หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 19 ความหวังดีของซุนฮูหยินน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่มองดูใบหน้าเศร้าหมองของชุ่ยเวย จึงถามขึ้น “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
ชุ่ยเวยนั่งอยู่ตรงที่วางเท้าด้านหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา แล้วพูดขึ้น “บ่าวรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนคุณหนูเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่สูดดมกลิ่นหอมของน้ำชา พลางยกยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรหรือ”
“เห็นได้ชัดว่าคุณหนูเป็นผู้รักษาอาการเจ็บป่วยของคุณหนูใหญ่ แม้นคุณชายรองจะไม่ทราบ ทว่าคุณหนูใหญ่ยังจะไม่รู้แม้แต่น้อยเลยหรือเจ้าคะ เหตุใดต่อหน้าคุณชายรอง นางกลับไม่พูดเพื่อคุณหนูแม้สักประโยคเดียว ในสายตาของคุณชายรองมีเพียงน้องสาวที่เป็นบุตรีของภรรยาเอก กลับไม่เหลียวมองคุณหนูแม้แต่น้อย อีกทั้งบ่าวรับใช้ในเรือนนี้ล้วนประจบสอพลอเก่ง การที่คุณชายรองกระทำเช่นนี้ สาวใช้คนใดจะเห็นคุณหนูอยู่ในสายตาหรือเจ้าคะ”
“พอได้แล้ว! ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างไม่สนใจ นางยื่นมือออกไปบีบแก้มกลมมนของชุ่ยเวย พร้อมพูดขึ้น “เจ้าเองก็รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องบุตรของมารดาเอก อย่างไรเสียข้าและพวกเขาก็มีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างครรภ์มารดา อีกทั้งตั้งแต่เล็กจนโต ข้าและพี่ชายรองก็ไม่ได้สนิทสนมกัน ข้ายังจำได้ดี ในงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ของตระกูลเมื่อครั้งนั้น พี่ชายรองถึงขั้นขานนามของข้าและน้องสามสลับกัน พี่ชายรองเรียกข้าว่าเชวี่ยหวา เขาไม่ได้เป็นเช่นนี้เพียงแค่วันสองวันเท่านั้น ข้าเองก็ไม่เคยเห็นเจ้าคิดจริงจังมากถึงเพียงนี้มาก่อน ส่วนเรื่องที่ข้ารักษาพี่ใหญ่จนหายดีนั้น ข้าเองก็คิดกระทำเพื่อตนเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาแต่อย่างไร เจ้าอย่าทำหน้าบูดบึ้งอีกเลย ข้าเริ่มหิวแล้ว เจ้าไปดูเสียหน่อยว่าทางโรงครัวได้ทำขนมของข้าเสร็จแล้วหรือยัง”
ชุ่ยเวยพลันเหยียดกายลุกขึ้น “เจ้าค่ะ เวลานี้น่าจะเสร็จแล้ว บ่าวไปยกมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
เมื่อตอนที่ได้เวลาอาหารกลางวัน หู่พั่วเดินมาเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไปร่วมโต๊ะอาหารที่เรือนด้านหน้าร่วมกัน บอกว่าในจวนจัดงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายรอง ฮูหยินเรียกให้ฮูหยินน้อยสามและคุณหนูรองไปร่วมงาน เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อยากไปแม้แต่น้อย แต่ลู่ฮูหยินถึงกับเอ่ยเชิญนางด้วย นางจึงทำได้เพียงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปเรือนหน้า
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าในเวลานี้นางอยู่ในตำแหน่งและฐานะที่น่ากระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงรู้ตัวดีว่าควรจะแสดงบทบาทใด ไม่ว่าผู้อื่นจะเป็นอย่างไร นางก็ควรที่จะเงียบสงบ หูของนางทำหน้าที่เพียงแค่รับฟัง ส่วนปากนั้นทำหน้าที่ในการขบเคี้ยวอาหารเท่านั้น
งานเลี้ยงในตระกูลแบ่งเป็นสองโต๊ะ ภายในเรือนหนึ่งโต๊ะและนอกเรือนหนึ่งโต๊ะ ท่านติ้งโหวไม่ได้อยู่ในจวน สองพี่น้องซูอวี้ผิงซื่อจื่อและซูอวี้เสียงนั่งร่วมโต๊ะกับเหยาเหยียนอี้อยู่นอกเรือน ส่วนในเรือนนั้นลู่ฮูหยินร่วมโต๊ะอาหารกับสะใภ้ทั้งสาม เหยาเยี่ยนอวี่และหลานอีกสองคน
ขณะที่กินอาหารอยู่นั้น เหตุเพราะซูจิ่นอวิ๋นใคร่อยากจะกินผลบ๊วย เฟิงฮูหยินน้อยจึงแกะเป็นชิ้นๆ พลางยื่นไปให้ ทว่าซิ่งเอ๋อร์ที่คอยปรนนิบัติรับใช้เกรงว่านางกินเข้าไปแล้วจะเข็ดฟัน คายน้ำเปรี้ยวออกจากปาก เลยเกลี้ยกล่อมให้นางไม่ต้องกิน แต่ทว่าเด็กน้อยอายุห้าขวบเป็นช่วงวัยที่กำลังเอาแต่ใจ เมื่อไม่ให้กินเช่นนี้นางจึงร้องไห้
ลู่ฮูหยินขมวดคิ้วพลันเอ่ยถาม “อวิ๋นเจี่ยเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”
เฟิงฮูหยินน้อยรีบขานตอบ “ร้องไห้อยากกินบ๊วยแช่อิ่มเจ้าค่ะ แต่ซิ่งเอ๋อร์เกรงว่าท้องไส้ของนางจะปั่นป่วนจึงไม่ให้กิน ด้วยเหตุนี้นางจึงร้องไห้โวยวาย เจ้าเด็กคนนี้ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเอาแต่ใจตัวเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้น ลู่ฮูหยินเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฟิงฮูหยินน้อยไล่แม่นมของซูจิ่นอวิ๋นออกจากจวนไปแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับแม่นมคนนั้นหรือ ข้าเห็นนางก็ดูแลเอาใจใส่อวิ๋นเอ๋อร์เป็นอย่างดี เหตุใดถึงไล่นางออก อวิ๋นเอ๋อร์ยังเล็ก ยังจำเป็นต้องมีแม่นม”
เฟิงฮูหยินน้อยกล่าวบ่ายเบี่ยงว่า “นางดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ได้ไม่ดีเจ้าค่ะ ยามที่อวิ๋นเอ๋อร์ร้องไห้ในกลางดึก นางมักลอบหยิกอวิ๋นเอ๋อร์ ต่อหน้าพวกเรานางแสดงให้เห็นว่านางทำดีเต็มที่แล้ว คงจะคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่ที่จะหลอกลวงง่ายกระมัง ในจวนจะเลี้ยงบ่าวรับใช้เจ้าเล่ห์เช่นนี้เอาไว้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
เฟิงฮูหยินน้อยเป็นผู้มีนิสัยใจคอขี้หวาดระแวง ตอนนี้นางอายุยี่สิบห้า ทว่ากลับมีบุตรีเพียงแค่คนเดียว นางเป็นสตรีที่มีบุตรยาก ด้วยเหตุนี้จึงรักใคร่และหวงแหนบุตรีของตนเองเป็นอย่างมาก นางกลัวว่าบุตรีของตนจะไม่สนิทชิดเชื้อกับตน เหยาเฟิ่งเกอเข้าใจเรื่องนี้ของนางเป็นอย่างดี จึงหาโอกาสที่เหมาะสมแล้วพูดยุโยง และปลูกเสี้ยนหนามเอาไว้ในใจของนาง
เดิมทีเหยาเฟิ่งเกอเองก็ไม่คิดว่าเฟิงฮูหยินน้อยจะขับไล่แม่นมที่น่ารังเกียจผู้นั้นออกรวดเร็วเช่นนี้ นางยังคิดจะใส่ไฟเพิ่มเข้าไปอีกหน่อย ทว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้น เหยาเฟิ่งเกอยังลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่านิสัยใจคอของเฟิงฮูหยินน้อยเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะแม่นมจู้ผู้นั้นโชคร้ายเกินไปกันแน่
แม้นลู่ฮูหยินจะเป็นถึงท่านย่า ทว่านางที่เป็นถึงฮูหยินขั้นที่หนึ่งต้องคอยดูแลเรื่องในจวน อีกทั้งยังต้องคอยไปร่วมงานสังสรรค์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้เลี้ยงหลานชายและหลานสาวเอาไว้ข้างกาย สำหรับเรื่องของหลานๆ นั้น นางก็ไม่คิดอยากจะยุ่งหรือมากความ จึงไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใดมากนัก
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้เรื่องราวนี้ดี จึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมวิธีการจัดการของพี่สาวคนนี้อีกครั้ง
หลังจากที่กินอาหารกันเสร็จ ลู่ฮูหยินรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย จึงใคร่อยากจะไปงีบหลับตอนกลางวัน เหยาเฟิ่งเกอพาเหยาเยี่ยนอวี่ไปอำลา ลู่ฮูหยินมองดูเหยาเยี่ยนอวี่ครู่หนึ่ง แล้วแย้มยิ้มพลางพูดขึ้น “ข้าแก่ชราแล้วจริงๆ ความจำยิ่งอยู่ก็ยิ่งแย่ เมื่อวานเหิงเอ๋อร์บอกกับข้าว่านางจะพาน้องสาวของเจ้าไปจวนเจิ้นกั๋วกง เพื่อเข้าร่วมงานประลองหมากล้อมของคุณหนูรองจวนเจิ้นกั๋วกง เจ้าสั่งให้นางเตรียมตัวเสียหน่อย จวนเจิ้นกั๋วกงนั้นจวนอื่นไม่อาจเทียบได้ อย่าได้เสียมารยาทเชียว”
เหยาเฟิ่งเกอรีบตอบรับ “เจ้าค่ะ สะใภ้จดจำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ”
เฟิงฮูหยินน้อยและสะใภ้ทั้งสองช่วยกันปรนนิบัติรับใช้ลู่ฮูหยินจนนอนลงบนเตียง แล้วค่อยออกมาจากประตูด้านหลัง หลังจากที่เดินออกมาจากเรือนหลักแล้วนั้น ซุนฮูหยินน้อยจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ จากนั้นยิ้มพลางพูดขึ้น “สองวันก่อนตระกูลฝ่ายมารดาของข้าส่งผ้าต่วนชั้นดีมาสองพับ สีของผ้าเหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนส่งผ้าไปให้เจ้า เจ้านำผ้าสองพับนี้ไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเถอะ”
เหยาเฟิ่งเกอยิ้มแล้วพูดขึ้น “แน่นอนว่าผ้าที่ตระกูลของพี่สะใภ้รองส่งมาย่อมเป็นของชั้นดี แต่ท่านเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะเจ้าค่ะ เหตุใดถึงต้องคิดเผื่อนางด้วย”
ซุนฮูหยินน้อยหัวเราะร่วน “แน่นอนว่าต้องเป็นผ้าชั้นดี เพียงแต่สีผ้าสดใสเกินไป ข้าจึงไม่กล้าสวมใส่ แต่ในทางตรงกันข้าม สีของผ้าเหมาะสมกับหญิงสาววัยแรกแย้มยิ่งนัก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนยกมาให้”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันกล่าวขอบคุณ ทางด้านเหยาเฟิ่งเกอก็พูดด้วยความเกรงใจอีกสองสามคำ จากนั้นสะใภ้ทั้งสามแยกย้ายกลับเรือนของตนเอง
เฟิงฮูหยินน้อยเดินนำคนของตนไปทางทิศเหนือ ซูอวี้ผิงเป็นบุตรชายคนโต อีกทั้งยังเป็นถึงซื่อจื่อ เรือนชิงผิงที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นจึงตั้งอยู่ด้านหลังเรือนของลู่ฮูหยิน ตำแหน่งเรือนจะอยู่ตรงกลางของจวนโหว เฟิงฮูหยินน้อยซื่อจื่อจึงไม่ได้เดินไปทางเดียวกันกับซุนฮูหยินน้อยรองและเหยาฮูหยินน้อยสาม
เรือนอันจวีของซูอวี้อันและเรือนฉีเสียงของซูอวี้เสียงตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก เรือนหนึ่งอยู่ด้านหน้าส่วนอีกเรือนอยู่ด้านหลัง เรือนอันจวีและเรือนฉีเสียงนั้นอยู่ติดกัน เป็นเรือนข้างทางทิศตะวันออก เรือนฉีเสียงอยู่ด้านหลังของเรือนอันจวี กำแพงสุดท้ายในเรือนติดกับเรือนชิงผิง ซึ่งก็หมายความว่าขนาดทั้งหมดของเรือนชิงผิงนั้นเท่ากับเรือนอันจวีและเรือนฉีเสียงรวมกันทั้งสองเรือน
เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษผู้ใดได้ นับตั้งแต่สมัยโบราณ มีการจัดเรียงลำดับความอาวุโส ยิ่งไปกว่านั้นซูอวี้ผิงก็เป็นบุตรชายคนโต
แม่นมอีกคนของซูจิ่นอวิ๋นนามซิ่งเอ๋อร์เป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามเฟิงฮูหยินน้อยออกเรือนมาด้วยกัน ถือเป็นบ่าวรับใช้ที่รู้ใจยิ่งนัก เมื่อได้ยินซุนฮูหยินน้อยพูดว่าจะให้ผ้ากับเหยาเยี่ยนอวี่ ซิ่งเอ๋อร์จึงเดินพลางพูดกับเฟิงฮูหยินน้อย “เหตุใดวันนี้อยู่ดีๆ ฮูหยินน้อยรองถึงใจกว้างเช่นนี้ ที่ผ่านมาไม่ว่าฮูหยินของบ่าวจะให้สิ่งใดกับนาง บ่าวไม่เคยเห็นนางจะให้สิ่งใดกลับคืนมาเลยเจ้าค่ะ แต่ครั้งนี้กลับให้ผ้ากับคุณหนูเหยา”
เฟิงฮูหยินน้อยยกยิ้มเบาๆ “จะมีสิ่งของใดที่ให้ไปได้ง่ายๆ เช่นนั้นด้วยเล่า ตระกูลทางฝ่ายมารดาของฮูหยินน้อยรองชื่นชอบคุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง อยากสู่ขอให้ได้สมรสกับญาติผู้น้อง เมื่อครู่ท่านแม่บอกว่าคุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงเชิญคุณหนูสามของพวกเราและคุณหนูรองเหยาไปเที่ยวเล่นไม่ใช่หรือ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ซิ่งเอ๋อร์ยิ้มแล้วพูดขึ้น “บิดาของฮูหยินน้อยรองเป็นถึงเสนาบดีประจำกรมพิธีการ ถือว่ามียศถาบรรดาศักดิ์ไม่น้อย เพียงแต่คุณหนูรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นมีสายตามองสูง เกรงว่าการสมรสในครั้งนี้คงจะยากที่จะสำเร็จกระมังเจ้าคะ”
“คำพูดของเจ้าช่างโง่เขลานัก ตั้งแต่โบราณการสมรสนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบิดามารดาและผู้อาวุโส ต่อให้คุณหนูรองผู้นั้นมีสายตามองต่ำ คิดหรือว่านางจะสามารถตัดสินชีวิตของตนเองได้ จวนกั๋วกงนั้นไม่ใช่จวนสามัญธรรมดาทั่วไป หากจะให้พูดนั้น เกรงว่าฮูหยินน้อยรองในเวลานี้คงจะร้อนใจจึงได้ทำการเช่นนี้ออกมา”
“ฮูหยินพูดถูกเจ้าค่ะ” ความเย้ยหยันบนดวงหน้าซิ่งเอ๋อร์ยากที่จะกลบเกลื่อน “เพียงแต่ครั้งนี้คุณหนูเหยาได้กำไรไม่ใช่น้อย”
“แค่ผ้าเพียงสองพับ ตระกูลเหยาไม่ได้ขาดแคลนสิ่งนี้อยู่แล้ว ข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองเป็นตำแหน่งขุนนางขั้นที่สอง ทั้งยังเป็นขุนนางที่ได้รับสินบนในส่วนที่ผิดกฎระเบียบ ยิ่งไปกว่านั้น บรรพบุรุษตระกูลเหยายังร่ำรวยอย่างมาก เจ้าอย่ามองว่าคุณหนูเหยาเป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา เกรงว่าแท้ที่จริงนั้นนางจะมีของมีค่าส่วนตัวที่ล้ำค่าและมากกว่าฮูหยินน้อยรองเสียอีก”