หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 166 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (2)
ตอนที่ 166 ถูกปล้นกลางถนนโคมไฟ ท่านแม่ทัพกระทำอย่างไร้ยางอาย (2)
“อย่ามากความ!” คนคนนั้นดึงเหยาเยี่ยนอวี่ถอยไปด้านหลังสองก้าว “หากพวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีก ข้าก็จะฆ่านางเดี๋ยวนี้!”
หันซังเย่ว์ยังคิดจะพูดอะไรต่อ ทันใดนั้นหันซังเกอก็พูดว่า “ถอยไป ปล่อยพวกเขาไป”
“พี่ชาย!” หันซังเย่ว์จ้องหน้าพี่ชายไว้ นัยน์ตาเคล้าด้วยความคาดคิดไม่ถึง
หันซังเกอมองน้องชายเพียงพริบตาเดียว แล้วพูดด้วยความนิ่งสงบ “นี่เป็นคำสั่งของแม่ทัพ”
“…” หันซังเย่ว์กัดฟันกรอด แล้วไม่พูดไม่จา จากนั้นส่งสัญญาณมือสั่งให้เหล่าทหารรักษาการณ์ถอยไป
“ไป!” คนที่จับกุมเหยาเยี่ยนอวี่ไว้จับจ้องหันซังเกอ แล้วจับตัวเหยาเยี่ยนอวี่ถอยไปด้านหลัง หลังจากที่ถอยไปสิบกว่าก้าว ทันใดนั้นก็ยกมืออุ้มเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นไปวางบนไหล่ แล้วกลุ่มคนสิบกว่าคนก็ห้อมล้อมพวกเขาพร้อมกับเพ่นหนีไปโดยเร็ว
พอเห็นสิบกว่าคนจากไปด้วยฝีเท้าอันแข็งแรงเหมือนโบยบิน หันซังเกอจึงสั่งการน้องชาย “เจ้าตามไปจากทางลัดของฝั่งนี้ พอเดินไปถึงสุดซอยแล้วหักซ้าย ตามพวกเขาไปให้ทัน ติดตามอย่างเงียบๆ รีบหาที่ตั้งหลักของพวกเขาให้เจอ…เร็ว!” กล่าวจบ หันซังเกอก็นำระเบิดสีดำที่ใหญ่เท่ามันสำปะหลังออกมาหนึ่งลูก จากนั้นก็โยนขึ้นบนฟ้า
เสียง ‘แปะ’ ดังขึ้น จากนั้นก็มีพุที่ไม่สะดุดตาปล่อยบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน มันแตกต่างจากพุทั่วไป เป็นพุสีฟ้าที่เป็นดอกพุขนาดเล็ก กลับส่องสว่างอย่างผิดปกติ
“พี่ชาย?!” หันซังเย่ว์ได้สติกลับมาทันที เรื่องนี้เหมือนพี่ใหญ่ที่ชาญฉลาดของเขาได้จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว?!
“รีบไปเถอะ!” หันซังเกอขึงตาอย่างโมโห ทำให้น้องชายต้องหยุดพูด
หันซังเย่ว์กัดฟันกรอด แล้วร่ายดาบในมือ จากนั้นก็พาเหล่าทหารรักษาการณ์ไปในทิศทางที่กำหนดไว้ เพื่อที่จะรีบตามคนร้ายไปอย่างว่องไว
“ท่านซื่อจื่อ!” สุดท้ายเหยาเหยียนอี้ก็พูดแทรก เมื่อครู่สองพี่น้องตระกูลหันจ้องตากัน เขาก็เหมือนจะเข้าใจ คำพูดเหล่านั้นที่หันซื่อจื่อพูดขึ้นเมื่อตอนมาถึง เหมือนจะคุ้นเคยกับคนเหล่านั้น เพราะเหตุใด! หรือว่าเขาคาดการณ์เหตุการณ์ไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว แล้วจะปล่อยให้เยี่ยนอวี่กลายเป็นจำเลย?
“ข้าค่อยอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง” หันซังเกอขมวดคิ้วเป็นปม “ตอนนี้ เจ้ากับท่านเซียวโหวไปคอยตรงร้านค้าฝั่งโน้นก่อน จะมีทหารรักษาการณ์คอยคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเจ้า” กล่าวจบ หันซังเกอก็มองดวงหน้าโมโหของน้องสาว แล้วพูดด้วยเสียงต่ำ “ชั่นเอ๋อร์ เชื่อฟัง”
หันหมิงชั่นถูกเลี้ยงดูในจวนมาโดยตลอด แล้วจะเคยเห็นสถานการณ์เฉกเช่นนี้ได้อย่างไร ภายในใจรู้สึกหวาดผวายิ่งนัก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกกังวลและเป็นห่วงเหยาเยี่ยนอวี่ เหตุเพราะท่าทีของพี่ใหญ่ทำให้นางโมโห หลากหลายอารมณ์อัดอั้นอยู่ในใจ ทว่ากลับพูดอะไรไม่ออก
“คุณหนูหัน” เซียวหลินได้สติกลับมาเร็วที่สุด ทันทีทันใดก็ไม่สนใจความแตกต่างระหว่างบุรุษและสตรี จากนั้นก็ยื่นมือไปพยุงไหล่ของหันหมิงชั่นแล้วพานางเดินจากไป
“ไปเถอะ!” หันหมิงชั่นสะบัดแขน แล้วสาวเท้าจากไปโดยเร็ว
หันซังเกอกระตุกมุมปากขึ้นอย่างประหม่า แล้วไม่พูดไม่จา
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลนางแทนเจ้าเอง” เซียวหลินพยักหน้าให้หันซังเกอ แล้วหันหลังสาวเท้าตามไปโดยเร็ว
วันนี้เหตุเพราะเว่ยจางถูกฮ่องเต้เรียกพบ ตอนที่ออกจากวังหลวง ฟ้าก็มืดมัวลงแล้ว ฉังเหมาเจอเขาที่ถนนใหญ่ แล้วรายงานการเคลื่อนไหวของเหยาเยี่ยนอวี่ให้ฟัง เว่ยจางจึงยิ้มอ่อนๆ ตอนที่เขากำลังเดินไปตรงถนนที่จัดเทศกาลโคมไฟ ก็กำลังขบคิดว่าหากเจอกันข้างนอกโดยเหตุบังเอิญ แม่นางผู้นั้นจะแสดงสีหน้าอะไร
ทว่าตอนที่เดินไปจนถึงสถานที่ที่ห่างจากถนนเส้นนั้นไปสองซอย เขาก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ จึงได้หยุดฝีเท้าลง แล้วถังเซียวอี้ที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขาก็เดินขึ้นหน้ามาสองก้าว ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีเขาเดินมาเพียงคนเดียว จากนั้นก็รีบขานเรียกด้วยเสียงอันน่าแปลก “ท่านแม่ทัพ?”
“ผิดปกติ!” เว่ยจางยกมือจับด้ามดาบตรงเอว สายตาอันเย็นชาจับจ้องไปยังปากทางเข้าซอยตรงด้านหน้า
ถังเซียวอี้ก็เห็น จึงตะลึงงันทันที ทันใดนั้นหันไปมองเหล่าชาวบ้านที่กำลังวิ่งมาทางนี้ด้วยความตื่นตระหนก ดังนั้นจึงเข้าไปจับคนคนหนึ่งไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงเข้ม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“คนร้าย! ทางโน้นมีคนร้าย!”
“ทางโน้น?!” ทหารถังที่เฝ้าประตูเมืองหลวงพูดขึ้นเสียงสูง ใบหน้าสะอาดสะอ้านและเย็นชานั้นเคล้าด้วยความอาฆาต
คนคนนั้นทำมือคารวะเพื่อขอร้องทันที “บนถนนเทศกาลโคมไฟ…มีคนมากมาย…จับกุมตัวแม่นางผู้หนึ่ง…ท่านแม่ทัพ ไม่ใช่เรื่องของข้าน้อย!”
ถังเซียวอี้รีบผลักคนคนนั้นออก จากนั้นก็ยกมือชักดาบออกมาแล้วมุ่งหน้าไปยังที่เกิดเหตุ
“เซียวอี้!” เว่ยจางเรียกด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ช้าก่อน! พวกเขามาแล้ว”
“ซ่อนตัว!” ถังเซียวอี้และเว่ยจางร่วมรบกันมาหลายปี ทั้งสองเพียงสบตากันก็สามารถสื่อสารกันอย่างรู้เรื่อง
ด้านหลังของเว่ยจางมีทหารอยู่สี่นาย รวมฉังเหมาและถังเซียวอี้ ก็มีเพียงเจ็ดนายเท่านั้น
ทว่าทุกคนต่างก็ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด แม้แต่ฉังเหมาเองที่ติดตามเว่ยจางมาหลายปี จึงถูกฝึกฝนให้ความเคยชินในการลงมือไวและครุ่นคิดอย่างว่องไว ถังเซียวอี้เพิ่งจะกล่าวจบ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันโดยเร็ว ต่างคนต่างซุกซ่อนตัว
เว่ยจางไปชิดตรงมุมกำแพง หูไปแนบชิดกับกำแพงแล้วตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ
พอมีเสียงฝีเท้าที่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามา เสียงฝีเท้านั้นทุลักทุเล ทว่ากลับมีพลัง กลุ่มคนนี้มากันราวๆ สิบสามสิบสี่คน
ไม่นาน กลุ่มคนเหล่านี้ก็วิ่งไปถึงปากซอย
ถังเซียวอี้เอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ขวางหรือไม่”
“รอก่อน” น้ำเสียงของเว่ยจางนั้นแผ่วเบายิ่งนัก แค่ไม่กี่คนที่อยู่ใกล้ถึงจะได้ยิน เมื่อครู่สามัญชนคนนั้นบอกว่าพวกเขาจับกุมตัวแม่นางผู้หนึ่ง ดังนั้นหากออกไปขัดขวางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นสุนัขจนตรอกแน่นอน
บนถนนเทศกาลโคมไฟต้องมีคนของจวนจิงจ้าวคอยแฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนเพื่อที่จะลาดตระเวนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่แน่อาจจะมีทหารรักษาการณ์อยู่ก็ได้ ทว่ากลุ่มคนเหล่านี้สามารถหนีออกมาอย่างง่ายดาย แสดงว่าต้องมีเหตุผลที่แฝงอยู่ในนั้นแน่นอน
ไม่นาน ชายร่างกำยำคนหนึ่งก็พุ่งออกมาก่อน ข้างหลังยังมีคนที่เรือนร่างผอมสูงตามมาด้วย แล้วยังแบกสตรีที่สวมใส่เสื้อคลุมสีม่วง
เว่ยจางมองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่ถูกแบกไว้บนไหล่ของคนเสื้อดำ เรือนร่างจึงเกร็งขึ้นมาทันที เกือบจะพุ่งตัวออกไป
ฉังเหมาเห็นแล้ว เขาเพิ่งจะลุกขึ้นก็ถูกถังเซียวอี้ที่อยู่ข้างๆ กดเรือนร่างเอาไว้
หนึ่งคน สองคน สามคน…
ทั้งหมดสิบสี่คน
ไม่รู้ว่าหิมะตกกระหน่ำเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใด เหมือนดั่งขนห่านที่โปรยปรายอยู่กลางอากาศ
เว่ยจางและถังเซียวอี้ส่งสัญญาณมือ ตอนที่คนสุดท้ายวิ่งผ่านหน้าไป ก็กระโดดด้วยวิชาตัวเบาขึ้นไปบนหลังคาของร้านค้าที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ย่อตัวให้ต่ำลง เหมือนดั่งเสือดาวที่แข็งแกร่งและว่องไวตัวหนึ่ง และติดตามออกไปอย่างว่องไวและไร้สิ้นเสียง
ถังเซียวอี้ติดตามอยู่ด้านหลังอย่างไม่คลาดสายตา แค่ติดตามเว่ยจางด้วยระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว เรือนร่างที่สวมชุดสีขาวอยู่ท่ามกลางเกล็ดหิมะ กลับทำให้ดูไม่โดดเด่นมากเยี่ยงนั้น
หันซังเย่ว์พาคนปรากฎตัวที่ถนนซอยต่อไป ตอนนั้นคนเหล่านั้นเพิ่งจะมาถึง บนถนนหนทางปกคลุมไปด้วยหิมะชั้นบางๆ หนึ่งชั้น ทำให้เห็นรอยเท้าอย่างชัดเจน
“ไล่ตาม!” หันซังเย่ว์พาทหารรักษาการณ์ไล่ตามกันไปตลอดทาง
เหยาเยี่ยนอวี่ที่ถูกแบกอยู่บนไหล่ของผู้ร้ายรู้สึกไม่สบายตัวแม้แต่เพียงน้อย คนคนนี้วิ่งไวเกินไป อีกอย่างไหล่ของผู้ร้ายมาโดนกระเพาะของตนเองพอดี ตลอดทั้งทางก็โยกเยกไปมา ทั้งบ่ายนี้ นางเอาแต่กินๆ ดื่มๆ อีกทั้งยังเจอกับเรื่องที่ทำให้ขวัญเสีย จึงทำให้อาหารและเครื่องดื่มที่กินเข้ามาไหลย้อนกลับมาตรงปาก เหยาเยี่ยนอวี่พยายามกัดฟันอดทน ไม่ให้ตนเองอาเจียนออกมา
ตลอดทางเหมือนวิ่งไปนานมาก นานจนเหยาเยี่ยนอวี่แทบจะทนไม่ไหวแล้วกำลังจะอ้าปากอาเจียนออกมา สุดท้ายคนเหล่านี้ก็หยุดลงตรงถนนเส้นสายที่ลึกลับและเงียบสงบ คนคนนั้นที่แบกนางไว้ก็ออกแรงอุ้มนางลงมา แล้วใช้ดาบสันโค้งในมือกดอยู่บนไหล่ของนางอีกครั้ง “เจ้าควรเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นดาบของข้าคงไม่รู้จักคน”