หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 232 ขัดแย้งกับท่านย่า มีชีวิตอิสระในท้ายที่สุด (5)
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่ท่าทางซุ่มซ่ามแล้วคลี่ยิ้ม จากนั้นเดินกลับไปเอาตำราเล่มหนึ่งในเรือน แล้ววิ่งไปอ่านตำราอย่างสบายใจที่ใต้ซุ้มดอกจื่อเถิง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม นางเริ่มรู้สึกปวดเมื่อยตรงคอ จึงวางตำราในมือลง แล้วเหยียดกายลุกขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสายและตรวจงานที่มอบหมายให้เหล่าสาวใช้
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงจับเป็ดหนึ่งตัวไว้ เนื้อส่วนใหญ่ที่แล่ออกมาก็ได้พอประมาณแล้ว แต่เนื้อที่ติดกับกระดูกนั้นเละไปหน่อย มือของทั้งสองเปื้อนไปด้วยเลือด ท่าทางดูน่าเวทนาเกินกว่าจะทนดูได้
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “พอเถอะ ไปล้างมือกันก่อน วันนี้พอแค่นี้ วันหลังพวกเจ้าแล่เนื้อเป็ดกันคนละตัวไปเลย ดูว่าใครจะทำได้ดีเทียบเท่าข้าเป็นคนแรก”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยผิงรับคำทันที
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านฝึกฝนมาได้อย่างไร! ช่างอัศจรรย์เกินไปแล้ว!”
เหยาเยี่ยนอวี่แค่ยิ้มแต่ไม่ส่งเสียงใดๆ ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่าตอนที่ข้าฝึกฝนทักษะนี้ ไม่รู้ว่าพวกเจ้าล่องลอยไปอยู่แห่งหนใด เรื่องนี้หากพูดออกมาคงจะทำให้คนตกใจตาย คิดไปคิดมาก็อย่าพูดถึงจะดีกว่า
มื้อเที่ยงได้กินน้ำแกงตุ๋นเป็ดดั่งที่คาดไว้ไม่มีผิด น้ำแกงมีรสโอชา แต่กลับไม่มีเนื้อ เนื้อเป็ดถูกแม่ครัวนำไปผัดกับหน่อไม้เปรี้ยวแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่มองเป็ดผัดหน่อไม้เปรี้ยวจานนั้นเพียงชั่วพริบตา จากนั้นก็ผลักอาหารจานนั้นให้กับชุ่ยเวยและชุ่ยผิง “อาหารจานนี้พวกเจ้าเอาไปกินเถอะ”
“ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ” สาวใช้เอกสองคนค้อมตัวกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็ยกเนื้อเป็ดจานนั้นไปไว้ด้านข้าง
ในเวลานั้นไม่ได้รู้สึกอะไร รอให้เหยาเยี่ยนอวี่กินอาหารจนอิ่มและสั่งให้พวกนางแยกย้ายกันไปกินมื้อเที่ยง ทั้งสองคนกลับไม่กล้าแตะต้องเนื้อเป็ดจานนั้น
ตอนที่คีบเนื้อขึ้นมาก็นึกถึงความรู้สึกที่ตนดึงกระดูกและแล่เนื้อเป็ดออก เหมือนจะรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ดังนั้นสาวใช้สองคนกินเพียงข้าวต้มรสจืดไปคนละถ้วย และไม่ได้กินอะไรเข้าไปอีก เนื้อเป็ดจานนั้นจึงตกเป็นของสาวใช้อีกสี่คนที่อยู่ด้านข้าง
คุณหนูเหยาเห็น ภายในใจกำลังคิดว่า พวกเจ้าโชคดีกว่าข้าเยอะ นี่ขนาดยังไม่ได้ให้พวกเจ้ากินมื้อเที่ยงในห้องฝึกผ่าตัดจุลศัลยกรรมนะ
วันนี้เหยาเหยียนอี้ขึ้นเขา เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่นึกว่าคงไม่มีคนนอกมาเยือน ทว่านึกไม่ถึงเมื่อถึงยามอัสดง ถังเซียวอี้กลับมาเยือน
พ่อบ้านรู้ว่าคุณชายท่านนี้เป็นสหายของคุณชายรอง อีกทั้งยังเป็นขุนนางทหาร จึงไม่กล้าชักช้า เลยสั่งให้ผัวจื่อเข้าไปส่งสารให้กับเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่จึงไปพบถังเซียวอี้ตรงเรือนด้านหน้า
ถังเซียวอี้พูดจาเกรงใจกับเหยาเยี่ยนอวี่ไม่กี่คำ แล้วพูดอย่างจริงจัง “วันนี้ท่านแม่ทัพมีธุระเร่งด่วนต้องไปตุ้งถิง ก่อนจะออกเดินทางก็ได้กำชับข้าว่า หากมีเวลาก็ให้มาเยี่ยมเยียนคุณหนูเหยา และให้ถามคุณหนูมีอะไรจะสั่งการหรือไม่ ทั้งยังบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ”
“ข้าพักอาศัยอยู่ที่นี่ก็ถือว่าไม่เลว ไม่มีอะไรเรื่องอะไรต้องรบกวนพวกท่านหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “หากพวกท่านยุ่งก็ไม่ต้องมาแล้ว ที่นี่มีบ่าวไพร่คอยดูแลและรักษาความปลอดภัย คงไม่มีเรื่องใหญ่อะไร”
ถังเซียวอี้พลันพูด “ห้ามพูดเช่นนี้เชียว ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อท่านแม่ทัพ ข้าเองก็ไม่กล้าละเลยเรื่องนี้ พวกเราถูกสั่งให้มาปกป้องดูแลความปลอดภัยของคุณหนูเหยา ไม่มีทางปล่อยให้คุณหนูถูกรังแกแน่นอน”
“คงไม่ร้ายแรงถึงขั้นถูกรังแกหรอก” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้ม ภายในใจกำลังคิดว่า เรื่องน่าอับอายภายในเรือนไม่ควรบอกให้คนนอกให้รับรู้ แม้จะเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และเถรตรงที่สุดก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาทะเลาะเบาะแว้งในบ้าน แม้กระทั่งท่านปู่ก็ยังไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แค่ปล่อยให้ท่านย่าทำตัวดื้อดึงต่อไป ทั้งยังปล่อยให้ท่านแม่เป็นคนจัดการ ตนจะขัดแย้งกับท่านปู่ไปไยกัน
พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ก็ยิ้มขึ้นอีก “ว่าไปแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งวานให้พวกท่านช่วยเหลือ ข้าต้องการสัตว์ป่าตัวเป็นๆ หลายตัว เฉกเช่นกระต่ายป่า หากพวกท่านมีโอกาสไปล่าสัตว์ ก็วานพวกท่านช่วยจับมาให้ข้าที”
“ต้องการกี่ตัวล่ะ” ถังเซียวอี้แย้มยิ้มเอ่ยถาม
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม “ยิ่งเยอะยิ่งดี ไว้จะให้พวกท่านกินเนื้อสัตว์ให้หนำใจในภายหลัง”
“ได้ ปล่อยให้ข้าจัดการเรื่องนี้เถอะ” ถังเซียวอี้ตบปากรับคำด้วยความตื้นตันใจ
ผ่านไปสองวัน ท่านรองแม่ทัพถังสั่งให้คนส่งสัตว์ป่ามาสองคันรถ แล้วใช้กรงไม้ไผ่ขังพวกไก่ป่า ห่านป่า และกระต่ายป่า ทั้งยังมีกวางชะมดป่า และกวางหางขาว สัตว์จำพวกเพียงพอน สัตว์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในป่าพงไพรที่ควรมีก็มีครบหมดแล้ว ทั้งยังมีลูกหมาป่าหนึ่งตัว
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นแล้วรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก นางสั่งให้คนนำสัตว์ป่าเหล่านี้ไปเลี้ยงตรงหลังสวน แล้วบอกชุ่ยเวยและชุ่ยผิงที่อยู่ด้านข้าง “เห็นหรือยัง สัตว์พวกนี้จะเป็นสิ่งที่พวกเจ้านำมาฝึกฝนจนทำให้ชำนาญมือในการผ่าตัด”
“…” สาวใช้เอกทั้งสองตะลึงงันไปชั่วขณะ คุณหนูคาดหวังในตัวพวกเรามากเพียงนี้เลยหรือ
หลายวันมานี้เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ตอนกลางวันก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับงาน บางเวลาก็ยุ่งกับการปรุงยา สอนเหล่าสาวใช้มีดผ่าตัด และผูกไหมตอนผ่าตัดเสร็จ ทั้งยังให้พวกนางฝึกฝังเข็มให้กันและกัน บางครั้งเหล่าบ่าวไพร่ในบ้านนา หากมีใครรู้สึกปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามเรือนร่าง ก็มักจะถูกคุณหนูเหยาเรียกเข้าไปให้ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงฝึกรักษาอาการ
เหตุเพราะตอนกลางวันเหน็ดเหนื่อยเกินไป ตอนกลางคืนจึงหลับสบายยิ่งนัก หลังจากทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยไปหลายวันติดต่อกัน สภาพร่างกายและจิตใจของนางก็รู้สึกดีขึ้นมาก
วันก่อนจะถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในเดือนห้า เว่ยจางถึงจะกลับจากตุ้งถิง
เว่ยจางไปเลือกทหารเรือที่ตุ้งถิงตามพระบัญชาลับของฮ่องเต้ ครั้งนี้ก็ได้พากองทัพเรือสิบนายมากฝีมือกลับมาด้วย ตอนที่กลับถึงโรงเตี๊ยมเจียงหนิง เขาส่งมอบทหารเหล่านั้นให้กับถังเซียวอี้ จากนั้นตนก็เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมมุ่งหน้าไปยังบ้านนาของเหยาเหยียนอี้
เหยาเยี่ยนอวี่กำลังติเตียนฝีมือการผูกไหมของปั้นซย่าและสาวใช้คนอื่นๆ เซินเจียงจึงวิ่งมาจากด้านหน้า แล้วรายงาน “คุณหนูเจ้าคะ ท่านแม่ทัพเว่ยมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ใจเต้นรัวจนหัวใจแทบจะกระดอนออกจากอก ภายในใจลอบยิ้ม จะกระวนกระวายไปไยกัน ก็แค่บุรุษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยเห็นหรือ ดังนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเรียบ “เหตุใดถึงไม่ไปรายงานคุณชายรองเล่า”
เซินเจียงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูรองกำลังนั่งจิบชาเป็นเพื่อนกับท่านแม่ทัพ บอกให้มาเชิญคุณหนูไปเจ้าค่ะ”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อน “เจ้าไปก่อนเถอะ”
เซินเจียงรับคำพลางหันหลังจากไป
ชุ่ยเวยพลันสั่งปั้นซย่า “รีบตักน้ำมาให้คุณหนูล้างหน้า ข้าจะไปเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้คุณหนู”
“รีบอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่ด่าทอด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้ายังพูดไม่จบเลย”
ชุ่ยเวยไม่รู้จะพูดอะไร แค่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ
เหยาเยี่ยนอวี่จึงติเตียนสาวใช้ที่ผูกไหมไปหนึ่งยกแล้วสั่งการ “รีบผูกใหม่ ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ทุกคนต้องผูกห้าร้อยเส้น เฝิงหมัวมัวดูเวลาไว้ เดี๋ยวข้าจะมาตรวจ”
สาวใช้ไม่กี่คนทำหน้าบูดบึ้งพลางกลอกตามองบน คุณหนูเหยาถึงจะยิ้มอย่างตื้นตันใจ เหยียดกายลุกขึ้นกลับเข้าไปในเรือนนอนอย่างสง่างาม เพื่อกลับไปแต่งแต้มประทินโฉมและเปลี่ยนเสื้อผ้า
แค่ไม่ได้เจอะเจอกันสิบกว่าวัน ตอนที่พบเจอกันใหม่ก็เหมือนแยกจากกันไปนาน
เหยาเยี่ยนอวี่เดินมาจากที่ไกลๆ แล้วมองบุรุษสองคนนั่งอยู่ในศาลา หนึ่งคนเป็นบุรุษผู้สง่างามในชุดผ้าไหมสีเขียว นั่นคือเหยาเหยียนอี้ ส่วนอีกคนคือวีรบุรุษหล่อเหลาและเยือกเย็นสวมใส่ชุดขี่ม้าสีเขียวแขนเสื้อกระชับ บุรุษผู้นั้นก็คือเว่ยจาง
พวกเขาเหมือนมีจิตสัมผัสถึงกัน ทั้งสองคนห่างกันในระยะทางสิบกว่าก้าว เว่ยจางจึงค่อยๆ หันไปมอง จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตาร้อนผ่าว ไม่ได้เจอกันเพียงสิบกว่าวัน คนๆ นี้กลับมีผิวคล้ำขึ้นและร่างซูบผอมลงไปมาก หรือว่าธุระทางราชการไม่ราบรื่น
ส่วนเว่ยจางในตอนนี้กลับเหมือนได้รับการปลอบโยน
ก่อนที่เขาจะจากไป ก็เห็นคุณหนูเหยาหลับไม่สนิทในคืนนั้น ขอบตานางเขียวคล้ำ หลังจากนั้นก็ได้ข่าวว่านางตากฝนจนป่วยไข้ แม้นจะรู้ว่านางอาจแกล้งป่วย ทว่าก็ยังเป็นห่วงเป็นใย วันนี้พอเห็นสภาพของนางที่มีนัยน์ตาแววใส ท่าทางดูมีชีวิตชีวา ดวงหน้าที่เขินอายดูงดงามน่าดึงดูดตา ดูท่าแล้ว หลายวันมานี้ตนคงจะเป็นห่วงนางเกินไปเอง
เหยาเหยียนอี้หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมยกยิ้มจางๆ “ชักช้าอยู่ไย เหตุใดเพิ่งออกมาในเวลานี้