หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 269 ดัดแปลงที่อยู่อาศัยใหม่ อวี้เหิงขอความช่วยเหลือ (3)
“ไม่เป็นไร พวกเราไม่ติดกระดาษตรงหน้าต่าง” เหยาเยี่ยนอวี่รับลูกท้อแช่น้ำแข็งถ้วยนั้นไว้แล้วใช้ช้อนเงินตักลูกท้อหนึ่งชิ้นที่มีเกล็ดน้ำแข็งติดใส่เข้าไปในปาก รสชาติหวานละมุนเย็นตราตรึงใจ ปนไปกับกลิ่นหอมของลูกท้อ ช่างอร่อยยิ่งนัก
“ม่านผ้าโปร่งก็ไม่ได้นะเจ้าคะ” ชุ่ยเวยขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ม่านผ้าโปร่งด้วย” เหยาเยี่ยนอวี่กินลูกท้อไปแล้วยิ้มไป
ชุ่ยเวยทำหน้ามึนงงอย่างมาก “เช่นนั้นจะทำอย่างไร หน้าต่างลายฉลุที่มีช่องโหว่ใหญ่เช่นนี้คงไม่อาจปล่อยโล่งไว้หรือเปล่า หากฝนตกและลมพัด…อั๊ยโย คุณหนูกำลังวาดภาพอะไรอยู่เนี่ย!”
“พวกเราจะติดกระจก” เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพลางมองแจกันกระจกข้างมือ นี่เป็นแจกันที่ชุ่ยผิงล้างจนสะอาดเมื่อครู่นี้ ด้านในใส่น้ำ ปักดอกไป๋เหอที่กำลังจะเบ่งบานหนึ่งดอกและฝักบัวสีเขียวชอุ่มอยู่หนึ่งก้าน
“กระ…กระจก?! ชุ่ยเวยกะพริบตาแล้วรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก “คุณหนู ท่านไม่ได้หลอกให้บ่าวดีใจใช่ไหม กระจกราคาแพงมากเพียงนั้น!”
“ของที่พวกเราประดิษฐ์ออกมาเองจะแพงมากเพียงใดกันเชียว”
“จุ๊!” ชุ่ยเวยเปรย “คุณหนูวาดภาพได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” หลังจากเปรยจบก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “คุณหนูอยากเปลี่ยนหน้าต่างในบ้านนาน้อยวัวจวูให้เป็นเช่นนี้หรือ”
“อืม ไม่เพียงที่นั่น” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า
ชุ่ยเวยเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “แล้วยังมีที่ใดอีก”
“ยังมีจวนแม่ทัพ”
“จวนแม่…แม่ทัพ?” ชุ่ยเวยไม่ทันได้ครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น แค่นึกถึงจวนแม่ทัพอันกว้างขวางเช่นนั้นต้องเปลี่ยนหน้าต่างและประตูเสียกี่บาน แล้วต้องใช้กระจกเท่าใดกันเชียว แค่นึกถึงนางก็รู้สึกปวดใจแล้ว! คุณหนูช่างเหลือขอจริงๆ!
เหยาเยี่ยนอวี่พักผ่อนอยู่ในจวนไปหนึ่งวัน รอให้เหยาเหยียนอี้กลับมาตอนกลางคืนก็พูดเรื่องที่ตนจะไปอาศัยที่บ้านนาน้อย
เหยาเหยียนอี้ครุ่นคิด ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่สามของเยว่เยว่เจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่ไปจวนติ้งโหวหน่อยหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “มีพี่สะใภ้รองอยู่แล้ว ข้าก็มีธุระของข้าได้ อย่างไรอีกอย่างเมื่อวานคุณหนูรองหันก็ส่งจดหมายมาบอกว่านางรอข้ากลับเมืองหลวงโดยเฉพาะ แล้วพวกเราจะไปพักร้อนกลางหุบเขาด้วยกัน ข้าก็ตอบตกลงกับนางแล้วด้วย”
พอดึงหันหมิงชั่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เหยาเหยียนอี้จึงไม่มากความอะไรอีก “ได้ เช่นนั้นเจ้าไปเถอะ พาข้ารับใช้ไปปรนนิบัติเยอะๆ มีเรื่องอะไรก็สั่งให้คนมารายงานข้าได้ทันที”
รุ่งเช้าวันที่สอง คุณหนูเหยาล้างหน้าแปรงฟันและแต่งกายเสร็จก็ขึ้นรถม้าตนเองมุ่งหน้าไปยังจวนองค์หญิงใหญ่ หันหมิงชั่นคอยแต่เนิ่นๆ แล้ว พอได้ยินว่ารถม้าของคุณหนูเหยามาจึงลงจากรถม้าทันที นางสั่งให้ขบวนรถม้าและองครักษ์ติดตามไปด้วย ตนเองกลับเข้าไปในรถม้าของเหยาเยี่ยนอวี่
“น้องสาว! ให้ข้าดูตัวเจ้าหน่อยเร็ว” หันหมิงชั่นขึ้นรถม้าก็ดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไว้พร้อมกับสังเกตมองนางอย่างละเอียด คุณหนูรองหันที่สง่างามมาโดยตลอดพอพบหน้ากับเหยาเยี่ยนอวี่ก็แย้มยิ้มอย่างเบิกบานเหมือนเด็กน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ “ไม่เจอกันหลายเดือน พี่สาวกลับคล้ายคลึงกับเหิงเอ๋อร์แล้ว”
หันหมิงชั่นได้ยินคำพูดนี้จึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบาแล้วพูดขึ้น “เจ้ายังพูดถึงเหิงเอ๋อร์อีก หลายวันมานี้อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป องค์หญิงต้าจั่งถึงกับไม่สบาย เหิงเอ๋อร์จึงคอยปรนนิบัติรับใช้คอยป้อนยาป้อนอาหารจนไม่ได้ออกมาหลายวันแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงพูดขึ้นลอยๆ “ข้าก็ว่าตอนนั้นที่ข้าไปจวนติ้งโหวเหตุใดถึงไม่ได้เจอนาง! องค์หญิงต้าจั่งไม่เป็นเช่นไรใช่หรือไม่”
“ไม่แน่ใจเช่นกัน อย่างไรอายุก็เยอะแล้ว” หันหมิงชั่นส่ายหน้าอย่างจนใจ
ปีนี้องค์หญิงต้าจั่งมีพระชันมายุเจ็ดสิบชันษา ในเวลาเช่นนี้ แม่เฒ่าอายุปานนี้กลัวทั้งคิมหันตฤดูและเหมันตฤดู อากาศที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวค นชราส่วนมากก็ทนไม่ไหวกันทั้งนั้น
สำหรับเรื่องนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่อาจมากความอะไร ทำได้เพียงเบี่ยงประเด็น จึงเอ่ยถามถึงพลานามัยขององค์หญิงใหญ่
หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “ท่านแม่สบายดี ขอบใจน้องสาวที่คอยกังวลใจ”
ในรถม้า หลังจากที่สองพี่น้องพูดคุยกันแล้ว หันหมิงชั่นพิงอยู่กับเบาะนุ่มและมองเหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งยังกุมมือนางไว้แล้วพูดขึ้นลอยๆ “เจ้าไปครานี้กลับผอมลงเยอะเช่นนี้ ข้าจำได้ว่ากำไลหยกนี้พอดีมือของเจ้า ตอนนี้กลับหลวมไปแล้ว”
“นี่ถือว่าโชคดีมากแล้ว พี่สาวไม่ได้เห็นสถานการณ์ในเขตอุทกภัยนั้น…” เหยาเยี่ยนอวี่นึกถึงสถานการณ์ที่สุนัขป่าคาบร่างคน สีหน้าอดเปลี่ยนไปไม่ได้ ยังดีที่นางมีจิตใจที่เข้มแข็งพอ หลังจากผ่านเขตอุทกภัยก็ไม่เคยฝันร้ายมาก่อน กลับเป็นชุ่ยเวย พวกนางหลับไม่ค่อยสนิทไปช่วงเวลาหนึ่ง
หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้ากำลังจะถามน้องสาวเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เลย ได้ยินว่าครั้งนี้พวกเจ้าสร้างผลงานอีกแล้ว ฮ่องเต้ยังตรัสชมใต้เท้าเหยาที่ทำงานรอบคอบ ค้นพบหญ้าตู๋จวูช่วยชีวิตชาวบ้านได้มากมาย เป็นการแบ่งเบาภาระให้ทางราชสำนักจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดถึง ‘ภัยร้ายของคื่นฉ่ายพิษ’ จึงอดถอนหายใจไม่ได้ “จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ครุ่นคิดถึงเรื่องแบ่งเบาภาระเลย พวกเราก็แค่ต้องการให้ตนเองรอดชีวิตเท่านั้น หากเจอคนที่กำลังจะสิ้นใจกลับไม่ช่วยเหลือแล้วยังซ้ำเติมผู้อื่น เช่นนั้นถึงจะเรียกว่าขาดคุณธรรม”
“นี่ใครมาสร้างปัญหาให้เจ้าอีกแล้ว” หันหมิงชั่นเอ่ยถามยิ้มๆ
“ไม่มี แค่ตลอดการเดินทางเจอคนใต้หล้านี้ไร้น้ำใจต่อกันเท่านั้น!” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้มแล้วเบี่ยงประเด็นพร้อมพูดอย่างรื่นเริง “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว ข้ากลับมีเรื่องอยากถามพี่สาวหน่อย”
หันหมิงชั่นพูดยิ้มๆ “มีอะไรก็ว่ามาเถอะ แกล้งทำท่าทางเช่นนี้ไปไยกัน”
“ข้าก็แค่เป็นห่วงพี่สาว! ไม่รู้ว่าช่วงนี้พี่สาวใช้ชีวิตราบรื่นดีหรือไม่ กินอาหารอร่อยและนอนหลับสนิทหรือไม่ มีเรื่องกังวลใจอะไรที่ต้องการจะระบายหรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความจริงจัง
หันหมิงชั่นหลุดหัวเราะ “ยัยเด็กคนนี้สติวิปลาสไปแล้วหรือเปล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่คล้องแขนของหันหมิงชั่นไว้แล้วพูดขึ้นลอยๆ “อั๊ยย้า พี่สาวรีบบอกข้ามาเถอะ! ข้านี่ค่อยยังชั่ว ทว่ามีคนในเขตตอนใต้กินข้าวไม่ลงและนอนหลับไม่สนิทเพราะเรื่องนี้ จึงเฝ้ารอให้ข้าส่งจดหมายรายงานสถานการณ์ทางฝั่งนี้อยู่แน่ะ!”
หันหมิงชั่นหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันทีแล้วพร่ำบ่น “ข้ารู้แล้วว่าเจ้ามันไม่มีจิตใต้สำนึก กลับเข้าข้างคนนอก”
“เป็นเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน!” เหยาเยี่ยนอวี่คล้องแขนหันหมิงชั่นแล้วพูดอย่างประจบประแจง “คนเขาเข้าข้างพี่สาวที่สุดแล้ว! พี่สาวพูดคำใดข้าก็ว่าตามกัน พี่สาวโปรดปรานใครข้าจะช่วยแก่งแย่ง พี่สาวไม่โปรดปรานใครข้าจะช่วยพี่สาวไล่มันไปไกลๆ”
“เจ้าน่ะ!” หันหมิงชั่นยกมือจับแก้มเหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูดอย่างรื่นเริง “คนมีสามีนั้นไม่เหมือนเดิมจริงๆ! ฝึกวิชาประจบประแจงเป็นเสียแล้ว แต่ก่อนเจ้าไม่เคยเป็นเช่นนี้ มักจะแสดงทีท่าสุขุมเยือกเย็น ทำเอาข้าหวาดผวา ท่าทีเช่นนี้ของเจ้าคงจะถูกแม่ทัพเว่ยรักใคร่และเอ็นดูใช่หรือไม่”
พอพูดขึ้นเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงันไปทันทีแล้วครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงของตนเองในช่วงเวลานี้ เหมือนตนเป็นดั่งที่หันหมิงชั่นพูดไม่มีผิด! ก่อนหน้าตนมักจะสุขุมเยือกเย็น! มีความอดทนสูง เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน ตนไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยว!
ตอนนี้เป็นอะไรไป? หรือว่าถูกรักใคร่และเอ็นดูจนเอาแต่ใจไปแล้ว?
หันหมิงชั่นเห็นว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวของตนเองทำเอาเหยาเยี่ยนอวี่กลายเป็นเจ้าเอ๋อไปแล้วจึงยื่นมือออกไปสะกิดนางแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ “เวลานี้เจ้าไม่ใช่ควรเขินอายหรือไร เหตุใดถึงแสดงสีหน้าเช่นนี้ หรือว่าแม่ทัพเว่ยรังแกเจ้า?”
“เปล่า” เหยาเยี่ยนอวี่ได้สติกลับมาทันที ใบหน้าเคล้าด้วยความเขินอายเสียที “พี่สาว ข้าเปลี่ยนไปจริงหรือ”
“อืม ดูซุกซนและเกเรกว่าแต่ก่อน” หันหมิงชั่นจับแก้มของเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ทว่าข้าชอบ ก่อนหน้านี้เจ้าดูโตเป็นผู้ใหญ่เกินไป ไม่มีความซุกซนเกเรเหมือนหญิงสาว คนเราต้องมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นถึงจะทำให้ปีติยินดี”
“ดังนั้นพี่สาวก็ควรพิจารณาหน่อยหรือไม่”
“เรื่องของข้า…ยังไม่รีบ” หันหมิงชั่นส่ายหน้า “ระยะเวลาสามปีในการไว้อาลัยไทเฮายังไม่ผ่านพ้น ต่อให้กำหนดงานสมรสออกมาแล้วก็คงต้องรอสู้รอเช่นนี้ไปจะไม่ดีกว่าหรือ”