หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 261 หวั่นไหวต่อผลประโยชน์ลอบวางแผนการค้าขายยา (5)
เหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ในฝันไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแม้แต่น้อย ในความคลุมเครือ นางรู้สึกเหมือนเรือนร่างของตนเองถูกไฟไหม้ ชี่เย็นในร่างกายกำลังปะทะกับไฟอันร้อนผ่าว ทำให้นางรู้สึกทรมานจวนตาย
ชุ่ยเวยเฝ้าอยู่ด้านข้างเอาผ้าคอยซับเหงื่อให้นางไม่หยุด ได้ยินเสียงเหยาเยี่ยนอวี่โอดโอยอย่างทุกข์ทรมานในฝัน ทั้งยังร้องไห้ไปด้วยและโทษตัวเองไปด้วย
หนิงฮูหยินน้อยพาบุตรีเฝ้าอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ น้ำตาไหลรินลงมาไม่หยุด
ยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นกลับไม่ได้รู้สึกทรมานอีกแล้ว พิษในร่างกายของนางถูกเหยาเยี่ยนอวี่ใช้วิธีการฝังเข็มขับออกมาเกินครึ่ง หลังจากที่กินยาแก้พิษไปแล้ว ยัยหนูน้อยก็หายดีเป็นปกติ แค่ดื่มนมที่แม่นมป้อนไม่ได้ ทำได้เพียงดื่มข้าวต้มเละๆ
หนิงฮูหยินน้อยมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่เหงื่อท่วมตัวจึงอดพูดขึ้นไม่ได้ “ชุ่ยเวย เจ้าไม่ใช่ว่าฝังเข็มเป็นหรือไร เจ้าฝังเข็มให้น้องรองหน่อยเถอะ จะได้ทำให้นางทรมานน้อยลง”
“ฮูหยินรองเจ้าคะ บ่าวเป็นแค่แก้อาการปวดศีรษะและเป็นไข้เท่านั้น บ่าวฝังเข็มแก้พิษไม่เป็นเจ้าค่ะ อีกอย่าง วิชาฝังเข็มของคุณหนู บ่าวก็ได้ฝึกมาได้แค่ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น คงมิบังอาจฝังเข็มให้คุณหนูหรอกเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยรู้สึกกระวนกระวายใจมากกลับไม่กล้าไม่ฟังคำสั่งของหนิงฮูหยิน “อีกอย่าง คุณหนูบอกแล้วว่าแค่นอนพักก็ดีแล้ว พวกเรารอให้คุณหนูตื่นก่อนค่อยว่ากันเถอะเจ้าค่ะ”
“ยัยเด็กคนนี้ช่างหัวรั้นนัก!” หนิงฮูหยินน้อยรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก “จะมีใครที่ไหนได้รับพิษเข้าสู่ร่างกายแล้วแค่หลับนอนพักผ่อนแล้วจะหายได้? ไม่เช่นนั้นก็ป้อนยาแก้พิษอีกหนึ่งเม็ดให้น้องสาวเถอะ?”
ชุ่ยเวยครุ่นคิด “ก็ดีเจ้าค่ะ”
ฉะนั้นเฝิงหมัวมัวและชุ่ยผิงเข้ามาแล้วทุกคนก็ป้อนยาแก้พิษหนึ่งเม็ดให้เหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็ให้นางดื่มน้ำอุ่นตามไปหนึ่งถ้วย
หลังจากนอนไปสองชั่วยาม ชี่เย็นในร่างกายค่อยๆ ได้ผล ความร้อนผ่าวของอวัยวะภายในทั้งห้าค่อยๆ ถูกควบคุม เหงื่อก็ไม่ได้เยอะเหมือนตอนแรก สีหน้าค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
ตอนนี้ก็ถึงเวลากลางดึก เหยาเหยียนอี้จึงสั่งให้หนิงฮูหยินน้อยพาบุตรีไปนอนก่อน ตน จินหวน เสวี่ยเหลียนแ ละคนอื่นๆ จะเฝ้าอยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่เอง
จวนจนถึงยามสี่ เหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาสักที
เพราะว่าเหงื่อที่หลั่งออกมามีสารพิษเจือปนอยู่ทำให้ได้กลิ่นแปลกๆ ของคื่นฉ่ายพิษ ดังนั้นตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกทรมานกายยิ่งนัก สิ่งแรกที่จะทำหลังลืมตาขึ้นก็คืออาบน้ำ
เหยาเหยียนอี้ยังกังวลว่านางหลั่งเหงื่อมากเยี่ยงนั้นหากจะอาบน้ำอาจจะทำให้ไม่ดีต่อร่างกายจึงสั่งให้ชุ่ยเวยตักน้ำมาเช็ดตัวให้นาง ตนเองออกไปหลบอยู่ด้านนอก
เว่ยจางยังคงนอนไม่หลับ พอเห็นเหยาเหยียนอี้ออกมาจึงเอ่ยถาม “นางเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“ฟื้นแล้ว คงไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว” เหยาเหยียนอี้รู้สึกโล่งอก แค่น้องรองฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ดังนั้นเขาตบไหล่เว่ยจางแล้วปลอบโยน “เดินทางจากเจียงหนานจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวันใดได้พักผ่อนเลย เจ้าย่อมเหนื่อยกว่าข้า ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เว่ยจางจับจ้องไปยังหน้าต่างห้องโดยสารที่มีเงาเคลื่อนไหวไปมาจึงพูดเสียงต่ำ “ข้าอยากเจอนาง”
เหยาเหยียนอี้นิ่งงันแล้วหันไปจ้องเว่ยจางพร้อมพูดอย่างช้าๆ “นี่…ไม่ค่อยเหมาะสมหรอกกระมัง อีกอย่าง เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ไม่เช่นนั้นก็ค่อยเจอพรุ่งนี้เถอะ”
เว่ยจางไม่พูดไม่จา แค่มองเงาคนตรงหน้าต่างแล้วใช้ความนิ่งงันในการคัดค้านข้อเสนอนี้
เหยาเหยียนอี้ยกมือตบหน้าผากอย่างประหม่าแล้วพูดขึ้น “นางเพิ่งฟื้น ทั้งเรือนร่างชุ่มเปียกด้วยเหงื่อ คงไม่สะดวกเจอเจ้าในเวลานี้”
“เช่นนั้นข้าก็รอสักพัก” เว่ยจางพูดไปก็หันหลังหันไปตรงผืนน้ำอันกว้างขวาง
เหยาเหยียนอี้จับจ้องแผ่นหลังที่สูงกว่าตนเองครึ่งหัวจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา ภายในใจกำลังด่าทอ นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ก็มีนิสัยดื้อดึงด้วย ภายใต้ความรู้สึกประหม่า เขาจึงเรียกสาวใช้ที่กำลังยกกะละมังออกมาแล้วเอ่ยถาม “คุณหนูรองเป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
“เรียนคุณชายรอง คุณหนูเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
“เจ้าเข้าไปเรียนคุณหนู หากคุณหนูไม่ติดธุระอะไรก็เชิญนางออกมาสักพักเถอะ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้คนนั้นเทน้ำในกะละมังออกแล้วหันหลังเข้าไปในห้องโดยสาร
ไม่นานเหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวงาช้างออกจากห้องโดยสาร สีหน้ายังคงซีดเซียว เมื่อลมพัดผ่านชุดกระโปรงพลิ้วไหว ทั้งเรือนร่างดูอ่อนแอเปียกโชกจนลมพัดปลิวได้ ทำให้ใครเห็นก็รู้สึกเอ็นดูสงสารนางยิ่งนัก
คุณหนูเหยาเดินไปตรงหน้าเว่ยจางและเหยาเหยียนอี้พร้อมพูดด้วยเสียงต่ำ “พี่รองเรียกข้ามามีกิจธุระอะไร”
เหยาเหยียนอี้หันไปมองเว่ยจางเพียงปราดเดียวแล้วขมวดคิ้วขึ้น “แม่ทัพเว่ยอยากคุยเรื่องที่เกี่ยวกับคื่นฉ่ายพิษกับเจ้า”
“อ้อ” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองเว่ยจางอีกครั้ง
เว่ยจางก้มหน้ามองนาง ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อยแล้วไม่พูดไม่จา
บรรยากาศที่แปลกพิลึกเช่นนี้ทำให้ใต้เท้าเหยารู้สึกอึดอัด ดังนั้นจึงพูดอย่างไม่เป็นมิตร “พวกเจ้าคุยกันไปก่อน ข้าไปดูฮั่นเอ๋อร์ก่อน”
“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าเบาๆ แล้วมองพี่รองของนางถลึงตามองแม่ทัพเว่ยพร้อมทิ้งท้ายด้วยคำว่า ‘เยี่ยนอวี่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา นี่ก็ดึกมากแล้ว น้ำค้างด้านนอกก็มากด้วย พวกเจ้าคุยกันสั้นๆ ได้ใจความก็พอ’ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
ข้างห้องโดยสารเหลือเพียงพวกเขาสองคน
เว่ยจางจึงยื่นมือไปกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่เบาๆ
เหยาเยี่ยนอวี่พยายามสะบัดออก ทว่ากลับสะบัดอย่างไรก็ไม่ออกจึงไม่คิดจะเอามือออกอีก
“ไปคุยกันทางฝั่งโน้นหน่อยเถอะ” เว่ยจางรู้ว่าด้านในหน้าต่างมีคนไม่น้อยกำลังแอบมอง เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นพวกเขาเป็นทิวทัศน์ ดังนั้นจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เดินไปตรงท้ายเรือ
“อืม…” เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งจะขับเหงื่อออกจากร่างกายมากขนาดนั้น ร่างกายจึงเสียน้ำไปมาก ทำให้ทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรง พอถูกเขาดึงจึงเกือบจะหกล้ม
เว่ยจางพลันหยุดฝีเท้าลงแล้วยื่นแขนไปโอบเอวของนางแล้วกึ่งพยุงกึ่งช้อนตัวนางเดินไปที่ท้ายเรือ
เรือใหญ่ยังคงแล่นไปด้านหน้า ใบพัดเรือที่กระทบกับน้ำทำให้เกิดคลื่นสีขาว ผืนแม่น้ำมืดสนิทในยามค่ำคืนกลับยังคงเป็นที่สะดุดตา
เหยาเยี่ยนอวี่พิงกาบเรือแล้วมองไปด้านล่าง เว่ยจางมองซ้ายแลขวาจึงใช้มือสื่อให้ทหารสองนายที่เฝ้าเวรออกจากที่นี่ จากนั้นก็พยุงเหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนกาบเรือแล้วโอบไหล่นางไว้พร้อมก้มหน้ามองหน้าด้านข้างของนาง
ผ่านไปสักพักเว่ยจางจึงเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเป็นอะไรไหม”
“ค่อยยังชั่วแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่รั้งสายตาจากคลื่นน้ำแล้วยืดตัวตรงเล็กน้อยพร้อมกับมองแม่ทัพเว่ยที่ใกล้นางเพียงคืบเดียวพลางยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว ครั้งหน้าข้าจะระวังตัวให้มาก”
เอ่ยวาจาเกรงใจไปไยกัน หรือว่าข้าแม่ทัพเว่ยเป็นห่วงว่าที่ภรรยาของตนจะเป็นเรื่องที่ผิด เว่ยจางขมวดคิ้ว “วันข้างหน้าห้ามกินของอะไรจากคนแปลกหน้าอีก”
“ข้ารู้แล้วน่ะ”
“รู้อะไรของเจ้า!” แม่ทัพเว่ยยกมือขึ้นอย่างขุ่นเคืองใจเล็กน้อยแล้วลูบใบหน้าที่ซูบผอมลงของคุณหนูเหยา “รู้แล้วยังจะปล่อยให้คนวางแผนทำร้ายเจ้าเยี่ยงนี้หรือ ครั้งนี้ไม่อาจทำร้ายเจ้าจนสิ้นใจ แล้วครั้งหน้าล่ะ เจ้าจะไปรู้หรือ”
“ข้าจะคิดให้รอบคอบ” เหยาเยี่ยนอวี่ถอยหลบไปด้านหลังครึ่งก้าวแต่กลับถูกแม่ทัพเว่ยดึงกลับไปในอ้อมกอด
“นี่อาจจะแค่เริ่มต้นเท่านั้น วันข้างหน้ายังต้องเจอเรื่องอันตรายกว่านี้อีกมาก” เว่ยจางมองนางด้วยความอ่อนโยน ดวงอาทิตย์ลับฟ้า ต่อให้เป็นช่วงเวลาเดือนหกก็ยังคงมีอากาศเหน็บหนาวเพราะอยู่บนผืนแม่น้ำ ทว่านัยน์ตาของเขากลับอ่อนโยนราวกับย่างเข้าสู่ฤดูวสันต์ “เจ้าจะกลัวหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ถูกเขาจับจ้องเช่นนี้จึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาร้อยเท่าอย่างน่าแปลก จากนั้นส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่กลัว”