หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 191 อาหารเช้าของท่าเรือ การเดิมพันทางน้ำ (3)
ตอนที่ 191 อาหารเช้าของท่าเรือ การเดิมพันทางน้ำ (3)
ถังเซียวอี้รู้สึกเหนื่อยแล้ว จึงหันหลังแล้วนอนหลับ เว่ยจางครุ่นคิดเรื่องราวหลายๆ อย่างอย่างเงียบสงบ
เช้าวันที่สอง พอถังเซียวอี้ตื่นนอน หันหลังกลับมาก็สังเกตว่าแม่ทัพของเขายังคงอยู่ในท่าเมื่อคืน ยังคงนอนลืมตานิ่งไม่ขยับ จึงผุดลุกขึ้นนั่งแล้วพร่ำบ่น “ไม่ใช่กระมังท่านแม่ทัพ?”
เว่ยจางเหลือบตามองถังเซียวอี้อย่างเย็นชาพริบตาหนึ่ง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวแล้วหันหลังให้
“ก็ได้ถือว่าเมื่อวานท่านเฝ้ากะดึกเลยไม่ได้หลับทั้งคืนแล้วกัน ตอนนี้ตาข้าแล้ว” ถังเซียวอี้ถอนหายใจแล้วบิดขี้เกียจ จากนั้นก็ออกจากห้องโดยสาร
แสงแดดข้างนอกกำลังดี เป็นสัญญาณเริ่มต้นเช้าวันใหม่
ถังเซียวอี้มองมองเรือสุดหรูที่อยู่ไม่ไกลจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ
“แม่ทัพถัง” ข้างนอกจึงมีเสียงขานเรียกที่เคารพนับถือดังขึ้น
รอยยิ้มของถังเซียวอี้จางลง ดวงหน้าหล่อเหลาเคล้าด้วยน้ำแข็ง เอ่ยถามด้วยเสียงเยือกเย็น “นอกจากคนที่เฝ้ากะดึกเมื่อคืน คนอื่นตื่นกันหมดแล้วหรือ”
“เรียนท่านแม่ทัพ ตื่นกันแล้วขอรับ”
ถังเซียวอี้กวาดมือชี้ไปยังผืนน้ำ “ทำตามแผนเดิม ลงน้ำและว่ายน้ำข้ามแม่น้ำข้างหน้า อีกสองลี้มีท่าเรือเล็กๆ ไปบอกเหล่าสหายว่าไปกินมื้อเช้าที่นู่นได้”
“ขอรับ!” คนด้านหลังประสานมือคารวะพลางน้อมรับคำสั่ง หันหลังจากไป
ท่ามกลางอากาศเย็นสบายในเช้าฤดูใบไม้ผลิ ทหารสิบแปดนายสวมเพียงเสื้อตัวในแล้วกระโดดลงน้ำโดยไม่ลังเล คลื่นน้ำปรากฏขึ้น กลืนพวกเขาหายลงไป บนผืนน้ำก็กลับมานิ่งสงบเหมือนก่อนหน้านี
ถังเซียวอี้ยิ้มพึงพอใจแล้วยกมือถอดชุดคลุมสีจันทร์นวลชั้นนอก เหลือเพียงชุดตัวใน ยืดเส้นยืดสายพักหนึ่งก็กระโดดลงน้ำ หายไปใต้ผืนน้ำทันที
ไม่ไกลจากจุดนั้น เหยาเยี่ยนอวี่พิงหน้าต่างชมทิวทัศน์ ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่สักพักก็คลี่ยิ้มบางคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ถ้าใช้ภาษาปัจจุบันในการกล่าวถึงก็คงจะคล้ายคลึงกับกองกำลังพิเศษกระมัง ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยนึกภาพออกว่ากองกำลังทหารในยุคสมัยนี้ได้รับการฝึกฝนอย่างไร วันนี้สุดท้ายก็มีโอกาสได้เห็นแล้ว
แต่ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นแม่ทัพของพวกเขา หรือว่านักรบที่ผ่านการฝึกฝนอย่างแม่ทัพต้องได้รับสวัสดิการพิเศษ? เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ข้างหน้าต่างไปครึ่งวันก็ไม่เห็นเว่ยจางออกมา ภายในใจกำลังคิดว่าอย่าใช้อภิสิทธิ์เจ้าขุนมูลนายขนาดนี้ได้หรือเปล่า
หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป เรือค่อยๆ เทียบท่า
ชุ่ยเวยขึ้นมารายงาน “คุณหนูเจ้าคะ ข้างหน้าก็เป็นท่าเรือเล็กๆ แล้ว เฝิงหมัวมัวบอกว่าจะขึ้นฝั่งไปซื้อพวกผักสดหน่อยเจ้าค่ะ คุณหนูอยากซื้ออะไรหรือไม่เจ้าคะ จะได้ให้พวกนางซื้อกลับมา?”
“เรือจะเทียบท่าแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเราลงไปเดินเล่นดูหน่อยเถอะ” อุดอู้อยู่แต่ในเรือมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ต่อให้สบายมากเพียงใดก็คืออยู่บนเรือ ต่อให้ข้างในและข้างนอกจะกว้างใหญ่เพียงใด ก็ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่ดี
“เช่นนั้นบ่าวเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกข้างนอกให้คุณหนูนะเจ้าคะ” ชุ่ยเวยกล่าวแล้วไปเอาห่อผ้ามา
เหยาเยี่ยนอวี่รีบพูดขึ้น “ช้าก่อน!”
ชุ่ยเวยรีบหันไปมองแล้วเอ่ยถาม “คุณหนูมีอะไรจะสั่งการหรือไม่”
“ไปเอาเสื้อคลุมนอกที่พี่ชายไม่เคยใส่มาหนึ่งชุด”
“อ๊ะ?” ชุ่ยเวยไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
เหยาเยี่ยนอวี่เร่งเร้าด้วยรอยยิ้ม “ไปเถอะ! บนท่าเรือมีคนสัญจรไปมามากมาย สวมใส่ชุดบุรุษย่อมดีกว่า”
“คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยจึงรีบเปลี่ยนทิศ พวกเสื้อผ้าสำหรับใส่ออกไปข้างนอกมักเป็นเสื้อผ้าชั้นดี ไปถึงท่าเรือขนาดเล็กนี้ต้องเป็นที่สะดุดตาแน่นอน ถึงเวลานั้นอาจมีอะไรหลายปัจจัยให้ไม่ สวมใส่ชุดบุรุษจะเหมาะกว่า
ชุ่ยเวยรีบลงไปชั้นล่างแล้วไปหาเสวียเหลียน สาวใช้คนสนิทของเหยาเหยียนอี้ นำชุดคลุมผ้าเนื้อดีผ่าหน้าสีฟ้าอ่อนของเหยาเหยียนอี้มาชุดหนึ่ง
ทีแรกเสวียเหลียนเอาชุดยาวคอป้ายออกมาให้ แต่ชุ่ยเวยแล้วรู้สึกว่าหากให้คุณหนูของนางสวมใส่ต้องลากพื้นแน่นอน ดังนั้นนางจึงเลือกชุดคลุมตัวนี้ ชุดนี้ตอนเหยาเหยียนอี้ใส่ก็ยาวถึงหัวเข่า ดังนั้นหากให้เหยาเยี่ยนอวี่ใส่ก็คงกลายเป็นชุดคลุมยาวแน่นอน
เหยาเยี่ยนอวี่ปล่อยมวยผมออกแล้วหวีเกล้าขึ้นเป็นมวยเดี่ยวบนศีรษะ ปักด้วยปิ่นหยกแกะสลักลายมงคล
จากนั้นก็เปลี่ยนชุดคลุมผ้าเนื้อดีของเหยาเหยียนอี้แล้วหมุนตัวตรงหน้าชุ่ยเวยหนึ่งรอบพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไรบ้าง”
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ใช่แม่นางที่สวยหยาดเยิ้มอยู่แล้ว นางมีดวงหน้าที่คมสันและงดงาม ทรงหน้ากลมเล็กน้อย ไม่ใช่ทรงหน้าเรียวแบบที่ทำให้คนอื่นรักใคร่เอ็นดู ทรงตาดั่งหยกสง่าผ่าเผย สันจมูกโด่ง ขนตายาวรับกับนัยน์ตาพริ้มเพรา ปกติแต่งกายเป็นแม่นางก็ย่อมดูสูงสง่าเป็นธรรมชาติ พอแต่งกายเป็นบุรุษก็ดูเป็นปัญญาชนที่หล่อเหลา
ชุ่ยเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูแต่งกายเช่นนี้ยังดูหล่อเหลากว่าท่านเซียวโหวเสียอีก นี่ถ้าหากไปข้างนอก เกรงว่าคงจะพาแม่นางติดตามกลับมาด้วยหรอกกระมัง”
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม “จะได้อย่างไรเล่า ท่านเซียวโหวเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในท่ามกลางบุรุษ ข้าคงไม่บังอาจไปเทียบเทียมหรอก”
ทั้งสองนายบ่าวต่างก็พูดคุยเล่นกันพร้อมเดินลงจากตึก ที่ชั้นล่าง เหยาเหยียนอี้ก็แต่งกายเรียบร้อย กำลังรอคอยเหยาเยี่ยนอวี่ไปด้วยกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะแต่งกายในชุดบุรุษ ทว่าตอนที่เจอนางเข้า เหยาเหยียนอี้ก็ยังรู้สึกตกตะลึง
“พี่รอง” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกจับจ้องจนเก้อเขิน ดวงหน้าขาวผุดผ่องแดงระเรื่อเล็กน้อย “ข้าแต่งตัวแบบนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เหยาเหยียนอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็รีบหุบยิ้มทันทีพ ร้อมกับทำมือคารวะและเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “อืม เหมือน… เคยพบหน้ากันมาก่อน ไม่ทราบว่าคุณชายมีชื่อแซ่ว่าอะไร มาจากที่ใดกัน”
“เหอะๆ!” เหยาเยี่ยนอวี่รีบยืดตัวตรง มือข้างหนึ่งวางตรงหน้าอกและมืออีกข้างก็ไฟล่ไว้ข้างหลังดังท่าทางของบุรุษ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าน้อยแซ่เหยาเป็นคนเจียงหนานขอรับ โชคดีอย่างยิ่งที่ได้พบเจอกับพี่ชาย ช่างน่ายินดียิ่งนัก ไม่ทราบว่าพี่ชายจะให้เกียรติให้ข้าน้อยเลี้ยงมื้อเช้าพี่ชายสักมื้อ? ฟู่… ฮ่าๆๆ…” หลังจากพูดไปไม่กี่ประโยค เหยาเหยียนอี้ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร นางเองก็ทนไม่ได้เสียก่อน ปิดปากหัวเราะตัวงอ
เหยาเหยียนอี้ก็ถูกทำให้หัวเราะ เหล่าสาวใช้ตามก็หัวเราะตาม
“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เหตุใดถึงหัวเราะอย่างมีความสุขเช่นนี้” เซียวหลินกล่าวพลางออกจากประตูห้องโดยสารเรืออีกบานหนึ่ง เมื่อเงยหน้าเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงนิ่งงันก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ค่อยส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแล้วอุทานขึ้น “น้องเหยาหนอ น้องเหยาเจ้าอยู่ดีไม่ว่าดี มาแต่งกายเป็นบุรุษอย่างพวกเราไปทำไมกัน เจ้าแต่งกายเช่นนี้ลงเรือไปเที่ยวเล่นท่าเรือ เกรงว่าความสง่าผ่าเผยของเจ้าจะทำให้เหล่าแม่นางตาบอดได้กระมัง เจ้ากำลังจะทำให้พวกเราไม่มีจุดยืนใช่หรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่กล้าหยอกล้อเซียวหลินเหยา เหยียนอี้หัวเราะขึ้นก่อน “ต่อให้นางจะหล่อเหลามากเพียงใดก็คงกลบความมีเสน่ห์ของท่านเซียวโหวมิได้หรอก เอ๊ะ! ว่าไปแล้วผู้ที่ย่ำแย่ที่สุดย่อมเป็นข้าแน่?”
แต่ละคนแต่งกายเรียบร้อยแล้วก็เดินไปยังหัวเรือ เวลานี้เรือเทียบท่าแล้ว เหล่าบ่าวไพร่กำลังมัดเชือกเรือและพาดสะพาน
เหยาเหยียนอี้ลงจากเรือก่อน หลังจากที่เหยียบลงบนบันไดหินปูพื้นตรงชายฝั่งแล้วก็หันไปถามเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าเป็นไรไหม”
“ไม่เป็นไร” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปก็ยกมือเลิกชายเสื้อคลุมขึ้น จากนั้นก็กระโดดข้ามไปอย่างว่องไว
“ระวังหน่อย” เหยาเหยียนอี้ยื่นมือมาพยุงนาง ทั้งสองพี่น้องเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวแล้วรอให้เซียวหลินลงเรือ
เหล่าสาวใช้ไม่ได้ติดตามมา ข้างหลังของนายทั้งสามมีเหยาซื่อสี่เถียนหลัว และอารักขาคนสนิทของเซียวหลินนามว่าชิงเยี่ยนติดตามมาด้วย
ท่าเรือนี้ไม่ถือว่าเล็กมาก แต่เช้าตรู่เป็นเวลาขนสินค้าพอดี จึงมีเรือสิบกว่าลำจอดเทียบท่าอยู่ เหล่ากุลีขนของกำลังย้ายของวุ่นวาย ยังมีผู้รับเหมากำลังพร่ำบ่น อีกทั้งยังมีเสียงเจรจาต่อรองของเจ้าของเรือและพ่อค้า เป็นเสียงวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น