หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 251 แยกย้ายกันเดินทาง เยี่ยนอวี่ยืมรถม้า (5)
“ไม่ว่าจะให้ใคร อย่างไรพวกเราก็ไม่มีสิทธิ์ได้อยู่แล้ว!” เด็กหนุ่มหัวเราะเหอะๆ เจ้าหมอนี่เป็นหลานชายของเถ้าแก่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปี ทว่ากลับอึกทึกบึกบึนและมีทักษะการขับรถม้าที่ไม่เลว เถ้าแก่ถึงได้เรียกเขามาด้วย
“เด็กหนุ่มอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์ได้แน่นอน!” เถ้าแก่ยิ้มพลางลูบหลังศีรษะเด็กหนุ่ม “ปีนี้บุตรีของผู้เฒ่าหลิวมีอายุสิบเก้าปีและยังไม่ได้ออกเรือน ต่อให้เขายินยอม พ่อแม่ของเจ้าก็คงไม่ยินยอมอยู่แล้ว”
ไม่ว่าอย่างไรมีเงินก็ย่อมทำให้มีความสุขแล้ว
เถ้าแก่พาพากลุ่มคนกลับไปที่ร้านค้าของตนด้วยสีหน้าเบิกบาน พอเห็นบุรุษชุดดำที่มีผิวพรรณดำคล้ำและคุณชายรูปงามคนนั้นจึงเดินเข้าไปเพื่อต้องการรับคำเชยชมในความสำเร็จครั้งนี้
ยามออกเดินทางไปที่ที่อยู่แดนไกล กลัวว่าการค้าครั้งนี้จะไม่ได้แสวงหาผลกำไรใดๆ ทว่าต่อให้การค้าขายครั้งนี้จะอยู่แดนไกล ทั้งรถม้าที่ขับเคลื่อนได้ของทั้งเมืองนี้ก็นำมาหมดแล้ว คนเหล่านี้ต่างก็เป็นเครือญาติกัน คิดไปคิดมาแล้วเรื่องนี้ล้วนอาศัยสายสัมพันธ์ทางญาติพี่น้อง ทุกคนออกเดินทางหาเงินไปด้วยกัน ต่อให้หนทางจะไกลเพียงใดก็ไม่กลัวว่าจะถูกรังแก
เว่ยจางและเหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นก็เห็นด้านนอกมีบุรุษที่ทั้งอายุน้อยและอายุมากราวๆ สิบห้าสิบหกคน มองรถม้าหลายคันที่ถูกลากมาจึงอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้
คนอายุมากและน้อยที่มาเยือนก็คงไม่ต้องพูดถึง แค่รถม้าที่นำมาธรรมดาเกินไปแล้ว หากนำมาขนย้ายสัมภาระก็ยังพอไหว แต่ถ้าให้คนนั่งก็คงจะไม่ไหวจริงๆเกรงว่ารถม้าที่เหล่าผัวจื่อที่มีฐานะต่ำต้อยนั่งยังสบายกว่ารถม้าเหล่านี้เลย หากให้หนิงฮูหยินน้อยและเหยาเยี่ยนอวี่นั่งรถม้าเช่นนี้…กลัวว่าคงจะไม่ได้
เถ้าแก่มองแววตาของคุณชายใบหน้าดำคล้ำในใจก็รู้สึกรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา จึงพลันอธิบายขึ้น “คุณชายท่านนี้ เมืองของพวกเราเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เปรียบไม่ได้กับมณฑลใหญ่ ในเมืองก็มีรถม้าเพียงเท่านี้ หากท่านไม่พึงพอใจข้าน้อยก็คงจนปัญญาแล้ว”
“ไม่มีคันที่ดีกว่านี้แล้วหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ค่อนข้างลำบากใจ หากให้หนิงฮูหยินน้อยและเด็กน้อยสองขวบนั่งรถม้าเยี่ยงนี้…คงไม่ไหวจริงๆ
เถ้าแก่อยากจะคุยกับคุณชายรูปงามท่านนี้มาก ดังนั้นพลันหันไปพูด “คุณชาย รถม้าหรูหราพวกนั้นมีแต่ตระกูลมั่งมีเท่านั้นที่ใช้ ต่อให้ท่านจ่ายค่าเช่าให้คนอื่นก็คงไม่มีใครปล่อยเช่าหรือเปล่า”
เว่ยจางจึงพูดแทรกด้วยเสียงเลือดเย็น “ตระกูลใดในที่นี้มีเงินบ้าง”
“คนมีเงินกลับมีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น ทว่าคนที่มั่งมีที่สุดคือลิ่วหยวนว่าย ก่อนหน้านี้เหตุเพราะฝนตกลื่นล้มจึงกลายเป็นอัมพฤกษ์ และในเมื่อครู่นี้ข้ารับใช้จวนของพวกเขายังวิ่งไปหาหมออย่างเร่งด่วน เกรงว่าคงจะมีชีวิตรอดอยู่แค่ไม่กี่วันแล้ว ส่วนตระกูลที่เหลือส่วนมากก็เป็นญาติกับลิ่วหยวนว่าย หากพวกเขามีการจัดงานศพขึ้นมา คนพวกนี้ไม่มีทางเช่ารถม้าให้แน่นอน”
“เจ้าพูดอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่ทำนัยน์ตาเปล่งประกาย “จวนของพวกเขากำลังหาหมอหรือ”
“เช่นนั้น!” เถ้าแก่ถอนหายใจแล้วส่ายหัว “อั๊ยโย ดูจากท่างทีที่กระวนกระวายเช่นนั้นยังไม่รู้ว่าท่านผู้เฒ่าของพวกเขาจะมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่”
“จวนของพวกเขาอยู่แห่งใดกัน เจ้าพาพวกเราไปที” เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างตื่นเต้นดีใจ
“อั๊ยโย คุณชายท่านนี้ จวนของคนอื่นเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นท่านจะไปร่วมสนุกสนานไปไยกัน”
“พูดเสียข้าเสียหายหมดเลย ข้าไปช่วยคนต่างหาก! อีกอย่าง ข้ายังรับประกันว่าเขามีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้ได้แน่” เหยาเยี่ยนอวี่เร่งเขา “เร็วเข้า ไม่แน่เจ้าอาจจะได้เงินบำเหน็จเพิ่มขึ้นก็ได้”
“เช่นนั้นคนพวกนี้และรถม้านี้…” เถ้าแก่ชี้ไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของตน
“ใช้งานทั้งหมด! วันรุ่งขึ้นมารวมตัวกันที่นี่ ตกลงกันก่อน ต่างคนต่างทำความสะอาดรถม้าที่รับผิดชอบให้เรียบร้อย! แล้วเตรียมผ้ากันน้ำด้วย มีหลังคากับไม่มีหลังคาคลุมต้องเช่าในราคาแตกต่างกัน ประเดี๋ยวพวกเราค่อยเจรจากันอีกที” คุณหนูเหยายื่นมือโยนตำลึงเงินหนึ่งกำไว้กลางอกเถ้าแก่ “นี่ให้เจ้า”
“ขอรับ!” เถ้าแก่ฟังคำพูดนี้จึงแย้มยิ้มอย่างเบิกบานแล้วรับตำลึงเงินไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งการคนเหล่านั้นสองสามคำแล้วให้ทุกคนกลับไปทำความสะอาดรถม้าและเตรียมห่อผ้าของตนให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะรวมตัวกันแต่เช้าตรู่
ทางฝั่งเว่ยจางหันหน้าไปจับจ้องเหยาเยี่ยนอวี่ สีหน้าดูหม่นหมองคล้ายว่ามีน้ำหยดย้อยออกมาได้ ยัยหนูคนนี้ช่างทำให้คนหลงใหลเกินไปหรือเปล่า! พอมองท่าทางที่หยอกล้อของกลุ่มคนร่างกำยำ แม่ทัพเว่ยก็อดชักดาบออกมาฟันพวกเขาไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจมากที่ให้นางติดตามมาด้วย
เถ้าแก่ให้เหล่าคนขับรถม้าแยกย้ายกลับบ้านกันหมดแล้วหันไปเอ่ยถามด้วยหน้ายิ้มๆ “คุณชาย ไปกันได้หรือยัง”
“ไปกันเถอะพี่ใหญ่?” เหยาเยี่ยนอวี่เชยหน้าให้เว่ยจางแล้วตั้งใจแน่นคำว่า “พี่ใหญ่” สองพยางค์นี้
สุดท้ายเว่ยจางก็รู้สึกคันไม้คันมือจึงยกมือขยี้หลังศีรษะของคุณหนูเหยา “ไปเถอะ”
ราวกับว่าโรคที่ลิ่วหยวนว่ายป่วย สำหรับเหยาเยี่ยนอวี่แล้วไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
อีกทั้งเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่อยากผัดวันประกันพรุ่ง เวลาที่ฝังเข็ม นางจะได้ถ่ายโอนพลังทั้งหมดในร่างกายของตนให้กับผู้ป่วยผ่านเข็มที่ฝังลงไปโดยไม่หวงแหนและกักเก็บพลังไว้เลย แม้กระทั่งนางยังควบคุมพลังพวกนั้นให้วิ่งผ่านเส้นลมปราณเข้าสู่ทั่วภายในร่างกายของลิ่วหยวนว่ายเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
ลิ่วหยวนว่ายที่เป็นอัมพฤกษ์ซ้ำยังไข้ขึ้นสูงอีก ทว่าไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ฟื้นแล้ว แม้นปากของเขายังคงเบี้ยวเล็กน้อย ทว่าตอนอ้าปากคุยยังคงเปล่งเสียงได้อย่างชัดเจน “เอา…เอาน้ำชา”
ลิ่วหยวนว่ายฮูหยินและบุตรีรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง พอมองลิ่วหยวนว่ายที่ดื่มน้ำเปล่าไปครึ่งถ้วยชาก็ลุกขึ้นมานั่งได้ สองแม่ลูกจึงหันไปคุกเข่าลงตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่
โดยเฉพาะคุณหนูลิ่วที่ต้องเผชิญกับคุณชายที่มีโฉมหน้างดงามในชุดคลุมเขียวพิมพ์ลายเมฆา ทั้งยังมีฝีมือทางแพทย์ประดุจหมอเทวดา ดวงหน้าของนางแดงระเรื่อดุจดั่งเมฆสีเลือด ซ้ำยังไม่เกริ่นถึงความคิดของตัวเองก็แสดงน้ำใจไมตรีออกมาโดยตรง “คุณชายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนได้ แค่จะอุทิศชีวิตปรนนิบัติรับใช้ท่านตลอดกาล”
“หือ? พรวด…” เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะจิบน้ำชาไปหนึ่งคำน้ำก็พุ่งออกมาทันที
ยังดีที่นางหันหลังทันจึงไม่ได้พุ่งน้ำชาใส่ศีรษะของคุณหนูลิ่ว กลับเป็นเถ้าแก่ที่ยืนอยู่ข้างๆ โชคร้ายโดนพ่นน้ำใส่ทั้งตัว
“อั๊ยโย!” เถ้าแก่ใช้แขนเสื้อซับหน้า “น้ำชานี้หอมกรุ่นเหลือเกิน…”
“เฟิ่งเอ๋อร์?” ลิ่วหยวนว่ายที่ฮูหยินพยุงไปพิงหมอนมองบุตรีที่คุกเข่าลงบนพื้นจึงยื่นมือที่สั่นเทาออกมา
“ท่านพ่อ!” แม่นางลิ่วสี่เฟิ่งหันหลังกลับไปแล้วมองบิดาที่อยู่บนเตียง
“คุณชายท่านนี้เป็นคนช่วยข้าไว้เองหรือ อยากขอถามแซ่ของท่านเสียหน่อย”
เหยาเยี่ยนอวี่กระแอมกระไอเสร็จเสียทีแล้วสูดลมหายใจพยักหน้าตอบกลับ “ข้าแซ่เหยาขอรับ”
ลิ่วหยวนว่ายก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจจึงพูดด้วยเสียงสั่น “คุณชายเหยาช่วยชีวิตผู้เฒ่าอย่างข้าไว้ก็คือผู้มีพระคุณของตระกูลข้า! บุตรีของข้า…ยอมแต่งให้แก่ท่าน ข้า…ข้า…ไม่มีอะไรจะพูดอยู่แล้ว ข้ามีบุตรีเพียงคนเดียว หากคุณชายดูแลนางได้เป็นอย่างดีข้ายอมยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูล…ให้แก่ท่าน”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันปฏิเสธกลับ “ทว่างานสมรสของข้าถูกกำหนดไว้แล้ว”
“ข้ามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าคุณชายเหยาต้องมีฐานันดรศักดิ์สูงส่งและร่ำรวย บุตรีของข้าแม้นจะถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมแต่เด็ก ทว่าพอเทียบกับคุณชายก็ถือว่าเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ เท่านั้น พวกเราก็ไม่คาดหวังว่าต้องเป็นภรรยาหลวง แค่อยู่ข้างกายคุณชายเป็นอนุภรรยาก็ย่อมได้” ไม่พูดไม่ได้ว่าเศรษฐีลิ่วเป็นคนที่มีตาทิพย์จริงๆ แม้นเมื่อครู่เกือบสิ้นใจไปแล้ว ตอนนี้แววตากับยอดเยี่ยมยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่มองแม่ทัพเว่ยที่กำลังมีความสุขบนความทุกข์ตนเองเพียงชั่วพริบตาเดียวแล้วกระแอมสองที “รักษาผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว อีกทั้ง…จะขอไม่ปิดบังความจริง ข้าเคยให้คำมั่นสัญญากับ ‘ว่าที่ภรรยา’ ว่าจะรักใคร่แค่ ‘เขา’ เพียงคนเดียว และจะไม่มีวัน ‘แต่งตั้งอนุภรรยา’ โดยเด็ดขาด ดังนั้น…คำพูดเมื่อครู่นี้ของคุณหนูลิ่วทำให้ข้ารู้สึกลำบากใจนัก”