หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 156 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (2)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 156 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (2)
ตอนที่ 156 ญาติที่เกี่ยวดองกันโดยการสมรสมารวมตัวกัน พิณสื่อเสียงหัวใจ (2)
เหยาเฟิ่งเกอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่แต่งกายอย่างงดงาม ภายในใจจึงรู้สึกโปรดปรานยิ่งนัก นางเพิ่งจะโบกมือเรียกนางมานั่งข้างๆ พี่สะใภ้ของซุนฮูหยินน้อย-ซุนสกุลหยางเมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วรีบเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ท่านนี้ก็คือคุณหนูเหยาที่สามารถทำให้ผู้ป่วยฟื้นคืนชีพที่คนทั่วเมืองหลวงอวิ๋นต่างก็ร่ำลือกันหรือ การได้ยินข่าวลือก็เทียบไม่ได้กับการได้พบหน้ากันจริงๆ นางมีดวงหน้าที่ละมุนละไมดูดียิ่งนัก! คุณหนูได้กู้ศักดิ์ศรีเพื่อสตรีอย่างพวกเราทุกคน สามารถเทียบเทียมกับบุรุษเหล่านั้นได้แล้ว”
หากผู้ที่นั่งอยู่นั้นหูทิพย์ ก็สามารถฟังออกว่าคำพูดเหล่านี้ของซุนสกุลหยาง ภายนอกอาจจะเป็นการเอ่ยชม ทว่าแท้จริงแล้วเป็นการว่ากล่าวตำหนิ บอกว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ปฏิบัติตามคุณธรรมของสตรี และไม่สนใจในกฎระเบียบและมารยาท คำว่า ‘ร่ำลือ’ ที่เอ่ยถึงก็คือพูดถึงตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะรักษาบาดแผลให้กับเจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อ ก็ได้ลือกันในหลากหลายรูปแบบไปทั่วเมืองหลวง
เหยาเยี่ยนอวี่ได้มาเยือนในจวนติ้งโหวหลายครั้งแล้ว ก่อนปีใหม่เป็นเพราะต้องดูอาการให้กับเฟิงฮูหยินน้อย อย่างไรก็ได้ยินคำซุบซิบไม่มากก็น้อย เดิมทีนางก็ไม่คิดจะทำเรื่องไม่ดีกับผู้อื่น แค่คิดว่าตนเองได้ช่วยชีวิตรักษาผู้ป่วยก็พอ เรื่องที่แก่งแย่งอะไรพวกนั้น หรือว่าจะรักใคร่และเอ็นดูคนนั้นหรือคนนี้ แค่พวกเขาไม่ระรานตนเอง นางก็เกียจคร้านที่จะไปยุ่งเกี่ยว
ทว่าในเวลานี้ ซุนสกุลหยางกลับใช้สายตาที่วิพากษ์วิจารณ์มองนางจนทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วกำลังคิดจะเอ่ยอะไรออกมา เหยาเฟิ่งเกอก็พูดแทรกก่อนนาง นางหัวเราะด้วยเสียงเบาพลางพูดขึ้น “พี่สะใภ้ซุนช่างพูดจริงๆ คนที่คุยรู้เรื่องได้ก็คงไม่อาจเทียบแม้แต่เศษเสี้ยวของพี่สะใภ้”
น้ำเสียงที่กล่าวขึ้นของเหยาเฟิ่งเกอทำให้เห็นความไม่พอใจอย่างชัดเจน รอยยิ้มตรงมุมปากแฝงด้วยความเย็นชา ซุนสกุลหยางถูกนางพูดจนตกตะลึง และไม่รู้จะต่อคำพูดอย่างไรดี ซุนฮูหยินน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็ทำสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ยกนิ้วให้กับพี่สาวบุตรีมารดาเอกคนนี้อย่างมาก หากเทียบเรื่องการถกเถียง สตรีผู้นี้เกรงว่าคงจะเทียบกับเหยาเฟิ่งเกอไม่ติด ดังนั้นจึงได้ปรับอารมณ์ของตนเองให้ดีแล้วเดินไปข้างกายเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นก็ยื่นมือไปจับมือของเหยาเฟิ่งเกอ พลางเรียกด้วยเสียงหวาน “พี่สาว”
“ข้างนอกหนาวหรือไม่ ดูหน้าของเจ้าถูกลมเป่าจนแดงหมดแล้ว” เหยาเฟิ่งเกอยื่นมือไปจับแก้มของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างสนิทสนม
“ค่อยยังชั่วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอาเหยา เชิญดื่มชาร้อนๆ เจ้าค่ะ” สองมือของซูจิ่นอวิ๋นจับถ้วยชาหนึ่งถ้วยแล้วค่อยๆ เดินมาตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ และก็โค้งตัวลงอย่างจริงจัง ช่วงก่อนเฟิงฮูหยินน้อยป่วยหนัก ถึงแม้ซูจิ่นอวิ๋นยังเด็กจนไม่สามารถปรนนิบัติยกยาต้มมาให้มารดาของตน ทว่านางก็อยู่ต่อหน้ามารดามานาน บางครั้งก็ยกถ้วยชาให้อยู่บ้าง
เหยาเยี่ยนอวี่พลันยื่นมือไปรับเอาไว้ แล้วคลี่ยิ้มบางๆ พลางเอ่ยขึ้น “อวิ๋นเอ๋อร์ช่างมีน้ำใจจริงๆ!”
“ก็แค่ยกน้ำชาเท่านั้น นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่นางควรทำหรือไร” เฟิงฮูหยินน้อยมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ
เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดขึ้น “ฮูหยินสอนบุตรีอย่างรอบด้าน อวิ๋นเอ๋อร์โตขึ้นมาต้องเป็นเด็กดีที่กตัญญูแน่นอนเจ้าค่ะ” กล่าวจบ ก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าดูจากสีหน้าของฮูหยินนั้นดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ช่วงนี้รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เฟิงฮูหยินน้อยยิ้ม “ดียิ่งนัก เมื่อวานข้ากลับบ้านเดิม ท่านแม่ยังบอกกับข้า บอกว่าอยากเชิญคุณหนูเหยาไปกินอาหารสักมื้อที่จวน ถือว่าเป็นการทำความรู้จักกัน วันข้างหน้าหากมีอะไรให้ช่วยเหลือ ก็สามารถบอกกล่าวได้ตามตรง ไม่ทราบว่าน้องสาวมีเวลาว่างวันไหน ประเดี๋ยวข้าจะได้สั่งให้คนไปส่งสารให้ท่านแม่รับเรื่อง จะได้เตรียมตัวเสียหน่อย”
“ฮูหยินไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่จึงปฏิเสธอย่างมีมารยาท การออกนอกจวนไปเป็นแขกเหรื่อไม่ใช่เรื่องที่นางชื่นชอบจริงๆ
“พี่เหยา!” ซูอวี้เหิงเดินเข้ามาจากด้านนอก จึงขานเรียกด้วยความดีใจ จากนั้นก็ไปน้อมคำนับต่อหน้าลู่ฮูหยิน พร้อมกับกล่าวขึ้น “ฮูหยินเจ้าคะ องค์หญิงต้าจั่งบอกว่าเมื่อคืนหลับไม่ค่อยดี วันนี้จะนอนพักผ่อนอย่างเงียบๆ ไปสักพัก แล้ววันหลังถึงจะพูดคุยกับญาติพี่น้องทุกท่านเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินเหยียดกายลุกขึ้นและเห็นด้วย จึงพูดกับซุนสกุลหยางและเหยาเยี่ยนอวี่ “ในเมื่อองค์หญิงต้าจั่งก็ตรัสเยี่ยงนี้แล้ว เช่นนั้นวันนี้ทุกคนก็ไม่ต้องไปแสดงความเคารพอีกต่อไป”
ซุนสกุลหยางและเหยาเยี่ยนอวี่ต่างก็ตอบตกลง ซุนฮูหยินน้อยเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่างกับซูอวี้เหิง ทว่าซูอวี้เหิงกลับจดจ่ออยู่แต่เหยาเยี่ยนอวี่ แค่เบียดเข้าไปใกล้เหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน แล้วยกยิ้ม “พี่สาว หลายวันก่อนท่านไปขี่ม้าที่สนามม้าหรือ”
ซุนฮูหยินน้อยจึงปิดปากอย่างไม่พอใจ แล้วแอบมองลู่ฮูหยินเพียงชั่วขณะ ลู่ฮูหยินทำสีหน้าที่นิ่งสงบ แล้วก้มหน้าเป่าน้ำชา เหมือนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย ซุนฮูหยินน้อยทำได้เพียงเม้มปาก แล้วหันไปคุยกับสกุลซุนหยาง
เหยาเยี่ยนอวี่กับซูอวี้เหิงก็คุยกันเรื่องขี่ม้า “พี่หันรู้สึกเบื่อเลยอยากออกไปสูดอากาศข้างนอก จึงลากข้าไปเล่นด้วย ทว่าแม้แต่ม้าข้าก็ยังไม่กล้าขึ้นขี่ กลับทิ้งข้าไว้ที่นั่นตามลำพัง ข้าคงไม่อยากไปอีกต่อไป”
ซูอวี้เหิงยกยิ้ม “รอให้มีเวลาว่างข้าจะไปกับพี่เอง ข้าสอนท่าน รับรองว่าไม่ต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวัน ท่านก็เป็นแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอย่าพูดเช่นนี้เลย พี่หันก็พูดเยี่ยงนี้ สุดท้ายพอถึงที่สนามม้าก็ขี่ม้าแล้วควบไปตามลำพัง ทิ้งข้าไว้ทางนั้นแล้วไม่สนใจข้า ข้าลงจากหลังม้าไม่ได้ เลยทำให้หล่นลงจากม้า ช่างทำให้อับอายขายหน้ายิ่งนัก”
เหยาเฟิ่งเกอได้ยินคำพูดนี้จึงพลันเอ่ยถาม “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ แล้วกระแทกโดนตรงไหนบ้าง”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ก็แค่เสื้อผ้าชั้นดีถลอกหน่อย ชุดขี่ม้าตัดเย็บได้หรูหราเกินไป วันข้างหน้าข้าคงไม่กล้าสวมใส่เสียแล้ว”
“กลับไปสั่งให้คนไปตัดอีกสองชุด เสื้อผ้าไม่ได้ล้ำค่าอะไรมากมาย ที่สำคัญคือคนอย่าได้รับบาดเจ็บก็พอ” เหยาเฟิ่งเกอจึงกำชับอย่างไม่ไว้วางใจ “หากวันข้างหน้าอยากฝึกขี่ม้า ข้าจะหาอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาสอนเจ้า”
เฟิงฮูหยินน้อยแย้มยิ้ม “ในจวนของพวกเราก็มีอาจารย์อยู่แล้ว หากน้องเหยาอยากฝึก ประเดี๋ยวจะเรียกพวกเขามาสอน”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่าเฟิงฮูหยินน้อยพูดถึงบ่าวของซูอวี้ผิง จึงรีบคลี่ยิ้มบางๆ พลางกล่าวขอบคุณ
เพราะว่าซูอวี้เหิงพุดคุยเล่นอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ จึงทำให้บรรยากาศในเรือนครึกครื้นกว่าก่อนหน้านี้ขึ้นเยอะ
ทันใดนั้น ซูจิ่นเซวียนก็เข้ามา แล้วน้อมคำนับให้กับลู่ฮูหยิน ท่านป้า ท่านน้าและญาติพี่น้องคนอื่นๆ จากนั้นก็พุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของลู่ฮูหยินด้วยรอยยิ้มที่เบิกบาน ลู่ฮูหยินเกรงว่าชาร้อนในมือจะลวกเขา จึงรีบยื่นไปให้คนข้างๆ นึกไม่ถึงว่าเฟิงฮูหยินน้อยกลับยกมือรับไว้ ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “วันนี้น้องสาวที่มาจากตระกูลเดิมของเจ้าจะมาอยู่ใช่หรือไม่”
เฟิงฮูหยินน้อยจึงรีบตอบกลับ “เมื่อวานท่านแม่บอกว่านางเอาแต่อุดอู้อยู่ในเรือนอย่างน่าเบื่อ ก็แค่ให้นางมาร่วมสนุกเพลิดเพลินก็เท่านั้น ทว่าเวลานี้ยังไม่มา เกรงว่าคงไม่มาแล้ว พวกเราไม่ต้องรอนางแล้วเจ้าค่ะ”
ซุนฮูหยินน้อยคลี่ยิ้ม “ไหนๆ ก็บอกว่าจะมา เช่นนั้นก็รอสักพักเถอะ อย่างไรเวลานี้ก็ยังเช้าอยู่”
เฟิงฮูหยินน้อยไม่ได้ทำสีหน้าที่แปรเปลี่ยน แค่ตอบกลับด้วยเสียงเดียว แล้วไม่พูดไม่จาอะไรอีก
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ยอมฟังเรื่องไร้สาระของจวนเหล่านั้น จึงลอบพูดคุยกับเหยาเฟิ่งเกอ “พี่สาว ข้าออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะเจ้าคะ”
เหยาเฟิ่งเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “บอกสาวใช้ให้ระมัดระวังด้วย”
“ข้าไปกับพี่เอง” ซูอวี้เหิงรีบวางถ้วยชาของนางพร้อมกับลุกขึ้นและติดตามไป
ซุนฮูหยินน้อยจึงแย้มยิ้ม “คุณหนูสามของพวกเราและคุณหนูเหยาเหมือนเป็นคนเดียวกันจริงๆ เดินไปถึงไหนก็ตามไปถึงนั่น”
เหยาเฟิ่งเกอจึงหัวเราะด้วยเสียงเบา แล้วเอ่ยขึ้น “พวกนางสองคนต่างก็คือสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน แน่นอนว่าต้องมีคำพูดมากมายให้เสวนากันอยู่แล้ว เลยไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกเราก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว พี่สะใภ้ก็คือคนที่เคยอาบน้ำร้อนมาก่อน แล้วจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน”