หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 187 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (4)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 187 เดินทางไปเขตตอนใต้พร้อมกัน แม่นางพริ้มเพราปิ้งปลาอันหอมกรุ่น (4)
“มีสักที่ไหนเล่า! พี่หัน ท่านอย่าเปลี่ยนเรื่องคุย พวกเรากำลังพูดถึงท่านอยู่” ซูอวี้เหิงคลี่ยิ้ม “พี่สาวท่านไม่ออกเรือน น้องสาวจะกล้าออกได้อย่างไร คนเป็นน้องจะออกเรือนก่อนพี่สาวได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่มองพวกนางสองคนกำลังหยอกล้อกัน ภายในใจกำลังคิดว่าความฉลาดหลักแหลมของหันหมิงชั่น จะดูไม่ออกถึงเรื่องในใจของซูอวี้เหิงได้อย่างไร นางพูดเยี่ยงนี้ ก็ต้องมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่เหตุเพราะจวนเจิ้นกั๋งกงไม่เห็นด้วยที่ซูอวี้เหิงออกเรือนกับหันซังเย่ว์
งานสมรสของลูกหลานมักจะเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของทั้งตระกูล คิดๆ แล้วก็ทำให้คนรู้สึกปวดหัว ว่าไปแล้ว อย่างไรทางฝั่งตนเองก็ไร้เดียงสากว่าเยอะ คิดถึงคนๆ นั้น คงไม่มีทางดึงใครมาเกี่ยวข้องมากเพียงนี้ แค่ฮ่องเต้ไม่ขัดขวาง ก็คงไม่มีปัญหาพวกนี้…แค่ว่ามีจวิ้นจู่เป็นส่วนเกี่ยวข้อง คิดๆ แล้วก็รู้สึกปวดหัวอยู่เหมือนกัน
อือ! นี่กำลังคิดอะไรอยู่! เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบเก็บความคิดนั้นกลับไปทันที แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าดวงใจของตนเองมีแต่เพียงดวงหน้าที่ทั้งเย็นชาทั้งชาญฉลาดนั้นเต็มดวง ภายในใจจึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาเป็นจังหวะๆ จากนั้นก็แอบก่นด่าตนเอง เหตุใดถึงต้องไปเฝ้าคำนึงถึงเขา! ห้ามคิด! หากไปมีเรื่องบาดหมางใจกับจวนเฉิงอ๋อง ชีวิตในชีวิตคงไม่ราบรื่น!
สำหรับเรื่องที่เหยาเยี่ยนอวี่ใกล้จะจากเมืองหลวงและเดินทางสู่เขตตอนใต้ เหยาเฟิ่งเกอก็ยิ่งเป็นทุกข์แต่ยากที่จะอธิบายออกมา ทีแรกนางยังหวังให้เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ในเมืองหลวงแล้วรอคอยตนเองคลอดบุตร วันนี้ดูๆ แล้วก็คงเป็นเช่นนั้นไม่ได้แล้ว
เพราะว่าเรื่องนี้เป็นความลับ เหยาเฟิ่งเกอจึงไม่รู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะผสมผงยาให้กับฮ่องเต้ ดังนั้นตอนนางเคยบอกกับเหยาเหยียนอี้ว่าอยากจะให้เหยาเยี่ยนอวี่อยู่เคียงข้างตนเอง เหยาเหยียนอี้แค่ส่ายหน้าอย่างประหม่า แล้วทิ้งคำพูดให้นาง “คำสั่งของจักรพรรดิ ยากที่จะฝ่าฝืน”
เรื่องบางอย่าง ต่อให้เป็นพี่น้องบุตรเอกทางสายเลือดก็มิอาจพูดออกมาได้ ดังนั้น เหยาเฟิ่งเกอก็ไม่ได้มากความอีก
วันที่ 2 เดือน 4 สายลมฤดูใบหน้าผลิที่อบอุ่น ทุ้งหญ้าอันสดใส ฤดูที่ง่ายต่อการจัดงามสมรส การออกเดินทาง และการขุดดินสร้างสุสาน
วันนี้ พี่น้องตระกูลเหยาและจิ้งไห่โหวเซียวหลินที่ต้องไปเข้ารับตำแหน่งที่เขตตอนใต้ออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกัน และยังพาบ่าวไพร่และทหารรักษาการณ์นั่งรถม้าออกจากทิศตะวันออกของเมืองหลวงด้วยกัน ขึ้นเรือที่ท่าเรือตงอวิ๋นเทียนเหอของเมืองหลวงต้าอวิ๋น แล้วร่องเรือไปทางทิศใต้ของแม่น้ำ ก็จะสามารถไปถึงเจียงหนาน
เหยาเยี่ยนอวี่และพี่รองตื่นมาแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังท่าเรืออวิ๋นเทียนเหอ
หันหมิงชั่นต้องมาส่งพวกเขาอยู่แลว หันซังเย่ว์นึกถึงเหยาเยี่ยนอวี่จะไปสองสามเดือน ภายในใจก็รู้สึกเศร้าหมองอยู่บ้าง จึงไปท่าเรือเพื่อส่งคนเดินทางกับน้องสาว เหตุเพราะเหยาเฟิ่งเกอตั้งครรภ์จึงไม่สะดวกต้องการเดินทาง ซูอวี้เสียงเลยเป็นตัวแทนของจวนติ้งโหวมาส่งคน ซูอวี้เหิงก็ต้องติดตามมาอยู่แล้ว
ตอนช่วงปลายฤดูใบหน้าผลิ แม่น้ำอวิ๋นเทียนสะท้อนท้องฟ้าสีครามอันสดใส หยดน้ำพริ้วพราว ผืนแม่น้ำอันกว้างขวางมีเรือสำเภาจีนโบราณสุดหรูจอดอยู่หลายลำ หนึ่งลำเป็นเรือสองพี่สองตระกูลเหยานั่ง อีกลำเป็นของจิ้งไห่โหวเซียวหลิน ส่วนเรืออีกสองลำที่มีขนาดเล็ก เป็นเรือที่ให้เหล่าทหารคุ้มกันและบ่าวไพร่เป็นคนใช้ ช้างในบรรจุสัมภาระที่ไม่ค่อยได้ใช้อยู่บ่อยๆ
ใต้ต้นหลิ่วอันเขียวขวี ซูอวี้เหิงจับมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ไม่ปล่อยด้วยความอาลัยอาวรณ์ ดวงตากลมโตนั้นเคล้าด้วยน้ำตา “พี่เหยา วันข้างหน้าท่านยังจะกลับมาอีกหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้พูดกับซูอวี้เหิงเรื่องที่ตนไปเจียงหนานที่ครั้งนี้ก็เพื่อไปนำสมุนไพรกลับมาตามคำรับสั่งของฮ่องเต้ ดังนั้นซูอวี้เหิงแค่คิดว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะติดตามพี่ชายกลับบ้านเกิด อย่างไรบ้านเกิดของนางอยู่เจียงหนาน นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง บิดามารดาและญาติพี่น้องต่างก็อยู่ ไม่มีทางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแล้วพึ่งพาอาศัยพี่สาวบุตรีเอกในการใช้ชีวิตตลอดไปหรอก
หันหมิงชั่นกลับรู้มาบ้าง แค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับแคว้น นางก็ไม่กล้าเอ่ยพูดให้มากความ
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองยังจะกลับมา และยิ่งไม่มีทางพูดว่าตนเองไม่กลับมา แค่จับผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้กับซูอวี้เหิง แล้วหัวเราะด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าดูเจ้าซิ คนมากมายเพียงนี้มองอยู่ ร้องไห้จนตาแดงแล้วไม่สวยแล้วนะ”
ซูอวี้เหิงทำปากที่ดูน่าสงสาร แล้วแอบมองหันซังเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ เพียงชั่วพริบตา
หันซังเย่ว์และซูอวี้เสียงที่อยู่ข้างๆ กำลังกล่าวอำลากับเหยาเหยียนอี้และเซียวหลิน ระหว่างเหล่าบุรุษแน่นอนว่าต้องมีคำพูดที่พวกเขาจะพูดอยู่แล้ว ไม่ได้เหมือนกับเหล่าสตรีทางนี้ที่เอาแต่อาลัยอาวรณ์ คำกล่าวอำลาของทางโน้นเป็นเสียงหัวเราะอันร่าเริง
แน่นอนว่าเฟิงเซ่าเชินต้องมาส่งเซียวหลินอยู่แล้ว แค่ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่ต้องพรากจากกันของคุณชายเฟิงกลับไม่ได้รู้สึกกับเซียวหลิน เขาจึงแอบชำเลืองมองทางนี้อยู่ตลอดเวลา สายตาวกวนอยู่รอบตัวเหยาเยี่ยนอวี่ เหมือนมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่นคำอยากพูด แค่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาส
เหยาเยี่ยนอวี่ก็มองพวกเขาเพียงพริบตาเดียว ภายในใจกำลังคิดว่าเหตุใดเว่ยจางยังมาไม่ถึง เขาไม่ใช่ว่าต้องรับผิดชอบรักษาความปลอดภัยของตนเองตลอดทางหรือไง เหตุใดยังไม่เจอแม้แต่เงา หรือว่าเขาจะสามารถปรากฏตัวไม่ว่าอยู่แห่งหนใด สามารถทำเหมือนนิยายกำลังภายใน แล้วปกป้องตนเองอย่างลับๆ?
ทางฝั่งหันซังเย่ว์และคนอื่นๆ ต่างก็ดื่มสุราเพื่ออำลากับเหยาเหยียนอี้และเซียวหลินแล้ว แล้วยังให้คำมั่นสัญญาว่าคราไหนที่พบหน้ากันอีก จะมาร่วมดื่มสุราอีกครั้ง
เหยาเหยียนอี้ทำมือคารวะ “เวลาก็สายแล้ว ขอบคุณในมิตรภาพอันลึกซึ้งของทุกท่าน หากภายภาคหน้าทุกท่านมาเจียงหนาน เหยาเอ้อร์ต้องต้อนรับพวกท่านที่มาเยือนถิ่นของข้าเป็นอย่างดี”
ทางนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ตบแก้มอันผุดผ่องของซูอวี้เหิง แล้วพูดอย่างสนิทสนม “เหิงเอ๋อร์ มีเรื่องอะไรก็พูดคุยให้พี่หันฟังเยอะๆ ข้าไปแล้ว วันข้างหน้ามีโอกาสจะกลับมาแน่นอน”
“เช่นนั้น รอให้พี่สะใภ้สามคลอดหลานชาย อย่างไรฮูหยินข้าหลวงใหญ่ย่อมมาเยี่ยมเยียนหลานชายแน่นอน ถึงเวลานั้นพี่สาวต้องมาอีกแน่นอน” คุณหนูสามแห่งตระกูลซูจึงรีบหาเวลาที่พบกันใหม่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น นางก็เปลี่ยนจากอารมณ์ที่เศร้าโศกกลายเป็นความรื่นเริงยินดีขึ้นมาทันที แล้วจับมือเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง พร้อมพูดซ้ำ “ข้ากับพี่หันจะรอพี่สาวกลับมา”
เหยาเยี่ยนอวี่แค่อมยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ตอบตกลงอย่างต่อเนื่อง เฝิงหมัวมัวรีบเดินเข้ามาบอกเตือน “คุณหนูเจ้าคะ ควรขึ้นเรือแล้วเจ้าค่ะ”
น้ำตาของซูอวี้เหิงไหลรินอีกครั้ง เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือลูบหน้าของนาง แล้วฝืนยิ้ม “ฟ้าใกล้มืดแล้ว ข้าไปแล้ว พวกเจ้าก็รีบกลับไปเถอะ” กล่าวจบ จึงพยักหน้าให้หันหมิงชั่น แล้วเหยียบขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ เพื่อขึ้นเรือไป
เหยาเหยียนอี้และเซียวหลินต่างก็ทำมือคารวะให้กับทุกคน แล้วกล่าวคำว่า ‘ลาก่อน’ จากนั้นก็หันหลังขึ้นเรือ เหลือทหารรักษาการณ์ก็ติดตามไป จากนั้นทุกคนต่างก็ช่วยกับดึงดาดฟ้าเรือออก แล้วแกะเชือก เรือจึงค่อยๆ ขยับ แล้วค่อยๆ ออกจากท่าเรือ
สองพี่น้องตระกูลเหยาและเซียวหลินยืนอยู่ตรงหัวเรือ แล้วโบกมืออำลากทุกคนที่อยู่ตรงท่า จากนั้นก็ค่อยๆ ไกลห่างออกไป จนกว่ามองไม่เห็นคนที่อยู่บนท่า เหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะพาเฝิงหมัวมัว ชุ่ยเวยและคนอื่นๆ เข้าไปในเรือ
เรือลำนี้มาทั้งหมดสามชั้น ชั้นล่างสุดสำหรับบรรจุของใช้ประจำ ตรงกลางเป็นชั้นที่เหยาเหยียนอี้ใช้ ส่วนข้างบนสุดจะเป็นที่พักเหยาเยี่ยนอวี่และเฝิงหมัวมัว อีกทั้งเหล่าสาวใช้ก็นอนพักที่นี่ เซียวหลินอยู่บนเรือตามลำพังก็รู้สึกโดดเดี่ยวและเบื่อหน่าย จึงมาอยู่กับเหยาเหยียนอี้
ตรงหัวเรือมีเตา จึงสามารถต้มชาต้มน้ำแกง อีกทั้งข้างๆ ของเรือยังมีโรงครัวเล็กๆ สามารถทำอาหารบนนี้ ถึงแม้ไม่ถือว่ากว้างขวาง ทว่าก็สั่งให้คนมาเก็บกวาดตั้งนานแล้ว ตอนที่มาพักอาศัยที่นี่ก็ถือว่าสะดวกสบาย
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ตรงห้องพักของตนเอง แล้วมองทิวทัศน์แม่น้ำผ่านหน้าต่างมุ้ง ตอนนี้ดวงอาทิตย์ขยับไปทางทิศตะวันตกแล้ว ดวงอาทิตย์อันแสนอบอุ่นสะท้อนบนผืนแม่น้ำ เหมือนดั่งผืนแม่น้ำถูกสาดด้วยทองคำ เปล่งประกายแสงสีทออันงพริ้วพราว ทำให้คนรู้สึกเริ่มแสบตา จากนั้นจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เหยาเยี่ยนอวี่อดนึกย้อนบรรยากาศวันนั้นที่เสวนาทางธุรกิจที่ต้องเดินทางลงมาเขตตอนใต้กับฮ่องเต้ในโรงน้ำชา
วันนั้น ฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้เว่ยจางติดตามตัวเองลงใต้ วันนี้ก็ผ่านไปครึ่งวันแล้ว กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคนๆ นั้น หรือว่าจะเปลี่ยนแผนการอย่างกะทันหัน หรืออาจเพราะว่าจิ้งไห่โหวก็ร่วมทางมาด้วย ข้างกายของจิ้งไห่โหวมีทหารรักษาการณ์ ฮ่องเต้เลยรู้สึกวางใจ?
ดูจากเช่นนี้แล้ว ฮ่องเต้ก็ไม่ได้สนใจความปลอดภัยของตนเองมากเพียงนั้น