พี่จื่อรุ่นออกไปในวันนี้ ไปเจอเรื่องใหม่ๆ อะไรมาหรือ”
“ก็อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่คนนั้นน่ะสิ นางเฆี่ยนตีเด็กคนหนึ่งกลางถนน แล้วเกือบจะทำให้เด็กตาย สถานที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือด”
“อา!” เฟิงเซ่าเชินสะดุ้งตกใจทันที “นี่ก็ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
“ก็เพียงเพราะว่าเด็กคนนั้นจุดประทัดแล้วโยนไปตรงหน้าขาม้าของนาง ทำให้เกิดเสียงดังจนม้าของนางตื่นตกใจ”
“หากทำให้จวิ้นจู่ที่กำลังควบขี่ม้าตกใจ จะต้องถูกลงโทษเพราะความผิดนี้” เฟิงเซ่าเชินขมวดคิ้ว แล้วถอนหายใจ “ทว่าก็ไม่ควรถึงกับเฆี่ยนจนตาย อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ท่านนี้เป็นคนที่โอหังวางอำนาจตลอดมา”
“ต่อให้ไม่ถูกเฆี่ยนตาย ชีวิตของเด็กคนนั้นก็สูญเสียไปกว่าครึ่งแล้ว หากไม่ใช่เพราะบังเอิญเจอกับคุณหนูเหยาคนนั้นของเจ้า เด็กคนนั้นคงไม่อาจมีชีวิตรอดพ้นคืนนี้แน่นอน”
“คุณหนูเหยา? เจ้าได้เจอคุณหนูเหยาด้วยหรือ” เฟิงเซ่าเชินได้ยินคำว่า ‘คุณหนูเหยา’ นัยน์ตาจึงเปล่งประกายแวววับออกมาทันที
เซียวหลินจึงแสยะยิ้ม แล้วพูดอย่างขบขัน “ดูเจ้าช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ!”
เฟิงเซ่าเชินจึงพ่นเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่เห็นด้วย แล้วถามกลับอย่างไม่พอใจ “ข้ารักใคร่แม่นางผู้นี้จากใจจริง แน่นอนว่าต้องเฝ้าคำนึงถึงนางตลอดเวลาอยู่แล้ว นี่มีอะไรน่าขบขันด้วย หรือว่าชาตินี้เจ้าก็จะไม่ชื่นชอบใครสักคนจากใจจริงเลยหรือไง”
“ใช่ ใช่! เจ้าพูดถูก เจ้าพูดถูกทั้งหมด!” เซียวหลินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ทว่าเจ้าฟังประเด็นสำคัญหน่อยได้หรือไม่”
“เจ้าพูดมาสิ” เฟิงเซ่าเชินหยิบเหยือกเหล้าเงินแล้วรินเหล้าให้กับเซียวหลิน
เซียวหลินจึงเล่าเหตุการณ์ที่เห็นเหยาเยี่ยนอวี่รักษาแผลของเด็กคนนั้นข้างโรงเหล้าให้ฟังตั้งแต่แรกเริ่มจนจบไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็จิบสุราหนึ่งคำ แล้วเปรยขึ้น “คุณหนูเหยาผู้นี้ ช่างไม่เหมือนใครจริงๆ! เด็กคนนั้นตัวสกปรกมอมแมมเช่นนั้น โดยปกติแล้ว เหล่าสตรีชั้นสูงส่วนมากเห็นเข้าก็คงจะหลบไปอยู่ที่ไกลๆ แล้ว”
เฟิงเซ่าเชินจึงหาจุดที่เหนือกว่าจนเจอ แล้วเหลือบมองเซียวหลินเพียงชั่วพริบตา แล้วพูดด้วยเสียงในลำคอ “ผู้เป็นหมอมีจิตใจเปรียบดั่งบิดามารดา แม้แต่เหตุผลนี้ก็ยังไม่เข้าใจอีก? คุณหนูเหยาเป็นผู้ที่จิตใจดีที่สุด แล้วจะหลบเลี่ยงได้อย่างไรกัน”
“กล่าวถูก” เซียวหลินพยักหน้า แล้วเอาตะเกียบคีบลูกชิ้นกุ้งหนึ่งลูกแล้วใส่เข้าปาก จากนั้นก็กินไปด้วยและเปรยไปด้วย “ดังนั้นข้าถึงได้บอกว่านางไม่เหมือนผู้อื่น”
“แน่นอนว่านางต้องไม่เหมือนผู้อื่นอยู่แล้ว” เฟิงเซ่าเชินรู้สึกว่าแม่นางที่ตนเองเคยชื่นชมก็ดีกันหมดทุกคน ทว่านางกลับดีที่สุด และดีที่สุดในใต้หล้านี้!
[1] อวี้สื่อ คือ ขุนนางที่เป็นผู้ช่วยมหาเสนาบดีที่ปรากฏขึ้นในราชวงศ์ฉิน