หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 154 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (5)
ตอนที่ 154 เฉิงอ๋องสั่งสอนบุตรี เยี่ยนอวี่เข้าเฝ้าฮ่องเต้ (5)
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า พลางเปรยขึ้น “เสด็จน้องกล่าวถูก ทว่าตอนนี้เรื่องนี้ควรจะแก้ไขอย่างไรดี”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงยิ้มพลางพูดขึ้น “มีอะไรยากเพคะ ตอนนี้คุณหนูเหยาก็อยู่ที่นี่แล้ว สูตรปรุงยานางก็เป็นคนคิดค้นขึ้นมา เหตุใดถึงไม่มอบหมายเรื่องนี้ให้นางไปจัดการล่ะเพคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่แอบมองสีหน้าของฮ่องเต้เพียงชั่วพริบตา แล้วทูลกลับ “ทูลฮ่องเต้ คำพูดขององค์หญิงใหญ่ แท้จริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากมากเพียงนี้เพคะ”
“หืม? ตามความคิดของเจ้า เรื่องนี้ควรทำเช่นไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนพระทัย
เหยาเยี่ยนอวี่ทูลกลับ “ผงยานี้มีส่วนผสมที่ไม่ถูกต้อง หลักๆ แล้วสมุนไพรสองชนิดที่หามานั้นไม่ถูกต้อง หากหม่อมฉันสามารถถวายรูปภาพที่อธิบายถึงลักษณะเฉพาะของยาสมุนไพรสองชนิดนี้ ฝ่าบาทก็จะสามารถนำไปให้ผู้ที่จัดการเรื่องนี้ไปตามหาสมุนไพรตามที่รูปภาพได้อธิบายเอาไว้ เรื่องนี้ก็สามารถแก้ไขได้แล้วเพคะ”
“ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าเจิ้นก็ไม่อยากให้เรื่องนี้เปิดเผยเป็นสาธารณะมากเกินไป” เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ไม่ได้คาดหวังว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะตรงไปตรงมาขนาดนั้น หรือว่าเขายังคงรู้สึกกลั่นแกล้งเด็กหญิงตัวเล็กๆ อยู่ในใจหลังจากที่บังคับเอาสูตรปรุงยาของคนอื่นไป อย่างไรก็คงจะทำลายความรู้สึกของแม่นางตัวน้อยๆ คนนี้แน่นอน หรือเขาอาจจะใช้คำพูดในทางจิตวิทยา หลัง จากที่เขาพูดจบเขาก็เสริมอีกประโยคว่า “นอกจากนี้เจ้าทุ่มเททำเรื่องนี้มามากแล้วเจิ้นอยากให้โอกาสเจ้า”
แท้จริงแล้ว ประเด็นสำคัญคือไม่อยากจะปล่อยให้ ดอกไม้ ‘หายาก’ นี้ต้องหลบอยู่ในที่ลับ หากไม่ระวังถูกผู้ที่ประสงค์ร้ายลวงหลอก อาจจะทำให้เกิดอันตรายก็ได้ ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่กำลังคิดว่า พี่รองสามารถทำนายได้แม่นยำจริงๆ ดังนั้นจึงเม้มปาก เหมือนจะรวบรวมความกล้าพลางทูลตอบ “เรื่องที่ฝ่าบาททรงรับสั่ง หม่อมฉันคงไม่บังอาจไม่ทำตามเพคะ”
“อืม เจ้าเป็นแม่นางที่จงรักภักดี แค่เสียดาย…เจ้าคือสตรี ถ้าหากเจ้าเป็นบุรุษจะดีเพียงใดกัน” ฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังรู้สึกว่าในความสมบูรณ์แบบยังมีข้อบกพร่องเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่หนิงหวายกยิ้มพลางพูดขึ้น “เสด็จพี่อย่าได้ดูหมิ่นสตรีเลยเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลออกมา แล้วตรัส “ข้าได้ยินมาว่าในบ้านนานอกเมืองของเจ้าปลูกพืชสมุนไพรไว้เองหรือ”
“ทูลฝ่าบาท นั่นก็แค่งานที่หม่อมฉันทำตอนรู้สึกเบื่อหน่ายเพคะ”
ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถามขึ้นต่อ “ปลูกอะไรไว้บ้าง”
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับตามความเป็นจริง “เป็นการเพาะปลูกพืชในเรือนกระจก หม่อมฉันปลูกซานชีและหญ้าห้ามเลือดเพคะ”
“เจ้ามีเมล็ดพันธุ์ของหญ้าห้ามเลือด?”
“ทูลฝ่าบาท หญ้าห้ามเลือดชนิดนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในหุบเขาในเขตร้อนชื้นทางตอนใต้ หม่อมฉันเพียงทำตามอำเภอใจเลือกเมล็ดพืชบางชนิดไว้และนำสมุนไพรติดตัวมาด้วยเพื่อใช้ในภายหลัง หลังจากนั้นหม่อมฉันก็พยายามปลูกไว้ในเรือนกระจก แต่มันยังไม่โต หม่อมฉันจึงไม่รู้ว่าพืชห้ามเลือดที่ปลูกในเรือนกระจกนี้จะออกดอกและออกผลหรือไม่”
ฮ่องเต้ได้ยิน จึงพยักหน้าช้าๆ แล้วเปรยขึ้น “เจ้ากล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก อีกอย่าง วิธีเยี่ยงนี้ของเจ้า ก็ถือว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ส่วนดักแด้ดินอะไรนั่น คนเหล่านั้นก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หลังจากที่พลิกตำรายาสมุนไพรไปหลายวัน สุดท้ายจึงจับแมลงหลายชนิดมาทดลอง ก็ไม่ได้ผลสรุปที่ดีอยู่ดี”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาพูดขึ้น “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้ เหตุใดเสด็จพี่ถึงไม่มอบหมายเรื่องนี้ให้เหยาเยี่ยนอวี่จัดการล่ะเพคะ หญ้าห้ามเลือดและดักแด้ดิน ยาสมุนไพรสองชนิดนี้ให้นางหรือพี่ชายของนางไปคิดหาวิธีจัดหา พอต้องการเงินเท่าใดก็จ่ายให้พวกเขาก็พอ เสด็จพี่จะได้คลายความกังวลใจ แล้วยังไม่ต้องเกิดปัญหาใดๆ ขึ้นอีก”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนี้ก็ได้ แค่ว่าต้องดำเนินเรื่องนี้อย่างลับๆ ห้ามให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุด…เจ้าก็ลองหาอย่างอื่นมาทดแทนยาสมุนไพรสองชนิดนี้ไว้ก็ดี หากสรรพคุณที่สามารถรักษาไม่เทียบเท่าสมุนไพรสองชนิดนี้ ก็ต้องทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน สิ่งที่มีอยู่เพียงอย่างเดียวในใต้หล้านี้ล้วนวางใจไม่ได้ หากถูกคนอื่นลอกเลียนแบบ ก็คงจะกลายเป็นเรื่องยากไปแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่แอบถอนหายใจภายในใจที่ ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ แม้แต่สูตรปรุงยาที่เป็นความลับก็จำเป็นต้องมีแผนสำรอง
ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงนิ่งเงียบและไม่พูดไม่จา ฮ่องเต้ทรงเอ่ยถามขึ้นอีก “คุณหนูเหยา เจ้าคิดอะไรออกแล้วหรือยัง”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันทำสีหน้าที่เคร่งขรึม แล้วค้อมตัวคุกเข่าลง “หม่อมฉันยินดีรับใช้อย่างเต็มความสามารถเพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วตรัส “เช่นนั้นก็เป็นไปตามนี้ กลับไปเจิ้นจะให้ไหวเอินไปหาเจ้า แล้วให้เงินตำลึงบางส่วนกับเจ้า เจ้าคิดหาวิธีตามหาผู้ที่เชื่อถือได้ และเอาวัตถุดิบสมุนไพรสองชนิดนี้มาให้เจิ้นโดยเร็วที่สุด”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงหมอบลงแล้วทูลกลับ “เพคะ หม่อมฉันน้อมปฏิบัติตามรับสั่งเพคะ”
“ตามนั้นก่อน เจิ้นยังมีราชกิจต่อ จะกลับก่อน” ขณะที่ตรัส ฮ่องเต้ก็ทรงเหยียดพระวรกายลุกขึ้นพลางเดินออกไปข้างนอกสองก้าว จากนั้นก็หยุดฝีเท้าลง “ใช่แล้ว หากมีเรื่องอะไร เจ้าก็มาทูลองค์หญิงใหญ่โดยตรงได้เลย”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันขานรับ จากนั้นคุกเข่าหมอบกราบ แล้วเชิญฮ่องเต้เสด็จ
ตอนที่องค์หญิงใหญ่หนิงหวาลุกขึ้นไปส่งฮ่องเต้ออกจากประตู ก็เดินผ่านหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็หันหลังกลับมามองเรือนร่างที่อยู่ในชุดสีแดงเงินที่ยังคงหมอบอยู่บนพื้น จึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มบางๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วหันหลังเชิญฮ่องเต้เสด็จไปข้างนอกตำหนัก
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินฝีเท้าไกลห่างออกไป จึงจะค่อยๆ ยืดตัวตรง เพิ่งจะยื่นมือไปทุบเอวของตน ทันใดนั้นข้างนอกก็มีเสียงหัวเราะอันแผ่วเบาส่งมา นางจึงหันกลับไป ก็เห็นหันหมิงชั่นแย้มยิ้มพลางเดินออกมาจากหลังฉากกั้น แล้วเดินมาข้างกายนาง จากนั้นก็คลายยิ้มพลางเอ่ยพูด “รีบลุกขึ้นเถอะ ฮ่องเต้ก็ทรงเสด็จไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องคุกเข่าอีกแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงแย้มยิ้มอย่างขมขื่น “ขาชา ลุกไม่ขึ้นน่ะสิ”
หันหมิงชั่นจึงรีบไปพยุงนาง จากนั้นก็ประคองนางไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ แล้วเอ่ยถาม “ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“อืม ไม่เป็นไรแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่นวดเข่าพลางยิ้มและส่ายหน้า “เมื่อครู่พี่หญิงหลบอยู่ข้างหลังฉากนั่นตลอดใช่หรือไม่ เหตุใดถึงไม่ออกมาอยู่เป็นเพื่อนข้าหน่อย ทำเอาข้าตกใจปางตาย จนเสื้อที่ใส่ข้างในเปียกโชกหมดแล้ว”
หันหมิงชั่นแย้มยิ้ม “พวกเจ้ากำลังเสวนาเรื่องใหญ่กัน เสด็จแม่ก็ไม่อยากให้ข้ามามีส่วนร่วม”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันไป เวลานี้จึงค่อยๆ ได้สติกลับมา แล้วครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด ก็รู้สึกเหมือนว่าทุกปัญหาทุกคำพูดได้ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนแล้ว อีกอย่างคำพูดเหล่านั้นที่องค์หญิงใหญ่ทรงตรัส ทุกๆ ประโยคก็เป็นสิ่งที่ตนคิดไว้ในใจ หรือว่าพี่ชายมาขอร้องพระนางไว้แล้ว?
ไม่หรอก เหยาเยี่ยนอวี่พลันปฏิเสธทันที องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงสูงส่งเช่นนั้น พี่รองไม่มีทางไปติดต่ออะไรกับนางได้หรอก
เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้ามองหันหมิงชั่นทันที นัยน์ตาดูน่าสงสัยเล็กน้อย
หันหมิงชั่นจึงยิ้มอย่างรู้สึกผิด แล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่โกรธใช่หรือไม่ ข้าก็เพิ่งได้ยินเสด็จแม่พูดขึ้นในวันนั้นที่ข้ากลับมาจากตอนที่ไปส่งเสื้อผ้าให้เจ้า อีกอย่าง เสด็จแม่ก็แค่ช่วยพูดสองสามคำเท่านั้น สุดท้ายการตัดสินใจล้วนขึ้นอยู่กับเสด็จน้า อีกอย่าง ทีแรกสูตรปรุงยาก็เป็นของเจ้าอยู่แล้ว ผลประโยชน์เหล่านี้ก็ต้องเป็นเจ้าที่ควรได้รับสิ”
เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงตนเองเอ่ยคำพูดหยอกล้อที่บอกกับหันหมิงชั่นว่า ‘ถ้าจะส่งเสื้อผ้าก็ให้เอาเสื้อผ้าไปเปลี่ยนเป็นเงินเสียจะดีกว่า’
มันต้องเป็นสถานการณ์ที่ทำให้หันหมิงชั่นรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่คิดว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นบุตรีอนุภรรยาของตระกูล ปกติชีวิตความเป็นอยู่ของนางย่อมต่ำต้อยกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น และตอนนี้ก็จากบิดามารดาและเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงตามลำพัง พอพูดถึงเรื่องออกเรือน นางก็ยังไม่ได้ออกเรือนในตอนนี้ มิหนำซ้ำบิดามารดาก็ไม่ค่อยใส่ใจกับสถานการณ์อันกระอักกระอ่วนที่นางยังไม่ได้ออกเรือนจนถึงตอนนี้ ดังนั้นนางจึงได้พูดคุยบางอย่างกับองค์หญิงใหญ่
นี่นางก็ทำด้วยความหวังดี เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดออก จากนั้นลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วค้อมตัวให้ต่ำลงต่อหน้าหันหมิงชั่น แล้วกล่าวขอบคุณจากใจจริง “ขอบคุณพี่หญิงที่คิดเผื่อข้า น้องสาวคนนี้รู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
หันหมิงชั่นดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วไปนั่งลงบนตั่งไม้ยาวสลักลายบุษบาที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง แล้วค่อยเปรยขึ้น “เจ้าไม่โกรธข้าว่าจุ้นจ้านก็พอแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เห็นแก่เงินทองเหล่านี้ ทว่าทรัพย์สินเงินทองกลับเป็นพื้นฐานของการมีชีวิตที่สันติสุข ข้าได้ยินเจ้าพูดว่าตอนที่เจ้าเข้าเมืองหลวงก็ได้นำสินเดิมติดตัวมาด้วย คนในตระกูลก็อยู่ไกล ถึงแม้พี่สาวคนโตจะดูแล ทว่าก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่ไม่สะดวก อย่างไรก็ตาม ในมือของตนก็ควรเก็บออมเงินไว้ ถึงจะรู้สึกว่ามีชีวิตที่มั่นคง”