หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 258 หวั่นไหวต่อผลประโยชน์ลอบวางแผนการค้าขายยา (2)
ดังนั้นใต้เท้าเหลียงกับพ่อตาของเขาที่เป็นเจ้าของร้านยาปั๋วมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันอย่างมาก จึงได้ไปมาหาสู่กันบ่อยครั้ง นี่ก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรในราชสำนัก อย่างไรพวกเขาก็กลายเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว การมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว
เดิมทีทำนบแม่น้ำจินพังทลายและเกิดโรคระบาดในครั้งนี้ ร้านยาปั๋วที่ตั้งอยู่ในชิ่งโจว อี้โจว และเขตอื่นๆ แม้นจะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างรุนแรงในครั้งนี้ทำให้เสียหายไปมาก ทว่ากลับไม่ได้กระทบรากฐานอันมั่นคงของตระกูลปั๋วเลย ร้านยาปั๋วใคร่อยากจะถือโอกาสนี้ทำการค้าขายยาในสถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้ แม้กระทั่งเขายังได้กักตุนยาสมุนไพรไว้แล้วเตรียมขายในราคาสูงลิ่ว ยามที่จำเป็นที่สุดจะได้เกร็งกำไรมหาศาล
แน่นอนเรื่องแผนการของร้านยาปั๋วคงปิดบังเหลียงข่ายเฉิงไม่ได้อยู่แล้ว เขายังหวังว่าบุรุษผู้นี้ที่เข้ารับตำแหน่งในราชสำนักจะลอบช่วยตนเองในที่ลับ ส่วนเหลียงข่ายเฉิงเองก็คงไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน กลับนึกไม่ถึงว่า ‘หญ้าตู๋จวี’ จะช่วยแก้ต้นตอของโรคระบาดได้
เฟิงจงเยี่ยแม้นจะเป็นผู้เฒ่าอายุสิบเจ็ดกว่า ทว่าเขาไม่ได้ตาลายหรือหูหนวก เรื่องราวทุกอย่างในราชสำนักเขามองเห็นอย่างชัดเจน เรื่องของเหลียงข่ายเฉิงก็คงหลุดพ้นจากสายตาของเขาไม่ได้เหมือนกัน แค่ว่าเวลาเช่นนี้ฐานะของเขาสูงส่งจนเป็นถึงอัครเสนาบดี คงไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่ำต้อยพวกนี้แล้วทำให้ตนเองต้องพลอยลำบากไปด้วย
สำหรับเหลียงข่ายเฉิง สิ่งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตัวเองเขาต้องไม่มีทางนิ่งเฉยเยี่ยงนั้นอยู่แล้ว ย่อมต้องคิดหาวิธีแสดงสีหน้าที่ไม่ดีกับบุตรชายของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองที่คิดจะใช้ตำแหน่งขุนนางลำดับห้ารองเจ้ากรมป่าไม้มาชิงดีชิงเด่นแน่นอน
พื้นที่ห่างไกลออกไปนับสองร้อยลี้บนผืนน้ำที่น้ำแม่อวิ๋นเทียนและแม่น้ำจินบรรจบกัน มีเรือขุนนางสี่ลำใหญ่กำลังแล่นไปทางทิศเหนือ
เหตุเพราะพวกเขาเสียเวลาหยุดอยู่ที่หมู่บ้านจินวัวไปสามวัน ทำให้แผนการเดินทางที่วางไว้ในตอนแรกยิ่งต้องเร่งรีบกว่าเดิม ทว่ายังดีที่เป็นการปฏิบัติภารกิจที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมาย อีกอย่างยังมีเรื่อง ‘หญ้าตู๋จวี’ ที่ปูทางด้านหน้าให้พวกเขาข้าหลวงชิ่งโจวเองก็เป็นฝ่ายออกหน้าออกตาไปไกล่เกลี่ย และช่วยเหยาเหยียนอี้ยืมเรือลำใหญ่สี่ลำจากข้าหลวงผู้ปกครองแม่น้ำหลิวจี๋เจ้อร์ได้สำเร็จ
หลังจากขึ้นเรือ เหยาเยี่ยนอวี่แช่ตัวในน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายร่างกายไปสักพัก พอรู้สึกว่าผิวหนังทั้งเรือนร่างใกล้จะถลอกถึงจะคลานออกจากอ่าง
ตอนนี้ก็เข้าสู่เดือนหกแล้ว ต่อให้มีลมพัดผ่านเหนือผิวน้ำทว่าก็มิอาจต้านทานคลื่นความร้อนได้ เพิ่งจะออกจากอ่าง เรือนร่างก็ปกคลุมด้วยชั้นเหงื่อบางๆ แล้ว
“ร้อนตับแตก!” คุณหนูเหยาดึงผ้าเช็ดตัวผืนบางพันร่างไว้แล้วเปลือยเท้าเปล่าไปใส่เสื้อผ้า
“คุณหนูใส่เสื้อผ้าเถอะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวพวกเราเปิดหน้าต่างก็ดีขึ้นแล้ว” ชุ่ยเวยพูดไปก็สั่งให้สาวใช้ตักน้ำในอ่างแล้วยกลงไป
“วันนี้อากาศร้อนนัก ไม่รู้ว่าสวรรค์ต้องการทำอะไรจริงๆ” ชุ่ยผิงเอาชุดรัดรูปสีชมพูฟ้าให้เหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่พร้อมหันไปเปิดหน้าต่างออกครึ่งหนึ่ง
ตอนที่ชุ่ยผิงเก็บข้าวของเสร็จแล้วเข้ามาหา เหยาเยี่ยนอวี่ก็นอนบนเสื่อไม้ไผ่ แม้แต่หมอนยังไม่ได้หนุนดีๆ ผมที่เปียกแฉะปล่อยพาดอยู่ข้างๆ เสื่อไม้ไผ่ก็ซึมด้วยน้ำหนึ่งชั้น
“เหตุใดถึงไม่เอาผ้าเช็ดผมของคุณหนูให้แห้ง?” ชุ่ยเวยพร่ำบ่นด้วยความฉงนสงสัย
ชุ่ยผิงพลันเอาผ้าไปเช็ดผมของเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมทั้งเปรยด้วยเสียงต่ำ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคุณหนูจะหลับเร็วเช่นนี้”
“ช่วงนี้คุณหนูเหนื่อยมากจริงๆ!” ชุ่ยเวยโน้มตัวลงไปพยุงศีรษะของเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ แล้วดึงหมอนมาให้นางหนุน
“เฮ้อ!” ชุ่ยผิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา การเดินทางครั้งนี้ไม่อยากไปนึกย้อนถึงจริงๆ อย่าว่าแต่คุณหนูเหยาที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเคยตัวเลย แม้กระทั่งพวกนางที่เป็นสาวใช้ที่ถูกซื้อตัวเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ในจวนเหยาตั้งแต่อายุสี่ห้าขวบจนโตมาป่านนี้จะเจอกับความยากลำบากเช่นนี้มาก่อนได้อย่างไร
นอกห้องโดยสาร เว่ยจางเสวนากับถังเซียวอี้ “ตอนนี้คนบนเรือต่างก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว คนของพวกเราต้องพิทักษ์รักษาการณ์อย่างเคร่งครัดยิ่งกว่าเดิม”
“ท่านแม่ทัพโปรดวางใจ” ถังเซียวอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “ภารกิจที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นนี้ สำหรับพวกเราแล้วเหมือนกับเป็นเรื่องเล่นๆ เท่านั้น”
“อย่าชะล่าใจก็แล้วกัน” เว่ยจางขมวดคิ้วมองถังเซียวอี้
“ขอรับ” ท่านรองแม่ทัพถังพลันหุบยิ้มแล้วตอบกลับด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
อีกสองร้อยลี้ก็ถึงเมืองหลวงอวิ๋นแล้ว ระยะทางสองร้อยลี้นี้หากใช้เรือในการเดินทางก็ราวๆ สองสามวัน แม้นเว่ยจางก็ไม่ได้รู้สึกว่าการคุ้มกันเรือไม่กี่ลำนี้เป็นเรื่องยากอะไรมากมายสำหรับพวกเขา ทว่าเขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง เหมือนหลายวันต่อจากนี้จะเกิดสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสงบสุข
เหยาเยี่ยนอวี่หลับสนิทไปหนึ่งวัน จวบจนถึงตอนค่ำนางถึงจะตื่นมา จึงเหยียดกายลุกขึ้นมองเมฆหลากสีบนฟากฟ้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่าลมฝนที่ตกอย่างกระหน่ำเมื่อหลายวันก่อนเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
“คุณหนูหิวแล้วใช่ไหม ได้เวลากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยยกถาดเข้ามา
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองข้าวต้มหนึ่งถ้วยที่วางอยู่บนถาด จึงค่อนข้างรู้สึกหิวขึ้นมา นางหันไปนั่งรออาหารบนตั่งไม้ริมหน้าต่าง
หลังจากชุ่ยเวยวางถ้วยข้าวต้มและวางจานกับข้าวสีมรกตสองจานลงบนโต๊ะก็พูดขึ้น “พวกเราเดินทางมาจากเขตอุทกภัยก็ไม่ได้เตรียมอาหารสดอะไรมา อาหารสองชนิดนี้เป็นผักป่าของที่นี่ เลยเอามาทำเป็นยำ รสชาติยังถือว่าไม่เลว คุณหนูลิ้มลองดูเจ้าค่ะ”
“ผักป่าอะไร ดูๆ แล้วก็สดดี”
“เขาเรียกว่าคื่นฉ่ายน้ำที่ขึ้นตามริมน้ำเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ
“คื่นฉ่ายน้ำ?” เหยาเยี่ยนอวี่จับตะเกียบขึ้นแล้วคีบสองสามต้นมาเคี้ยวในปาก ยังไม่ต้องพูดอะไร รสชาติกลับถือว่าดี
คุณหนูเหยากินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วย กับข้าวสองจานก็ไม่มีเหลือ จากนั้นก็ถอนหายใจยาวแล้วลูบท้องพลางพูดอย่างรื่นเริง “เหมือนจะกินอิ่มเกินไปแล้ว”
“คุณหนูกินแค่นี้เองจะอิ่มเกินไปได้อย่างไร สองสามวันก่อนพวกเราใช้ชีวิตลำบากเกินไป แม้แต่ข้าวยังไม่ได้กินดีๆ บ่าวกลัวว่ากระเพาะของคุณหนูจะรับไม่ไหว ดังนั้นจึงตุ๋นข้าวต้มให้นุ่ม มิเช่นนั้นคุณหนูออกไปเดินเล่นหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้นแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดแล้วส่ายหัว “ช่างเถอะ ออกไปก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ลำบากจะตาย”
“คุณหนูอย่าคิดเช่นนี้สิ กลัวว่าจะอุดอู้อยู่แต่ด้านในจนป่วยเอา” ชุ่ยเวยพลันเอากระโปรงหรูสีม่วงอ่อนตัวบางออกมาให้เหยาเยี่ยนอวี่เปลี่ยนพลางเกลี้ยกล่อม “เมื่อครู่ฮั่นเจี่ยเอ๋อร์ยังหาคุณหนูอยู่เลย ฮูหยินน้อยรองเกลี้ยกล่อมนาง ตอนนี้คุณหนูเองก็หลับอิ่มแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ไปเล่นกับฮั่นเจี่ยเอ๋อร์สักประเดี๋ยวเดียวเถอะ ดึกกว่านี้เกรงว่าจะง่วงนอนเอาได้”
นางสวมชุดบุรุษมาสิบกว่าวัน พอเปลี่ยนกระโปรงหรูที่เป็นเสื้อผ้าสตรี เหยาเยี่ยนอวี่กลับค่อนข้างรู้สึกตื่นเต้นดีใจ จึงส่องคันฉ่องแล้วเอ่ยถามชุ่ยเวย “เจ้าว่าข้าผอมลงไปหน่อยไหม”
“จะผอมลงไปหน่อยได้อย่างไร!” ชุ่ยเวยดึงชุดกระโปรงตรงไหล่และเอวแล้วอุทาน “เสื้อผ้าชุดนี้หลวมไปมากเยี่ยงนี้! อุทกภัยครั้งนี้ทำให้คนเป็นทุกข์จริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่หยิบพัดมาพัดพลางเดินลงไปชั้นล่างด้วยความใจเย็น บังเอิญเจอกับยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นกำลังโวยวายอยู่ข้างกายหนิงฮูหยินน้อย บอกว่าบนเรือไม่มีอะไรสนุก นางจะขึ้นฝั่ง หนิงฮูหยินน้อยเกลี้ยกล่อมนางไปครึ่งค่อนวันแล้วสั่งให้แม่นมและสาวใช้พานางไปเล่นที่ดาดฟ้าเรือ นางก็ไม่ยอมไป นางบิดตัวไปมาจนทำให้ทั้งเรือนร่างที่หนิงฮูหยินน้อยเปียกโชกด้วยหยาดเหงื่อและกำลังจะทำให้นางหมดความอดทน
“ฮั่นเอ๋อร์?” เหยาเยี่ยนอวี่ขานเรียก “เจ้าเป็นเด็กดื้ออีกแล้วหรือ”
“ฮือๆ…ท่านอา…” เหยาชุ่ยฮั่นเห็นเหยาเยี่ยนอวี่จึงวิ่งไปกอดนางทันที
เหยาเยี่ยนอวี่โน้มตัวลงไปอุ้มยัยหนูน้อยขึ้นแล้วเปรยขึ้น “เหมือนน้ำหนักของเจ้าเบาลงไม่น้อย เฮ้อ! ฮั่นเอ๋อร์ เด็กที่น่าสงสารเด็กขนาดนี้กลับต้องมาพลอยลำบากไปด้วย”