หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 244 ร่างใหญ่อ่อนโยนพายุฝนโหมกระหน่ำ (3)
แม่นมที่อยู่ด้านข้างเห็นเว่ยจางทำสีหน้ารื่นเริง ไม่ได้เลือดเย็นไม่เป็นมิตรเหมือนที่ผ่านมา แม่นมจึงรีบเกลี้ยกล่อมเด็กน้อย “ฮั่นเจี่ยเอ๋อร์ ขานเรียกแม่ทัพให้แม่ทัพคืนลูกคลีให้สิขอรับ”
เหยาชุ่ยฮั่นถลึงตามองเว่ยจางแล้วตะโกนด้วยความขุ่นเคืองใจ “ไม่เรียก!”
“เจี่ยเอ๋อร์ต้องเชื่อฟัง ไม่เช่นนั้นท่านอารองก็คงจะไม่เบิกบานยินดี”
เด็กน้อยมองเว่ยจางแล้วกะพริบตาพร้อมกับพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ “เจ้าคืออาเขยหรือ!”
“เอ้อ…เหอะๆ…” แม่นมแย้มยิ้มขึ้นก่อน
เว่ยจางจึงคืนคลีหลากสีให้เด็กน้อย มือใหญ่ๆ ลูบจับศีรษะทรงกลมของเด็กน้อยพร้อมพูดยิ้มๆ เสียงทุ้มต่ำ “เป็นเด็กดี”
แม่นมคลี่ยิ้มพลางอุ้มเด็กน้อยไปทางเว่ยจาง เขานั่งยองๆ อยู่บนดาดฟ้าเรือไปครึ่งค่อนวัน
อาเขย…ฮ่าๆ
แม่ทัพเว่ยเห็นนิ้วมือของตนมีรอยฟันเล็กๆ ภายในใจก็ครุ่นคิด ไม่รู้ว่ายัยหนูที่นอนอยู่ด้านหลังตอนเด็กจะทำตัวไร้เหตุผลแล้วทำให้คนรู้สึกรักใคร่และเอ็นดูไหม
ตอนกินมื้อเที่ยง เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงหลับอยู่ หนิงฮูหยินน้อยไม่ได้ปลุกนาง เพียงแค่สั่งให้หลิวหมัวมัวเก็บอาหารไว้รอให้นางตื่นค่อยยกไปให้นาง
หลังจากเว่ยจางกินมื้อเที่ยงเสร็จก็กลับไปพักผ่อนบนเรือของตนเอง ทีแรกเหยาเหยียนอี้ชวนเขาพักผ่อนอยู่บนเรือลำนี้ ทว่าเขารู้สึกว่าหนิงฮูหยินน้อยและสตรีคนอื่นๆก็อยู่บนนี้ย่อมทำให้ไม่สะดวก แม้นเขาอยากจะอยู่ใกล้ว่าที่ภรรยาก็ตาม
เรื่องที่เด็กน้อยเหยาชุ่ยฮั่นกัดมือของแม่ทัพเว่ยคงไม่อาจปิดบังได้ ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเฝิงหมัวมัวพูดถึง
เฝิงหมัวมัวพูดด้วยความรื่นเริง “ฮั่นเจี่ยร์เอ๋อร์ช่างน่าสนใจนัก กลับเรียกท่านแม่ทัพเว่ยว่าอาเขย ไม่รู้ว่าใครบอกนาง น้ำเสียงที่ขานเรียกชัดเจนนัก แม้กระทั่งแม่ทัพเว่ยยังตะลึงงันเลยเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ฟังแล้วรู้สึกเพลิดเพลิน จินตนาการว่าสีหน้าที่เย็นยะเยือนทั้งวันของแม่ทัพเว่ยตอนที่ถูกยัยหนูน้อยกัดแล้วสีหน้าจะเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องเป็นเหล่าผัวจื่อและสาวใช้สอนนางแน่นอน เรื่องดีๆ ไม่สอน กลับสอนเรื่องแบบนี้”
สายลมยามค่ำคืนไม่เย็นสบายมากนัก เหตุเพราะตอนกลางวันอากาศร้อนชื้นเกินไป
ตอนกินข้าวมื้อค่ำ เหยาเหยียนอี้เชิญชวนเว่ยจางและถังเซียวอี้มา บุรุษทั้งสามตั้งโต๊ะเตี้ยบนดาดฟ้าเรือพร้อมกับตั้งอาหารและสุราไว้ด้านบน เหยาเยี่ยนอวี่และพี่สะใภ้หนิงฮูหยินน้อยกินอาหารในห้องโดยสาร
เหตุเพราะอากาศร้อนระอุจึงเปิดหน้าต่าง ห้องโดยสารทั้งหมดแค่มีมุ้งกันยุงกั้นอยู่จึงได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของบุรุษทั้งสามที่อยู่ด้านนอกอย่างชัดเจน หนิงฮูหยินน้อยพูดเสียงเบา “น้องสาวช่างมีวาสนานัก วันนี้แม่นมของฮั่นเอ๋อร์บอกข้า แม่ทัพเว่ยรักใคร่และเอ็นดูเด็กยิ่งนัก ฮั่นเอ๋อร์กัดเขาเขากลับไม่โกรธเคือง ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าเขาเย็นชาเกินไป พอนึกถึงเขาที่ไม่มีบิดามารดาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังเติบโตในค่ายทหาร ต้องเป็นคนที่มีนิสัยไร้ความอ่อนโยนแน่นอน วันนี้พอดูๆ แล้วข้าเองที่คิดมากเกินไป”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยความรื่นเริง “เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง ถูกเด็กน้อยอายุสองขวบกัดแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างฮั่นเอ๋อร์ของพวกเราน่าเกลียดน่าชังเยี่ยงนั้น การกัดมือเขาก็ถือว่าให้เกียรติเขาแล้ว ยัยหนูคนนั้นยังไม่อยากกัดคนอื่นด้วยซ้ำใช่หรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปก็ยื่นมือไปแกล้งยัยหนูเหยาชุ่ยฮั่น
เจ้าเด็กน้อยยิ้มอย่างเบิกบานพลางพุ่งทะยานไปในอ้อมกอดของเหยาเยี่ยนอวี่และขอให้นางอุ้ม
หนิงฮูหยินน้อยจึงสั่งการแม่นมเชิงตำหนิ “อุ้มเจี่ยเอ๋อร์ไป มือของนางจับโน่นจับนี่ไปเรื่อยเปื่อยเดี๋ยวก็ทำคุณหนูรองเปื้อนไปทั้งตัวเอาหรอก” แม่นมที่เพิ่งป้อนเนื้อปลาให้เจ้าหนูน้อยไม่ได้อยู่เฉยๆ มาโดยตลอด มือของนางเปื้อนด้วยน้ำมันไม่น้อยจริงๆ
นางดื้อดึงที่จะอยู่ในอ้อมกอดของเหยาเยี่ยนอวี่ แม่นมอุ้มอย่างไรก็อุ้มออกมาไม่ได้ แขนเล็กๆ ทั้งสองข้างของนางกอดคอของเหยาเยี่ยนอวี่ได้แล้วทำเสียงอ้อแอ้ ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ใจอ่อนจึงเอาผ้าเปียกมาเช็ดให้นางพร้อมเอ่ยถาม “ฮั่นเอ๋อร์อยากทำอะไร เดี๋ยวอาจะเล่นเป็นเพื่อน”
“เล่นโยนลูกคลี!” เจ้าหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นพูดขึ้น คำพูดชัดเจนยิ่งนัก แค่คำพูดของนางเลอค่าดั่งทองไปหน่อย หากไม่มากความได้ก็จะไม่มากความแม้แต่เพียงน้อย
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว เล่นโยนลูกคลีคงไม่ปลอดภัย” สุดท้ายเหยาเยี่ยนอวี่ก็เกลี้ยกล่อมนางอย่างฝืนทน
“ฮือๆ…” เวลาที่เจ้าหนูน้อยไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็มักจะร้องห่มร้องไห้
“ยัยเด็กคนนี้!” หนิงฮูหยินน้อยขมวดคิ้ว “น้องสาวอย่าสนใจนาง ปล่อยนางลง นางชอบรังแกคนอื่น”
อย่างไรเหยาเยี่ยนอวี่ก็กินอิ่มแล้วจึงยิ้มพูดขึ้น “ตอนนี้บนเรือไม่มีที่แห่งใดที่ฮั่นเอ๋อร์จะเล่นได้อย่างผ่อนคลาย ผู้ใหญ่อดทนได้ ทว่าเด็กน้อยกลับทนไม่ไหวอยู่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ก็อย่าตำหนินางเลย ข้าจะพานางออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้วจะกลับมา”
หนิงฮูหยินน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวมักจะตามใจนาง” จึงสั่งการแม่นม “ติดตามคุณหนูรองดีๆ อย่าให้ยัยหนูน้อยทำตัวเอาแต่ใจกับคุณหนูรอง”
แม่นมรับคำแล้วตามเหยาเยี่ยนอวี่ออกมานอกห้องโดยสาร เสากระโดงด้านนอกมีโคมไฟแขวนไว้หนึ่งพวง ส่องแสงให้ดาดฟ้าสว่างไสว หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่ออกมาก็วางเจ้าหนูน้อยไว้บนพื้นพร้อมเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ฮั่นเอ๋อร์พูดมาสิว่าจะโยนลูกคลีเล่นอย่างไร”
เหยาชุ่ยฮั่นหันไปหาลูกคลี สาวใช้คนหนึ่งพลันยื่นคลีหลากสีให้นาง นางจึงจับแล้วโยนขึ้นด้านบนทันที
มือของเด็กน้อยอายุสองขวบต้องไม่แม่นอยู่แล้ว แค่นางโยนขึ้นฟ้าเช่นนี้ คลีสำลีกลับกระทบศีรษะของนางเอง ทำเอาเหยาเยี่ยนอวี่แม่นมและเหล่าสาวใช้ต่างก็หัวเราะเสียงดัง
เสียงหัวเราะจึงรบกวนเหล่าบุรุษที่นั่งจิบสุราพลางพูดคุยเล่นกันทางฝั่งโน้น เหยาเหยียนอี้หันมามองจึงพูดอย่างรื่นเริง “พวกนางครื้นเครงเสียจริง”
ถังเซียวอี้ยกยิ้ม “บนเรือน่าเบื่อเกินไป เด็กน้อยจะหาอะไรสนุกเล่นได้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ครั้งนี้กลับเร่งรีบกว่าขามา ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกสองวันยัยหนูน้อยจะรู้สึกเบื่อหน่ายหรือไม่”
เว่ยจางกลับไม่พูดไม่จา แค่หรี่ตาลงมองเด็กน้อยที่กำลังเล่นกับเหยาเยี่ยนอวี่อย่างมีความสุข
หลังจากนั่งมองไปสักพัก ภายในใจของแม่ทัพเว่ยจู่ๆ ก็มีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา ไม่แน่ปีหน้าหรืออีกสองปี ในจวนของตนก็อาจจะมีบรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้น ยัยหนูน้อยและยัยหนูใหญ่สองคนกำลังโยนคลีสำลีหลากสีเล่นกันแล้วหัวเราะกันอย่างมีความสุขเหมือนเรื่องเลวร้ายบนโลกใบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางแม้แต่น้อย ส่วนเขาก็จะคอยปกป้องพวกนางและเป็นคนๆ นั้นที่คอยขัดขวางไม่ให้เรื่องเลวร้ายเข้าใกล้พวกนาง
พอนึกถึงเช่นนี้ รอยยิ้มในแววตาของแม่ทัพเว่ยก็ยิ่งลึกซึ้งกว่าเดิม
โคมไฟบนเสากระโดงส่องสว่างลงมา ใบหน้าที่เยือกเย็นเป็นปกติ แววตาเลือดเย็นดุจน้ำแข็งของเว่ยจางกลับทอประกาย สีหน้าอ่อนโยนอย่างมากจนไม่น่าเชื่อ ทำเอาถังเซียวอี้ที่อยู่ด้านข้างยังรู้สึกสับสน สวรรค์ แววตานี้ของท่านแม่ทัพ…ช่างน่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
เหยาเยี่ยนอวี่เล่นกับเจ้าหนูน้อยไปสักพัก ทำเอาเจ้าหนูน้อยเหงื่อท่วมตัวจึงถูกแม่นมอุ้มเข้าไปอาบน้ำ ส่วนคุณหนูเหยาที่นอนพักตอนกลางวันเวลานี้ยังไม่อยากกลับไป ดังนั้นนางจึงปีนขึ้นไปบนกราบเรือแล้วชมคลื่นน้ำที่ทอประกายเหนือผืนน้ำยามค่ำคืน
พวกเขาสองสามคนไม่รู้ว่าแยกย้ายกันเมื่อใด เหยาเหยียนอี้เข้าไปดูบุตรีในห้องโดยสาร ถังเซียวอี้ออกจากเรือไปลาดตระเวน มีเพียงเว่ยจางที่เดินมาช้าๆ เพียงคนเดียว
ผู้ที่เป็นทหารล้วนเดินด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา ทว่าตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่มีความสามารถในการฟัง ตอนที่เว่ยจางอยู่ห่างจากนางสิบกว่าก้าวนางก็หันไปมองแล้ว
เว่ยจางเอ่ยถามด้วยยิ้มจางๆ “เจ้าเห็นข้าแล้วหรือ”
“เปล่า แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้า” เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มแล้วหันไปมองเขา