หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 22 แผนการมากโข
“แม่ทัพเว่ยเซ่า?” ซูอวี้เหิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจกำลังสงสัยว่า นี่ใช่เหล่าทหารที่ติดตามกันไปออกรบทั้งหมดสิบหกนายที่ท่านลุงและเหล่าพี่ชายกล่าวถึงหรือไม่ จากนายทหารผู้กล้าหาญไปจนถึงผู้บัญชาการกองทัพ ร่วมกันสังหารแม่ทัพใหญ่ของกองทัพอีกฝ่าย เพราะว่าท่านปู่ของเขาก็เคยเป็นแม่ทัพติ้งหย่วนที่เลื่องชื่อไปทั่วใต้หล้านี้ ดังนั้นในกองทัพ ทหารผู้ที่มีตำแหน่งและยศที่ต่ำกว่าเขาต่างก็เรียกเขาว่า “แม่ทัพเว่ยเซ่า”
ในเวลาเพียงชั่วพริบตา ในใจของซูอวี้เหิงใคร่ครวญถึงตำแหน่งและฐานะของแม่ทัพเว่ยเซ่าผู้นี้ไปหนึ่งรอบ ทันใดนั้นนางจึงยิ้มจาง พร้อมกับย่อตัวลง “ที่แท้ก็คือแม่ทัพเว่ยเซ่านี่เอง”
แม่ทัพเว่ยเซ่าผู้สวมใส่ชุดสีเทาหม่นก็ทำมือคารวะ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แข็งและยังเย็นชา ทว่าคำพูดที่เอ่ยออกมากลับฟังสุภาพขึ้นมาก “ข้านามว่าเว่ยจาง ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพูดจาไร้มารยาททำให้คุณหนูขุ่นเคือง กลับไปข้าจะไปเยือนจวนโหว เพื่อไปขอโทษเรื่องนี้ด้วยตนเอง”
“ท่านแม่ทัพเว่ยเซ่าก็กล่าวเกินไปแล้ว พี่ใหญ่ของข้ากับท่านเป็นมิตรสหายกัน คำขอโทษนั้นเป็นเพียงคำพูดที่คนนอกเขาใช้กันเท่านั้น” ซูอวี้เหิงไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ทันใดนั้นนางจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่แล้วหันหลังเดินออกไป “พวกเรายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เว่ยจางพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองแม่นางน้อยสองคนที่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีกำลังพาสาวใช้และผัวจื่อเดินจากไป
ทหารที่สวมใส่ชุดสีไม้ไผ่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง หันไปมองแม่ทัพเว่ยเซ่าอย่างรวดเร็ว และมองไปตามทิศทางที่สายตาเขามองไป ก็เห็นคุณหนูทั้งสองกำลังพากันขึ้นรถม้าทีละคน เพราะเหตุนี้จึงหัวเราะพลางพูดด้วยเสียงต่ำ “ดวงดาวเนื้อคู่ของท่านแม่ทัพเว่ยเซ่ากำลังเคลื่อนไหวแล้ว?”
“เหลวไหล” เว่ยจางเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆ อย่างเย็นชา จากนั้นก็หันไปถามเถ้าแก่โรงหลอมเหล็ก “เมื่อครู่นี้คุณหนูผู้นั้นมาทำอะไร?”
เถ้าแก่เดินมาหาเขาแล้วเอาภาพวาดที่เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งวาดออกมาเมื่อครู่นี้ยื่นไปให้เขา “คุณหนูผู้นั้นต้องการสั่งทำใบมีดที่มีขนาดเล็กเช่นนี้ แล้วยังบอกว่าใบมีดต้องคมอย่างมาก และเหล็กนั้นต้องไม่ขึ้นสนิม นี่ถือว่าเรื่องแปลกใหม่ยิ่งนัก ท่านแม่ทัพเว่ยเซ่าดูเอาเถิด นี่เป็นอาวุธลับของชาวยุทธสำนักไหนกัน”
เว่ยจางดูภาพวาดนั้นที่มีใบมีดแปดเล่มวาดอยู่ ตรงหัวของใบมีดนั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป บ้างเป็นทรงโค้ง บ้างก็เป็นทรงแหลม ดูจากองศาความโค้งของใบมีดพวกนี้ก็รู้ได้เลยว่านั่นคืออาวุธที่ใช้ประโยชน์ได้ดีมาก อีกทั้งยังมีด้ามจับสองด้าม มีด้านที่มีขนาดใหญ่และขนาดเล็ก และยังมีลวดเกลียววาดไว้ ดูท่าแล้วคงจะเป็นส่วนประกอบที่เอามายึดติดกับใบมีด
หลังจากที่ดูภาพวาดเสร็จ เว่ยจางจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น อาวุธเช่นนี้เขายังไม่เคยได้พบและไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทหารในชุดเขียวจึงหัวเราะเสียงต่ำ จากนั้นก็พูดขึ้นโดยที่ไม่สนใจอะไร “เพียงใบมีดเล็กแค่นี้? หากเอาไปเป็นอาวุธลับจะสามารถทำอะไรได้ ทว่าแม่นางผู้นั้นถูกแม่ทัพเว่ยเซ่าของพวกเราทำให้ตกใจจนต้องหลบอยู่ข้างหลังคนอื่นเช่นนั้น ต้องไม่ใช่แม่นางที่สามารถสังหารคนได้ บางทีนางอาจจะเอาไปใช้กับการกินเนื้อย่างก็ได้ ข้าว่าของเล่นนี้ หากเอาไปหั่นน่องไก่หรือคอเป็ดก็คงใช้ได้อยู่เหมือนกัน”
เถ้าแก่ในโรงหลอมเหล็กจึงรีบหัวเราะคล้อยตาม “นายทหารกล่าวได้ถูกต้อง เหล่าคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์อย่างไรเสียก็แค่อยากสั่งทำของพวกนี้ เพื่อเป็นของเล่นเท่านั้นแหละ”
เว่ยจางกลับถามขึ้น “เจ้าพูดจาเสนาะหู แล้วสามารถทำได้หรือไม่”
“ยังไม่ทราบขอรับ ใบมีดเล็กเยี่ยงนี้ต้องกลับไปถามนายท่านเฉินของพวกข้าน้อยเสียก่อนขอรับ เขามักจะกล่าวว่าหากทำได้ก็ให้บอกว่าทำได้ ทำไม่ได้ก็อย่าคิดบังอาจไปรับปากผู้อื่นขอรับ”
นิ้วมือที่มีผิวหนังที่หยาบกร้านของเว่ยจางจึงชี้ไปยังภาพวาด แล้วเอ่ยว่า “ทำให้สุดความสามารถ แล้วทำให้ดีที่สุด หากทำเสร็จแล้วส่งไปที่จวนของข้า ข้าจะให้ค่าตอบแทนเจ้าเป็นสองเท่า”
“ขอรับ ข้าน้อยจะตั้งใจทำสุดความสามารถขอรับ” เถ้าแก่ไม่กล้ากล่าวมากความอีก คุณหนูสองคนนั้นที่มาเมื่อครู่นี้ เขาสามารถรับคำได้อย่างเรื่อยเปื่อย เพราะคิดว่าต่อให้คุณหนูจะมีฐานะสูงส่งเพียงใด ก็แค่จะทำมีดไปเป็นของเล่นเท่านั้น ต่อให้พวกนางรู้สึกไม่พึงพอใจ เขาก็แค่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น แต่นายท่านที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือเทพสงครามผู้ดุร้าย ถ้าหากเขาไปสร้างเรื่องบาดหมางใจด้วย เกรงว่าชีวิตของเขาคงไม่มีทางอยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน
เว่ยจางจึงอมยิ้มขึ้นบางๆ นัยน์ตาแฝงด้วยความลุ่มลึกที่ยากจะคาดเดา เขาไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก
ซูอวี้เหิงและเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังจวนเจิ้นกั๋วกง ระหว่างทางซูอวี้เหิงจึงเป็นฝ่ายเล่าที่มาที่ไปของเว่ยจางให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ฟัง
“แม่ทัพเว่ยเซ่าผู้นี้ไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดา ข้าได้ยินพี่ใหญ่พูดว่า ตอนออกรบ บุรุษผู้นี้ราวกับเทพสังหาร เขามีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจยิ่งนัก เขาสามารถพุ่งตัวออกไปแนวหน้าของฝ่ายตรงข้าม และเป็นผู้นำรบนำหน้ากองทัพ อีกทั้งยังสามารถสังหารร้อยศพเพียงครั้งเดียวรวด เขาเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นเทพสงคราม ในค่ายทหารยังมีกองกำลังเก่าของท่านปู่เขา ทุกคนต่างรู้สึกชื่นชอบในตัวเขา และเต็มใจที่จะติดตามเขา”
“เขาเก่งกาจปานนี้เชียว?” เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงแววตาดุร้ายคู่นั้น ในใจรู้สึกบีบรัดอย่างห้ามปรามไม่อยู่ และคิดในใจว่า เจ้าวายร้ายนั่นมักจะใช้สายตาฆ่าฟันคนจ้องมองตน ช่างชั่วร้ายอะไรเช่นนี้! วันข้างหน้า ทางที่ดีที่สุดก็อย่ามาตกอยู่ในกำมือของตนเลย ไม่เช่นนั้นเขาต้องเจอดีแน่นอน
“เฮ้อ!” ซูอวี้เหิงเอ่ยไป ก็ถอนหายใจอย่างฉับพลัน “แต่ว่าโชคชะตาของแม่ทัพเว่ยเซ่าผู้นี้ไม่ค่อยดีมากนัก”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกข้องใจ เหตุใดผู้ที่ดูโอหังอวดดีถึงได้มีเรื่องอะไรไม่ดีด้วย
“ครึ่งชีวิตของแม่ทัพผู้เฒ่าอยู่แต่ในสนามรบ ได้ยินมาว่าทั่วทั้งเรือนร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลนักรบ ตอนเขาอายุราวๆ สี่สิบก็มีเพียงบุตรชายคนหนึ่งเท่านั้น ได้ยินมาว่าบุตรชายคนนั้นของเขาป่วยหนักแต่เด็ก จึงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงอายุสามสิบปีก็สิ้นใจไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงบุตรชายคนเดียวที่อายุยังไม่ถึงหกขวบ นั่นก็คือเว่ยจาง ภายหลังมาไม่ถึงหนึ่งปี มารดาของเว่ยจางก็เกิดอุบัติเหตุ จึงสิ้นใจตามบิดาของเขาไป”
“ท้ายที่สุดมีคนลือกันว่า บุตรชายคนนี้ของตระกูลเว่ยนั้นเป็นบุตรที่นำพาเคราะห์ร้ายที่เอาชีวิตของบิดามารดาไป ในตอนที่แม่ทัพผู้เฒ่าเว่ยยังมีชีวิตอยู่ คนในตระกูลเว่ยก็ไม่สามารถทำอะไรกับชายหนุ่มผู้ที่เอาชีวิตของบิดามารดาของตนไป ทว่าตอนที่เขาอายุสิบสี่ แม่ทัพผู้เฒ่าเว่ยก็ได้จากไป ชีวิตของเว่ยจางจึงไม่ค่อยราบรื่นมากนัก ได้ยินมาว่าท่านอาที่เป็นญาติผู้น้องของบิดาวางแผนฮุบทรัพย์สมบัติของเขา และได้อ้างเสียดิบดีว่าจะส่งเขาไปฝึกฝนการใช้ชีวิต จึงส่งเขาไปอยู่ในค่ายทหาร อีกทั้งยังปิดบังเรื่องที่เขาเป็นหลานของแม่ทัพผู้เฒ่าเว่ย เพื่อที่จะปล่อยให้เขาตายคาค่ายทหาร”
“โหดเหี้ยมเยี่ยงนี้เชียวหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่อดไม่ได้กัดริมฝีปาก ก็แค่แก่งแย่งทรัพย์สมบัติเท่านั้นก็เกินพอแล้ว เหตุใดถึงต้องคิดทำลายชีวิตของเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบสี่ปีด้วย
ซูอวี้เหิงจึงเปรยขึ้น “เช่นนั้นแหละ! ข้าเองก็ฟังความมาจากหมัวมัวในเรือน บางคนถูกเงินทองบดบังสายตา จนสามารถก่อกรรมทำเข็ญได้ถึงขั้นนี้ ทว่าถือว่าฟ้ายังมีตาที่เข้าข้างแม่ทัพเว่ยจาง ได้ยินมาว่าเขามีทักษะการต่อสู้ที่สืบทอดมาจากท่านปู่ของเขา ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายทหารก็ได้ประสบความสำเร็จ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้าหกปี ก็ได้กลายเป็นท่านแม่ทัพในวันนี้ ครั้งนี้ที่ได้รับชัยชนะกลับมา ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เขาได้รับตำแหน่งต่อจากท่านปู่ของเขา นั่นก็คือยศแม่ทัพติ้งหย่วน ดังนั้นตอนนี้เขาถือว่าได้กลายเป็นแม่ทัพผู้ที่มีชื่อเสียงสมจริงดั่งคำร่ำลือแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงพยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกำลังครุ่นคิดว่า ถึงแม้ว่าบุรุษที่แท้จริงนั้นล้วนอยู่ในค่ายทหาร แต่คนที่เหมือนดั่งติ้งโหวซื่อจื่อ ต่อให้อยู่ในค่ายทหารก็ต้องมีทหารองครักษ์คอยคุ้มกัน และไม่มีทางที่เขาจะออกรบสังหารศัตรูได้ พอมาเปรียบเทียบกันแล้ว อย่างไรคนมีความสามารถดั่งเว่ยจางน่าจะเป็นบุรุษที่แท้จริงมากกว่า
หันเวยแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงได้กลายเป็นราชบุตรเขย ด้วยเหตุที่เขาคือพระสวามีขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา ซึ่งเป็นพระขนิษฐาที่มีพระมารดาคนเดียวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และเป็นพระราชนัดดาขององค์หญิงต้าจั่งที่เป็นพระมารดาของติ้งโหว ดังนั้นจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนติ้งโหวถือว่าเป็นเครือญาติเดียวกัน และซูอวี้เหิงเองก็ได้เติบโตตรงหน้าพระพักตร์ขององค์หญิงต้าจั่งมาตั้งแต่เล็ก จึงได้สนิทสนมกับเหล่าคุณชายและคุณหนูในจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นอย่างมาก เพิ่งเข้าจวนเจิ้นกั๋วกงมาก็คุ้นเคยกับเส้นทางทางเดินที่นี่เป็นอย่างดี
วันนี้ผู้ที่เป็นเจ้าภาพในการจัดการประลองหมากล้อมคือ คุณหนูหันหมิงชั่น บุตรีคนรองของเจิ้นกั๋วกงและองค์หญิงใหญ่หนิงหวา
บุตรีคนโตของภรรยาเอกของเจิ้นกั๋วกงหันหมิงเยี่ย ฮั่นหยางจวิ้นจู่ได้สมรสกับบุตรชายคนโตของข้าหลวงใหญ่แห่งจื๋อลี่ก่อนที่ไทเฮาจะชิ้นพระชนม์ในช่วงฤดูวสันต์ปีที่แล้ว ตอนนั้นพิธีสมรสนี้ได้จัดขึ้นอย่างเร่งรีบ เพียงเพราะนั่นคือพระหฤทัยของไทเฮา ที่อยากจะเห็นหลานสาวคนโปรดที่สุดได้ออกเรือนก่อนที่นางจะสิ้นพระชนม์
หันหมิงเยี่ยจึงได้ติดตามสวามีของตนไปอยู่ที่จื๋อลี่ ในจวนเจิ้นกั๋วกงก็ยังมีบุตรีคนรองอีกหนึ่งคนที่ให้กำเนิดโดยภรรยาเอก อีกทั้งยังมีบุตรีของน้องชายของเจิ้นกั๋วกง อาศัยอยู่ด้วย นั่นก็คือหมิงหลังและหมิงเจวี๋ย วันนี้คุณหนูรองหันจึงเชิญชวนบรรดาสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลราชนิกุลและตระกูลขุนนางขั้นสูงที่มีอายุไล่เลี่ยกันมาเข้าร่วม หมิงหลังและหมิงเจวี๋ยจึงต้องมาช่วยงานด้วย
ตอนที่ซูอวี้เหิงพาเหยาเยี่ยนอวี่กับพี่น้องตระกูลหันมารู้จักซึ่งกันและกันจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า นามของบุตรีภรรยาเอกและบุตรีอนุภรรยาของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นล้วนมีความพิถีพิถัน หมวดนำตัวอักษรจีนที่มีในนามของบุตรีภรรยาเอกคือคำว่า ‘ไฟ’ ซึ่งจะเหมือนกับบรรดาคุณชายทั้งหลายในจวน ส่วนหมวดนำตัวอักษรจีนในนามของบุตรีอนุภรรยาคือ ‘หยก’