หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 164 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (5)
ตอนที่ 164 บางคนช้ำใจ บางคนซาบซึ้งใจ (5)
“เจ้าน่ะ!” หันซังเย่ว์คลี่ยิ้มอย่างรักใคร่และเอ็นดู จากนั้นก็แกะถุงบุหงาที่ผูกตรงเอวของตนเองออก ในถุงบุหงาของเขายังใส่เหรียญอีแปะที่สลักตัวอักษรจวงหยวนจี๋ตี้ อู๋จื่อเติงเคอ[1]อยู่บางส่วน เป็นเหรียญที่เตรียมตบรางวัลให้กับเหล่าบ่าวไพร่อยู่ตลอดเวลา
หันหมิงชั่นเอาเหรียญอีแปะออกจากถุงบุหงาแล้วโยนลงไป ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าเหรียญอีแปะเหรียญหนึ่งไปกระทบกับอะไร เหรียญก็ดีดขึ้นมาต่อ จากนั้นก็บังเอิญไปโดนศีรษะของบุรุษที่สวมชุดสีเขียว
“หืม” หันหมิงชั่นมองเห็นอย่างชัดเจน จึงอดทำสีหน้าที่แปลกประหลาดไม่ได้ และก็แอบหัวเราะ
บุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างฉับพลัน และกำลังมองหันหมิงชั่นที่ทำหน้าตากวนประสาท ดังนั้นดวงหน้าที่งดงามนั้นเลิกคิ้วทรงเข้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาสีนิลประดุจหงส์ที่โบยบินเฉียงนั้นเคล้าด้วยความอร่ามสดใส จริงๆ เขากำลังคลี่ยิ้มอยู่ หันหมิงชั่นกลับรู้สึกถึงแผ่นหลังเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
หันซังเย่ว์เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เห็นตั้งแต่เริ่มจนจบออกมา เห็นบุรุษผู้นั้นมองมา จึงมองออกว่าคนคนนี้คือจิ้งไห่โหวเซียวหลิน ในคืนส่งท้ายปีเก่าก็ถูกเชิญเข้าไปเฉลิมฉลองวันตรุษจีนในราชวัง หันซังเย่ว์ยังดื่มสุราไม่กี่จอกกับเขาแทนมิตรสหายคนอื่น ดังนั้นจึงรีบทำมือคารวะให้กับเซียวหลิน แล้วขานเรียกด้วยเสียงสูง “พี่เซียว ขึ้นมานั่งหน่อยสิ”
เซียวหลินพยักหน้าอย่างไม่เกรงใจ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนจุ้ยเซียน
เหยาเยี่ยนอวี่รอให้เหล่าการแสดงเชิดสิงโตเดินผ่าน แล้วค่อยมาถึงเรือนจุ้ยเซียน พวกนางทำอะไรไม่ได้ คนมากมายมุมล้อมอย่างแออัดอยู่ที่นั่น รถม้าของนางและเหยาเหยียนอี้ก็มาไม่ได้ คงไม่อาจให้คุณหนูเหยาเดินเบียดกลุ่มคนที่มีทั้งบุรุษและสตรีปะปนกันมาได้
สองพี่น้องตระกูลเหยาเข้าไปในเรือนจุ้ยเซียน พอบอกเด็กที่ดูแลร้าน เด็กที่ดูแลร้านจึงรีบทำท่าทางที่ดูเป็นมิตร จากนั้นก็พาพวกเขาเดินไปถึงตรงหน้าประตูห้องอาหารส่วนตัว
ตรงหน้าประตูมีสาวใช้ของเฟิงเซ่าอิ่งคอยยืนอยู่ พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ สาวใช้รีบไปผลักประตูและเลิกม่านขึ้น พร้อมกับโค้งลำตัวลง “น้อมคำนับคุณชายเหยาและคุณหนูเหยาเจ้าค่ะ”
จากนั้น เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะข้างในก็หยุดลง
หันหมิงชั่นเหยียดกายลุกขึ้นไปต้อนรับ แล้วดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่พลางพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “เหตุใดถึงช้าเยี่ยงนี้”
หันซังเย่ว์ก็เหยียดกายลุกขึ้นแล้วน้อมทำความเคารพเหยาเหยียนอี้ หันซังเกอและเซียวหลินยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น แค่พยักหน้าให้กับเหยาเหยียนอี้
เหยาเหยียนอี้เดินเข้าไปน้อมคำนับให้กับจิ้งไห่โหวและท่านซื่อจื่อ หันซังเกอก็คลี่ยิ้ม “รีบนั่งเถอะ เหล้าต้มเสร็จตั้งนานแล้ว” ขณะที่กล่าว ก็สั่งสาวใช้ตรงประตู “บอกพวกเขา ยกอาหารมาได้แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่น้อมทำความเคารพเฟิงเซ่าอิ่งเสร็จ เฟิงเซ่าอิ่งดึงมือนาง เพื่อให้นางนั่งลง
บุรุษทั้งสี่คนนั่งล้อมวงตรงโต๊ะกลม เหยาเยี่ยนอวี่ หันหมิงชั่นและพี่สะใภ้ของนางก็นั่งอยู่ตรงตั่งไม้เตี้ยอีกฝั่ง แล้วกำลังจัดวางอาหารอันเลิศรสที่ชื่นชอบกับเหล้ากุ้ยหวาหนึ่งเหยือก
แท้จริงแล้ว หากไม่มีเซียวหลิน ทุกคนก็สามารถนั่งทานอาหารด้วยกัน อย่างไรทั้งสองครอบครัวก็คือพี่น้องกัน จึงไม่มีอะไรต้องหลบซ่อน
ดังนั้น เหยาเยี่ยนอวี่จึงแอบถามหันหมิงชั่น “เหตุใดจิ้งไห่โหวถึงอยู่ที่นี่ ไหนบอกไม่เรียกคนนอกไง”
ความแดงระเรื่อบนดวงหน้าของหันหมิงชั่นยังไม่หายไป พอได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงอดปิดปากหัวเราะไม่ได้
เฟิงเซ่าอิ่งเลยคลี่ยิ้ม “นางเอาเหรียญอีแปะโยนลงไป แล้วไปโดนศีรษะของคนอื่น เพื่อที่จะแสดงการขอโทษ ทำได้เพียงเชิญคนอื่นมาร่วมทานอาหารและดื่มสุราด้วย” จากนั้นก็คลี่ยิ้มพลางพูดกับหันหมิงชั่น “ประเดี๋ยวเจ้าต้องออกไปขอโทษคนอื่นอย่างเป็นทางการด้วย”
“ข้าไม่ไป” น้อยครั้งที่หันหมิงชั่นจะดื้อรั้น ใบหน้าที่แดงระเรื่อจางหายไปบ้าง หางตาและปลายขนคิ้วก็เคล้าด้วยความเขินอายของแม่นางตัวน้อยๆ
“ฮ่าๆ! ที่แท้พี่สาวก็มีความสามารถในการโยนสิ่งของได้แม่นเสมือนจับวางหนิ” เหยาเยี่ยนอวี่คิดถึงศีรษะของเซียวหลินถูกเหรียญอีแปะกระแทก ก็รู้สึกเพลิดเพลินขึ้นมา
“หัวเราะอะไร” หันหมิงชั่นถูกเสียงหัวเราะของเหยาเยี่ยนอวี่ทำให้รู้สึกโมโหเล็กน้อย เลยเหลือบตามองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงชั่วพริบตา ทันใดนั้นก็หัวเราะ “ยังหัวเราะอีก ข้าจะสั่งให้คนไปเชิญแม่ทัพติ้งหย่วนมา”
“เกี่ยวอะไรกับเขาเล่า” เหยาเยี่ยนอวี่เลยหยุดหัวเราะทันที
หันหมิงชั่นเลิกคิ้วทรงสวยขึ้นอย่างได้ใจ “ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา อย่างไรข้าก็รู้ หากเขามาเจ้าก็จะหัวเราะไม่ออก”
เหยาเยี่ยนอวี่เบะปากแล้วไม่พูดอะไรต่อ ความจริงเป็นเช่นนี้ นางแค่นึกถึงนัยน์ตาอันลุ่มลึกเว่ยจางคู่นั้น ก็หัวเราะไม่ออกแล้ว
คนคนนี้เหตุใดถึงมีนัยน์ตาที่ลุ่มลึกเช่นนี้ เหมือนกำลังซุกซ่อนความรู้สึกทั้งหมด และเหมือนจะไม่มีความรู้สึกใดๆ เขาไม่ดีใจและไม่โมโห แค่มองเจ้าอย่างผิวเผินเพียงพริบตาเดียว ก็สามารถทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจได้
“ไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่หรือไม่” ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหันหมิงชั่นที่รู้สึกได้ใจ นางกลับไปจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แล้วถามขึ้น “ว่ามา วันนั้นตอนอยู่ตรงสนามขี่ม้า เจ้าล้มลงจากม้าได้อย่างไร แม่ทัพเว่ยถึงกับมองเจ้าล้มลงจากม้าโดยที่ไม่สนใจใดๆ เลยหรือ”
“เชอะ!” เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้ม “พวกเจ้าอย่าพูดถึงเขาในทางอัศจรรย์เยี่ยงนั้นได้หรือไม่ เหมือนสถานที่ที่มีเขาอยู่ ก็จะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆ นั้นแหละ ข้าจะบอกเจ้า ไม่เสมอไป”
“อ่อ?” หันหมิงชั่นจึงยุโยงด้วยความสนใจ ” ‘ไม่เสมอไป’ สามพยางค์นี้มีกี่ความหมาย”
“ความหมายเดียว” เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นนิ้วมือหนึ่งนิ้วออกมา แล้วเบะปาก นางเอ่ยพูดออกมาโดยไม่ผ่านกระบวนการคิด “พูดถึงตอนที่ข้าถูกเสือหิมะทำให้ล้มลง แม่ทัพใหญ่ติ้งหย่วนที่เป็นวีรบุรุษที่กล้าหาญและอยู่ยงคงกระพักไม่เพียงแต่มองข้าล้มลงกับตา แล้วยังถูกข้ากระแทก จนล้มลงไปนอนหงายบนพื้น”
กล่าวจบเหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะรู้ตัวว่าตนเองไม่ควรพูดความจริงเยี่ยงนี้ออกไป จึงรีบปิดปากเงียบ หวังว่าคุณหนูรองแห่งตระกูลหันจะฟังไม่เข้าใจในคำพูดเมื่อครู่นี้ของตนเอง
“…” แท้จริงแล้ว คุณหนูหันฟังเข้าใจอย่างมาก
แม่ทัพเว่ยถูกเหยาเยี่ยนอวี่กระแทก…จากนั้นก็ล้มจนนอนหงายด้วยกัน…สถานการณ์เยี่ยงนั้น คุณหนูหันแค่คิดก็รู้สึกหน้าแดง! ช่างเถอะ อย่าพูดอีกเลย ไม่ต้องทำให้ใครบางคนรู้สึกเขินอายและโมโห ประเดี๋ยวอาจจะมองหน้ากันไม่ติดก็ได้
ตอนที่กินอาหาร ใต้ตึกก็มีการแสดงเดินผ่านอีกแล้ว หันหมิงชั่นก็ดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปดูตรงข้างหน้าต่างอีกครั้ง เฟิงเซ่าอิ่งกำชับให้พวกนางต้องระมัดระวังตัวหน่อย
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนพิงอยู่ตรงหน้าต่างแล้วมองกลุ่มคนที่กำลังกรีดร้องกันอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นก็นึกถึงสถานการณ์ในวันที่เจิ้นกั๋วกงออกรบตรงแถบตะวันตก และพาเหล่าแม่ทัพและทหารกลับเมืองหลวงด้วยชัยชนะ
วันนั้น นางก็ยืนพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่างเช่นนี้ ซูอวี้เหิงที่อยู่ข้างๆ นางโบกมือขึ้น แล้วไม่ระวังไปเกี่ยวโดนต่างหูของนาง ต่างหูเกือบจะร่วงหล่นไปโดนศีรษะของเฉิงอ๋องซื่อจื่อ ในขณะนั้น เว่ยจางจับจ้องนางเหมือนกำลังจ้องโจรร้ายที่ประสงค์ร้าย สายตาคู่นั้นเคล้าด้วยความเฉียบคมอย่างไม่มีใครเทียบเทียมได้
ศรธนูหนึ่งดอกมาปักลงกลางหัวใจ
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่มีคำพูดข้างต้นผุดขึ้นมาอย่างแปลกพิลึก
เหยาเยี่ยนอวี่และหันหมิงชั่นอยู่ในห้องอาหารส่วนตัวแล้วกำลังมองเรื่องราวที่สนุกสนานหลากหลายรูปแบบตรงถนนใหญ่ มีทั้งเชิดสิงโต เชิดโคมไฟมังกร วิ่งขาโถกเถก การร้องรำและอื่นๆ
จิ้งไห่โหวที่อยู่ข้างนอกกลับเสวนาถูกคอกับเหยาเหยียนอี้ยิ่งนัก ทั้งสองคนต่างก็พูดคุยถึงเรื่องราวจากใต้ไปเหนือ และกล่าวพูดสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ไปเรื่อยเปื่อย สองพี่น้องหันซังเกอเป็นแม่ทัพ ต่างก็มุ่งเน้นแต่การกระทำ จึงมีทักษะการพูดที่ย่ำแย่เล็กน้อย เลยไม่สามารถพูดแทรกอะไรกับบทสนทนาของพวกเขา
เหยาเยี่ยนอวี่อดอุทานขึ้นไม่ได้ พี่รองของนางเป็นคนที่มีความสามารถในการคบหาผู้คนจริงๆ และยังสามารถคบหากับคนทุกรูปแบบ สามารถเสวนาถึงเรื่องราวในทุกสถานการณ์ หากไม่เอาเขาไปเป็นพ่อค้าหน้าเลือดคงจะน่าเสียดายยิ่งนัก
หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไป พระอาทิตย์เริ่มที่จะลับฟ้าไปอย่างช้าๆ ไม่ถึงยามเซินฟ้าก็มืดลงแล้ว
[1] จวงหยวนจี๋ตี้ อู๋จื่อเติงเคอ เป็นการเชิดชูบุคคลที่สอบคัดเลือกขุนนางในราชสำนักที่ได้คะแนนสูงสุด