หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 233 งานสมรสพระราชทาน งานเฉลิมฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง (1)
เหยาเยี่ยนอวี่ก้าวเดินอย่าวแผ่วเยา “พี่รอง” จากนั้นก็ย่อตัวให้เว่ยจางเล็กน้อย แล้วขานเรียก “แม่ทัพเว่ย”
“นั่งเถอะ ท่านแม่ทัพซื้อของฝากจากตุ้งถิงมาให้เจ้าด้วย” เหยาเหยียนอี้ชี้ไปยังที่นั่งข้างตน แล้วมองหีบไม้แดงที่วางอยู่ท่ามกลางถ้วยน้ำชาเพียงแวบตาเดียว แม้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าในหีบคืออะไร ทว่ามองจากภายนอก น่าจะเป็นของล้ำค่าที่หายาก
เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงพลางกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณท่านแม่ทัพเป็นอย่างยิ่ง”
เว่ยจางยกมือพลางผลักหีบไปตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วยิ้มจางๆ “หวังว่าคุณหนูเหยาจะโปรดปราน”
เหยาเยี่ยนอวี่รับหีบไว้ นิ้วมือลูบไล้บนฝาอย่างลังเล พร้อมเงยหน้ามองเหยาเหยียนอี้
“ไหนๆ ก็เป็นน้ำใจจากท่านแม่ทัพแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็เปิดดูเถอะ” เหยาเหยียนอี้ยิ้มอ่อนพลางพูด
เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มจางๆ ปลายนิ้วเปิดกลอนเครื่องเขินที่ประดิษฐ์จากเงิน จึงมีเสียง ‘แปะ’ ดังขึ้น หีบไม้ถูกเปิดออก…ข้างในมีไข่มุกสีม่วงวางเต็มหีบ! ขนาดของไข่มุกใหญ่เท่าถั่วลิสง รูปร่างอ้วนกลม เนื้อมันวาวเงางาม
“ข้าจดจำสิ่งที่เจ้าเคยพูดได้ เจ้าต้องการไข่มุกสีม่วงมาปรุงยาอะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงตั้งใจไปตามหาสิ่งเหล่านี้มาให้เจ้า” เว่ยจางพูดด้วยเสียงเรียบเฉย เหมือนสิ่งของในหีบนี้ไม่ใช่ไข่มุกสีม่วงอันล้ำค่า กลับเป็นเพียงข้าวม่วงทั่วไปเท่านั้น
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเป็นอย่างสูง” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างปลื้มปิติ ไข่มุกม่วงหนอ! เม็ดใหญ่ปานนี้ ต่อให้นางไม่เอานำมาปรุงยาก็ต้องชื่นชอบอยู่แล้ว…ของเล่นนี้ สตรีทุกคนล้วนโปรดปรานกันหรือเปล่า
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก แค่เจ้าโปรดปรานก็พอ” เดิมทีเว่ยจางอยากหาดักแด้ทองให้นาง ทว่าเป็นจริงอย่างที่นางพูด ดักแด้ทองมิอาจได้มาอย่างง่ายดาย เขาต้องเปลืองสติปัญญาในการตามหาอย่างมาก ก็ยังจับไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว สุดท้ายจึงยอมแพ้ แล้วตามหาไข่มุกม่วงหีบนี้มาเป็นของขวัญส่งมอบให้นางแทน
เหยาเหยียยนอี้ยิ้มหยอกล้อ “นี่เป็นของขวัญเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างหรือ”
เว่ยจางคลี่ยิ้มจางๆ “ท่านพี่เหยาว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ทว่าพรุ่งนี้เป็นเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ข้าอยากจัดงานเลี้ยงที่ทะเลสาบซีซิน จึงอยากเชิญชวนข้าหลวงเหยาและท่านพี่เหยาจิบสุราและชมการแข่งขันเรือมังกรด้วยกัน ไม่ทราบว่าใต้เท้าเหยาจะให้เกียรติไปร่วมสนุกหรือไม่”
“เมื่อวานท่านพ่อยังบอกว่าจะเชิญท่านและท่านเซียวโหวมาร่วมฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างด้วยกันในจวนแน่ะ”
“คงไม่ไปร่วมงานในจวนแล้ว ช่วงเวลาที่ข้าอาศัยอยู่ในเมืองเจียงหนิง ก็ได้รับการดูแลจากใต้เท้าเหยาและท่านพี่เหยามามาก ไม่นานก็คงจะกลับเมืองหลวง ถึงเวลาเกรงว่าจะกลับอย่างเร่งรีบจนไม่ทันทำการใดให้ข้าถือโอกาสครั้งนี้ เพื่อตอบแทนพวกท่านเถอะ”
“ได้ คืนข้ากลับจวนแล้วจะไปบอกท่านพ่อเอง” เหยาเหยียนอี้รับคำด้วยความตื้นตันใจ
เวลานี้มีพ่อบ้านมารายงาน เหยาเหยียนอี้บอกเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่ทัพสักพัก ข้าไปแล้วจะกลับมา” กล่าวจบ จึงพยักหน้าให้เว่ยจาง แล้วเหยียดกายลุกขึ้นจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทันที ภายในใจกำลังขบคิด พี่รองแสดงทีท่าชัดเจนเกินไปหรือเปล่า ก่อนหน้านี้ไม่โปรดปรานคนๆ นี้มิใช่หรือ
เว่ยจางเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ก้มหน้าเงียบงัน จึงเอ่ยถามด้วยยิ้มจางๆ “สัตว์ป่าที่ถังเซียวอี้ส่งมาให้ พึงพอใจหรือไม่”
“อืม ก็ไม่เลว” เหยาเยี่ยนอวี่แค่เอ่ยพูดถึงเรื่องนี้ก็แย้มยิ้มทันที สัตว์ป่าขนาดเล็กที่ซุกซนเหล่านั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นฝันร้ายของชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเสียแล้ว
“เจ้าไม่ได้จะเอาสัตว์พวกนั้นมาตุ๋นเป็นน้ำแกงดื่มใช่ไหม” เว่ยจางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่เยี่ยงนั้น ข้าเอามาให้เหล่าสาวใช้ฝึกมือ”
“ฝึกมือ?” แม่ทัพเว่ยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ หรือว่านางอยากเลี้ยงสัตว์ในเรือน?
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างธรรมชาติ “เอามาฝึกผ่าตัด พวกนางต้องฝึกใช้มีดแล่เนื้อ วันข้างหน้าจะได้รักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วย”
“…” แม่ทัพเว่ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก แค่ลอบถอนหายใจ ภายในใจกำลังพูดว่า ฮูหยินในอนาคตของข้าไม่เหมือนสตรีทั่วไปจริงๆ!
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเอาน้ำร้อนมาชงชา ความรู้สึกตื่นเต้นในตอนแรกก็หายไป พวกเขาสองคนพูดคุยเล่นกันฉันท์สหาย เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามเว่ยจางว่าตุ้งถิงมีอะไรน่าสนุกบ้าง
เว่ยจางไปคัดเลือกทหาร จึงไม่ได้สนใจประเพณีท้องถิ่น ตอนนี้พอเหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถาม เขาจึงพูดกิจธุระที่ตนต้องทำในทุกวันไปคร่าวๆ ยากมากที่เหยาเยี่ยนอวี่จะไม่รู้สึกเบื่อหน่าย บางจังหวะยังมีการแทรกคำพูดของเขา แล้วเอ่ยถามขึ้นสองสามประโยค
ตอนเหยาเหยียนอี้กลับมา ก็เห็นพวกเขาสองคนพูดคุยเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน
ไม่รู้ว่าเว่ยจางพูดอะไรออกมา เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มอันงดงาม ตอนที่สตรีคนนี้มองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้า ไม่มีสีหน้าเลือดเย็นเหมือนตอนที่รักษาผู้ป่วยหลงเหลืออยู่แม้แต่เพียงน้อย
ครั้งนี้เว่ยจางไปตุ้งถิง แล้วพาสตรีที่เป็นวรยุทธกลับมาหนึ่งคน อายุของนางราวๆ สามสิบปี แล้วยังมีบุตรีอายุแปดขวบตามมาด้วย ตอนนั้นพวกนางถูกคนกลุ่มหนึ่งไล่ล่า สตรีที่มีบุตรีติดตามมาด้วยต่อสู้กับบุรุษทั้งหกจนทำให้พวกเขาพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ทว่าสุดท้ายก็มิอาจต้านทานกับพลังที่ยิ่งใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม จนใกล้จะพ่ายแพ้ให้กับคนกลุ่มนี้ในท้ายที่สุด
จากนั้นก็ถูกเว่ยจางช่วยชีวิตไว้ หลังจากถามไถ่ที่มาที่ไปของนาง จึงรู้ว่าที่แท้นางเป็นภรรยาของหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย ตอนที่สามีออกไปปฏิบัติหน้าที่ได้เจอกับเหล่าโจร พอต่อสู้กับเหล่าโจรไม่ไหว เลยทิ้งสินค้าที่เขาต้องคุ้มกันเอาไว้แล้ววิ่งหนีไป ผู้ที่ว่าจ้างต้องการชดใช้ค่าเสียหาย สำนักคุ้มกันภัยเลยโยนความผิดทั้งหมดให้กับสามีของนาง สามีติดหนี้และภรรยาใช้หนี้ คนเหล่านั้นจึงมาทวงหนี้กับนาง หากไม่มีเงินคืนก็จะเอาบุตรีของนางไป นางที่เป็นเพียงสตรีแล้วยังมีบุตรีคอยติดตามมาด้วย ต้องหนีความตายไปทั่วสารทิศอย่างไร้ที่พึ่งพิง และต้องถูกเจ้าหนี้คอยตามล่าตลอดเวลา
เว่ยจางไปหาขุนนางศาลาว่าการในท้องถิ่นแล้วจัดการเรื่องนี้แทนนาง พร้อมพาพวกนางสองแม่ลูกกลับมาด้วย คิดว่าจะให้สองแม่ลูกติดตามเหยาเยี่ยนอวี่ในภายภาคหน้า ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้น “คิดว่าทหารคุ้มกันที่เป็นบุรุษไม่สะดวกแก่การคุ้มครองเจ้าอย่างใกล้ชิด สตรีผู้นี้แม้นวรยุทธจะไม่สูงนัก อย่างน้อยตอนที่เกิดเรื่องก็คุ้มกันเจ้าได้ชั่วครั้งชั่วคราว เก็บนางไว้ข้างกายเจ้าเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ต้องยินยอมเป็นเรื่องธรรมดา จึงถามว่าตอนนี้สองแม่ลูกอยู่ไหน
เว่ยจางตอบกลับ “ข้าพาคนมาถึงนี่ ตอนนี้อยู่นอกประตู กลัวว่าเจ้าจะรังเกียจที่พวกนางหยาบช้าป่าเถื่อน และไม่อยากรับพวกนางไว้ จึงไม่ได้พาเข้ามา”
เหยาเหยียนอี้เพิ่งมาถึงก็ได้ยินคำพูดนี้ จึงพูดขึ้น “ข้ากำลังตามหาคนเช่นนี้พอดีเลย ทว่าไม่รู้ว่าจะเริ่มตามหาอย่างไรก่อนดี เวลานี้เป็นการคลายปัญหาใหญ่ได้เสียแล้ว”
เว่ยจางสั่งให้อารักขาคนสนิทที่อยู่ด้านหลังไปพาคนเข้ามา
สตรีคนนั้นสวมเสื้อแขนสั้นลายดอกกล้วยไม้ กางเกงสีไม้ไผ่ ผ้าโพกศีรษะ กิริยาท่าทางไม่สุภาพเรียบร้อย ท่าทางทะมัดทะแมง ดูไม่เหมือนสตรีทั่วไป สาวน้อยอายุเจ็ดแปดขวบที่อยู่ข้างกายนาง หน้าเหลืองและซูบผอม แววตากลับเป็นประกายแววใส เหยาเยี่ยนอวี่เห็นแล้วรู้สึกโปรดปรานนัก ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “พวกเจ้ามีแซ่อะไร นามว่าอะไร”
สตรีผู้นั้นตอบกลับด้วยเสียงสดใส “สามีของข้าแซ่ตู้ ตระกูลที่ให้กำเนิดมีแซ่ว่าเยี่ยน ทุกคนมักจะเรียกข้าว่าแม่เยี่ยน บุตรีคนนี้ของข้านามว่าเสี่ยวเจวียน”
“ตู้เจวียน?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “นามนี้ไพเราะดี”
เหยาเหยียนอี้ขมวดคิ้ว “แม่นางเยี่ยน? นี่มันซ้ำกับนามของน้องสาวนี่? เปลี่ยนนามเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัว “นี่เป็นแซ่ของคนอื่น นางมาขอพักอาศัยที่นี่ ไม่ได้มาขายตัวเป็นทาส ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก” ขณะที่พูด จึงเอ่ยถามสตรีผู้นั้น “เจ้าเป็นบุตรคนที่เท่าไหร่”
สตรีผู้นั้นตอบกลับ “บุตรคนที่สามเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพูด “เช่นนั้นวันข้างหน้าก็เรียกเจ้าว่าน้าตู้ซานเถอะ”
เหยาเหยียนอี้กลับไม่สนใจสตรีที่รับใช้น้องสาวคนนี้มีนามว่าอะไร แค่คุยกับเหยาเยี่ยนอวี่ “ให้นางติดตามเฝิงหมัวมัวไปสักระยะเถอะ รอให้คุ้นเคยกับกฎระเบียบค่อยปรนนิบัติเจ้าอย่างใกล้ชิด”
“ข้ารู้แล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่จึงหันไปสั่งการชุ่ยเวย “เจ้าพาสองแม่ลูกไปหาเฝิงหมัวมัว ให้พวกนางอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาด แล้วค่อยมาเจอข้าอีกที”