หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 180 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (2)
ตอนที่ 180 มิตรภาพของสหายคนสนิท เซียวโหวระบายความในใจ (2)
เหยาเยี่ยนอวี่กำลังลังเลว่าจะเล่าเรื่องงานสมรสของเซียวหลินกับอวิ๋นเหยาให้หันหมิงชั่นฟังดีหรือไม่ นางนึกถึงเทศกาลชมโคมไฟในคืนนั้น สายตาที่เซียวหลินมองหันหมิงชั่นและการตอบสนองของหันหมิงชั่น สองคนนั้นเหมือนจะมีความรู้สึกต่อกันหน่อย ทว่าหากปิดบังหันหมิงชั่น ก็คงจะรู้สึกผิดกับนาง
ทว่า พวกเขาสองคนมีความรู้สึกอย่างไรกันก็ยังไม่แน่ใจ หากบอกเยี่ยงนี้กับนาง จะหลวมตัวเกินไปหรือเปล่า
ต้องทำเช่นไรดี! เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจลากยาว แล้วเอาตำรายาสมุนไพรในมือโยนทิ้งไปไว้ข้างๆ
ชุ่ยเวยเห็นจึงรีบเดินเข้ามาถาม “คุณหนูเจ้าคะ เหนื่อยแล้วหรือ จะให้บ่าวนวดไหล่ให้ท่านหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าลุกขึ้นแล้วเดินเล่นหน่อย” เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น ขณะที่ขยับแขนก็ขยับเอวไปด้วย
ชุ่ยเวยมองตำราวางอยู่บนโต๊ะเต็มไปหมด จึงรีบเก็บพู่กันและหมึก แล้วจัดกระดาษบางส่วนที่เหยาเยี่ยนอวี่เขียนเมื่อครู่นี้ไปไว้ด้านข้าง ก็เห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่ข้างบนนั้นบิดเบี้ยวไปมา จึงคลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวขึ้น “คุณหนูเขียนอักษรเหล่านี้ช่างไม่เหมือนที่คนอื่นเขียนจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเพียงชั่วพริบตา แล้วพูดขึ้น “เจ้าอยากฝึกหรือเปล่า วันหลังข้ามีเวลาว่างเว้นแล้วจะสอนเจ้า”
ชุ่ยเวยรีบส่ายหน้า “ไม่แล้ว แม้แต่ชื่อของตนเองบ่าวยังเขียนไม่เป็นเลยเจ้าค่ะ แล้วจะฝึกเขียนสิ่งนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าชุ่ยเวยและชุ่ยผิง สาวใช้สองคนนี้แม้ว่าจะเคยร่ำเรียนกฎระเบียบของกุลสตรีในจวนกับตนเอง ทว่าแค่สามารถอ่านตัวหนังสือออกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น มีความรู้ที่มีขีดจำกัด และเขียนตัวอักษรไม่เป็น พวกนางก็ไม่เคยมีโอกาสได้ฝึกเขียน คิดๆ แล้วก็น่าสงสารเหลือเกิน ดังนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รอให้ข้ามีเวลา ข้าจะสอนเจ้าเขียน”
“ทุกๆ วัน แม้แต่เวลานอนของคุณหนูยังไม่มี แล้วบ่าวจะกล้าสร้างปัญหาให้กับคุณหนูอีกได้อย่างไร” ขณะที่ชุ่ยเวยกล่าว ก็ได้จัดตำราและกระดาษบนโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ยืดเส้นยืดสายในเรือนเสร็จก็อยากจะออกไปสูดอากาศข้างนอก เพิ่งจะออกนอกประตูก็ได้ยินคนข้างนอกกำลังโวยวายเสียงดัง ด้วยเหตุนี้จึงถาม “ข้างหน้าโวยวายเรื่องอะไรกัน”
ชุ่ยผิงตะลึงงัน แล้วพูดขึ้นอย่างฉับพลัน “ใช่แล้ว! วันนี้เป็นวันประกาศผลสอบแล้วเจ้าค่ะ!”
“อ๋า?” เหยาเยี่ยนอวี่ตกตะลึงก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยถามด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ไม่ใช่เพราะว่าพี่รองสอบติดแล้วนะ?”
ชุ่ยผิงยังอยากจะพูดว่าบ่าวจะลองไปดู ก็เห็นปั้นซย่าวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจ แล้วตอบกลับด้วยความสุข “คุณหนู ยินดีด้วยเจ้าค่ะ! คุณชายรองผ่านการคัดเลือกแล้ว! คนที่มาส่งข่าวดีตรงข้างหน้ากำลังรอการตบรางวัลอยู่เจ้าค่ะ!”
ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงถาม “พี่รองล่ะ?”
“คุณชายรอง?” ชุ่ยผิงครุ่นคิด แล้วยกมือตบศีรษะของตนเอง “คุณชายรองออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าจะไปทำธุระที่เขตชานเมืองเจ้าค่ะ”
“เร็วเข้า สั่งให้คนไปส่งสารให้พี่รอง!” เหยาเยี่ยนอวี่สั่งการอย่างปลื้มปริ่ม
เฝิงหมัวมัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก จึงรีบเตือนความจำของเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูเจ้าคะ พวกเรารีบตบรางวัลให้กับผู้ที่มาส่งข่าวดีเถอะเจ้าค่ะ!”
“ให้ เอาไปให้! เอาเงินไปเยอะๆ หน่อย!” เหยาเยี่ยนอวี่ทำท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกเพราะดีใจเกินไป
เฝิงหมัวมัวตอบกลับด้วยความดีใจ จากนั้นก็ควักเศษเงินตำลึงออกมาหนึ่งห่อแล้วมุ่งหน้าไปตบรางวัลตรงสวนหน้า เหยาเยี่ยนอวี่ดึงเฝิงหมัวมัวไว้แล้วพูดขึ้น “หมัวมัวถามว่าด้วยว่าพี่ชายสอบติดอันดับที่เท่าใด”
“เจ้าค่ะ บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวเดินไปข้างหน้าด้วยความดีอกดีใจ
ไม่นานสาวใช้ปั้นซย่าก็รีบวิ่งกลับเข้ามาอีกครั้ง “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายรองสอบติดอันดับที่สามสิบเจ็ดเจ้าค่ะ”
สอบติดอันดับต้นๆ อันดับที่สามสิบเจ็ดของบัณฑิตชั้นสูง? เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทว่ารู้สึกว่าผลสอบนี้ถือว่าไม่เลวหรือเปล่า
“เช่นนั้น สอบติดอันดับหนึ่ง สองหรือสาม?” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถาม
“อันนี้…บ่าวก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” ปั้นซย่าตอบกลับอย่างงวยงง
“จุ๊! ยัยสาวใช้โง่” เหยาเยี่ยนอวี่ขึงตามองนาง “รีบไปถามสิ”
พอเห็นปั้นซย่าวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ เหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะได้สติกลับมา หากติดอันดับหนึ่ง สอง และสามก็จะถูกฮ่องเต้เลือกหรือเปล่า เหมือนยังสามารถเข้าร่วมอะไรนะ…การสอบเข้ารับราชการในวัง? เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือแล้วตบศีรษะของตนเอง ภายในใจคิดว่าเหตุใดข้าถึง ‘เอ้อ[1]’ เยี่ยงนี้ ถูกเรียกว่า ‘คุณหนูเอ๋อ’ นี่มันเหมาะสมจริงๆ มีโรคแทรกซ้อนภายหลังตามมาอีกแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหยาเหยียนอี้สอบติดอันดับที่สามสิบเจ็ดของบัณฑิตชั้นสูง ซึ่งเป็นอันดับต้นๆ ก็เป็นข่าวดีอย่างยิ่งแล้ว
ปกติคุณชายรองแห่งตระกูลเหยามัวแต่ยุ่งกับงานในจวน ร่ำเรียนตำราก็แค่เป็นเรื่องที่เขามักจะทำตอนที่มีเวลาว่างเว้น จึงไม่ได้เหมือนกับ ‘นักคิดและปัญญาชนสำนักวิชาขงจื๊อ’ ที่เอาแต่ร่ำเรียนหนังสืออยู่ทุกวี่ทุกวัน
ข่าวดีส่งมาถึงในจวนเก่าของตระกูลเหยาเสร็จ จากนั้นก็ส่งไปยังเรือนฉีเสียงแห่งจวนติ้งโหว
ตอนนั้น เหยาเยี่ยนอวี่ได้สั่งให้คนในเรือนออกไปข้างนอกพอดี ในเรือนมีเพียงหลิวหลีเพียงผู้เดียวที่เสวนาตรงหน้า เพิ่งจะถามขึ้นหนึ่งประโยคว่า สาวใช้จวู๋หงผู้นั้นเชื่อใจได้หรือไม่ ก็ได้ยินคนข้างนอกขานเรียกด้วยเสียงดังว่า ท่านฮูหยินสาม เกิดเรื่องดีแล้ว!
เหยาเฟิ่งเกอขมวดคิ้วมองหลิวหลี หลิวหลีรีบปิดปากเงียบแล้วลุกขึ้นพลางเดินออกไป ซานหูที่เฝ้าอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงก็ถามคนที่มาส่งสาร “เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องดี”
ผู้ที่มาส่งข่าวดีเป็นผัวจื่อท่านหนึ่ง จึงยิ้มหัวเราะพลางพูดด้วยเสียงสูงในเรือน “เชิญแม่นางกลับไปรายงานฮูหยินสาม พี่ชายคนรองของนางสอบติดอันดับที่สามสิบเจ็ด ที่ซึ่งอันดับต้นๆ ของการสอบคัดเลือก!”
เหยาเฟิ่งเกอมองไปข้างนอกด้วยความดีใจทันที แล้วรีบสั่งการ “รีบ ตบรางวัลหนักๆ ให้กับผู้ที่มาส่งข่าวดี!”
หลี่หมัวมัวที่ได้ยินข่าวคราวก็เอาเงินตำลึงออกมาตบรางวัลให้คนอื่น จากนั้นสาวใช้และผัวจื่อในเรือนฉีเสียงต่างก็มีส่วนบ้าง ดวงหน้าของแต่ละคนดูรื่นเริงยินดี
ไม่นาน เฟิงซื่อและซุนซื่อก็มาแสดงความยินดีกับเหยาเฟิ่งเกอด้วยกัน เฟิงซื่อคลี่ยิ้ม “แสดงความยินดีกับน้องสะใภ้สามด้วย! พี่ชายคนรองของเจ้าสอบติด วันข้างหน้าฮ่องเต้คงจะให้ความสำคัญแน่นอน หากสามารถเข้ารับตำแหน่งที่เมืองหลวง น้องสะใภ้สามจะได้ไม่ต้องพร่ำบ่นว่าที่ในเมืองหลวงไม่มีคนในครอบครัวของตนเองอีกต่อไป”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำพูดมงคลของพี่สะใภ้แล้ว!”
ซุนซื่อก็พูดคำคุยโวโอ้อวด แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องชายคนโตแห่งตระกูลเหยาก็ถือว่าเป็นศิษย์ของใต้เท้าเฟิง”
เฟิงเซ่าผิงเป็นผู้คุมสอบในรุ่นนี้ ว่าไปบัณฑิตชั้นสูงที่เข้าสอบในรุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นศิษย์ของเขา ดังนั้นเหยาเฟิ่งเกอจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “สามารถเป็นศิษย์ของใต้เท้าเฟิง ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาของพี่รองของข้าแล้ว วันข้างหน้ายังต้องพึ่งพาบิดาและพี่ชายของพี่สะใภ้ใหญ่มาชี้แนะพี่ชายของข้าอยู่บ่อยๆ”
เฟิงซื่อคลี่ยิ้ม “เจ้าพูดถ้อยคำเช่นนี้กับข้าหรือ พวกเรากลายเป็นคนนอกกันตั้งแต่เมื่อใด”
สะใภ้ทั้งสองจึงหัวเราะจนตัวโยน ซานหูพาเหล่าสาวใช้ยกชาหอมกรุ่นและของว่างขึ้นมา เหยาเฟิ่งเกอจึงเสียสละให้กับพี่สะใภ้ทั้งสองอย่างมีมารยาท
ซุนซื่อคลี่ยิ้มพลางพูดอีกครั้ง “ว่าไปแล้ว น้องสะใภ้สามคลอดบุตรในเดือนหก และน้องรองแห่งตระกูลเฟิงก็จะได้แต่งเข้าจวนในเดือนหก ถึงเวลาจวนของพวกเราก็ถือว่ามีเรื่องมงคลเกิดพร้อมกันสองเรื่อง”
เหยาเฟิ่งเกอก้มหน้าจิบตา ได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่แสดงสีหน้าใดๆ
เฟิงซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “สะใภ้สองกล่าวได้แม่นยำเหลือเกิน ร่างกายของข้าไม่ได้เรื่องเอง ถึงเวลายังต้องลำบากเจ้ามาคอยสะสางเรื่องทุกอย่างในจวนเสียหน่อย”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้มออกมาอย่างฉับพลัน “ว่าไปแล้ว ข้าก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง หากสามารถเป็นจริง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างถ่องแท้”
ด้วยเหตุนี้ ซุนซื่อจึงเอ่ยถาม “เรื่องใด”
เหยาเฟิ่งเกอคลี่ยิ้ม “ปีที่แล้วองค์หญิงต้าจั่งทรงตรัสว่า อยากจะให้เหิงเอ๋อร์เลือกปัญญาชนที่มีนิสัยอ่อนโยนมาเป็นคู่ครอง ปีนี้ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาการสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันต์พอดี บุคคลที่มีความสามารถในทั่วพิภพจะมารวมตัวกันที่เมืองหลวง พูดได้ว่าเป็นกาลชะตาเมฆาจริงๆ และไม่รู้ว่าจะมีผู้ใดที่สามารถเข้าตาองค์หญิงต้าจั่ง”
ซุนซื่อทำนัยน์ตาเปล่งประกายทันที รอยยิ้มดูจืดจางลงเล็กน้อย “น้องสามเป็นหัวแก้วหัวแหวนขององค์หญิงต้าจั่ง องค์หญิงต้าจั่งเกรงว่าคงไม่ยอมให้นางออกเรือนเร็วเช่นนี้หรอกกระมัง ปีนี้เหิงเอ๋อร์ก็เพิ่งจะถึงเข้าพิธีปักปิ่น คุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงที่มีอายุสิบแปดปี ยังไม่เร่งรีบเลย เหิงเอ๋อร์ก็คงไม่ต้องเร่งรีบหรอกกระมัง”
[1] เอ้อ เป็นคำภาษาจีน ซึ่งแปลว่า สอง และสามารถแปลว่าโง่เขลาได้เช่นกัน