หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 272 จวนแม่ทัพจัดงานมงคล จวนซูจัดงานไว้อาลัย (1)
ซูอวี้ผิงเกียจคร้านไปมากความกับเขา แค่หันไปมองเฟิงฮูหยินน้อย
เฟิงฮูหยินน้อยพลันพูดขึ้น “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้”
“พี่สะใภ้ใหญ่!” ซูอวี้เหิงรีบรั้งเฟิงฮูหยินน้อยไว้ “ข้าจะไปกับพี่สะใภ้ด้วย”
“เจ้ากับคุณหนูเหยามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เจ้าไปกับข้าก็ยิ่งดี” เฟิงฮูหยินน้อยพูดไปกุมมือซูอวี้เหิงไปน้อมทำความเคารพติ้งโหวและลู่ฮูหยินแล้วถอยออกไปด้านนอก
เฟิงฮูหยินน้อยและซูอวี้เหิงนั่งรถม้าไปที่จวนตระกูลเหยากลับไม่ได้การอะไรเลย แม้กระทั่งเหยาเหยียนอี้ยังไม่อยู่จวน เหล่าข้ารับใช้ในจวนต่างก็บอกว่าใต้เท้ายุ่งจัดการกับกิจธุระ ส่วนคุณหนูก็ไปพักร้อนที่บ้านนาน้อยนอกเมือง สุดท้ายพวกนางก็จนปัญญาไ ด้เพียงนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังบ้านนาน้อยวัวจวู
การเดินทางที่แสนลำบากนี้ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน ตอนที่ถึงบ้านนาน้อยวัวจวูฟ้าก็มืดแล้ว
ซูอวี้เหิงรู้สึกร้อนใจแทบอยากจะดึงเหยาเยี่ยนอวี่กลับไปรักษาอาการให้องค์หญิงต้าจั่งจวนใจจะขาด ส่วนในบ้านนาน้อย หันหมิงชั่นก็กำลังคุยเรื่องนี้กับเหยาเยี่ยนอวี่อยู่พอดี
หันหมิงชั่นนึกถึงสถานการณ์ที่ซูอวี้เหิงต้องเผชิญในวันนี้จึงถอนหายใจ “หากองค์หญิงต้าจั่งป่วยหนัก เหิงเอ๋อร์ต้องมาหาเจ้าแน่นอน จริงๆ นางนี่แหละที่มีชีวิตลำบากที่สุด หลายปีมานี้นางเติบโตในเมืองหลวงอวิ๋น บิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ หากไม่มีองค์หญิงต้าจั่งคอยรักใคร่และเอ็นดูนาง ยังไม่รู้เลยว่านางจะเติบโตมาได้อย่างนี้ไหม”
“เรื่องของจวนติ้งโหวข้าไม่อยากจะแทรกแซงแม้แต่น้อย แค่เหิงเอ๋อร์ไม่เหมือนคนอื่น หากนางเอ่ยขอ ข้าก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์อยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังอยากพูดอะไรต่อ สาวใช้ชั้นล่างไม่ตงก็เข้ามาในเรือนพร้อมรายงาน “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อจวนติ้งโหวและคุณหนูสามซูมาเจ้าค่ะ”
หันหมิงชั่นเปรยขึ้น “เมื่อครู่ข้าพูดอะไรไปนะ พวกนางกลับมาหาถึงที่นี่แล้วจริงๆ ด้วย เห็นได้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้วจริงๆ”
“ชุ่ยเวย เก็บของของข้าแล้วเตรียมตัวออกเดินทาง” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดจาไร้สาระแม้แต่คำเดียว เตรียมตัวกลับเมืองหลวงทันที
ขณะที่พูด เฟิงฮูหยินน้อยและซูอวี้เหิงก็เข้าประตูมา ซูอวี้เหิงเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ก็กอดนางแล้วร้องห่มร้องไห้
“เวลาเช่นนี้แล้วร้องไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เหยาเยี่ยนอวี่หยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ซูอวี้เหิง “ข้าจะตามเจ้าไป”
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่ เฟิงฮูหยินน้อย และซูอวี้เหิงกลับเข้าไปในเมืองหลวงก็ดึกแล้ว จวนองค์หญิงต้าจั่งจุดไฟสว่างไสวไปทั่ว ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูยังทำสีหน้าหนักใจ บรรยากาศดูเคร่งเครียดยิ่งนัก หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็เปลี่ยนเป็นนั่งบนเกี้ยวเบาะนุ่มแล้วให้ข้ารับใช้ยกเข้าไปถึงเรือนองค์หญิงต้าจั่ง
เกี้ยวหยุดลงด้านนอกเรือน พวกนางทั้งสามจึงรีบลงจากเกี้ยวแล้วเข้าไปในด้านใน เพิ่งจะฝ่าผ่านธรณีประตูก็ได้ยินเสียงร้องห่มร้องไห้อันโศกเศร้าที่ดังจากในเรือน “อ๊า…องค์หญิงต้าจั่ง…เร็ว รีบตามคนมาเร็วเข้า…”
เสียงร้องห่มร้องไห้นี้ทำให้บ่าวที่อยู่ด้านนอกต่างก็คุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงทันที ซูกวงฉงและบุตรชายทั้งสามของเขาวิ่งออกมาจากเรือนข้างแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังห้องโถงหลักโดยเร็ว
ซูอวี้เหิงชะงักฝีเท้าลงแล้วคล้องแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้พลางเบิกตาโต จากนั้นก็ขานเรียกหลายครั้งว่า “พี่เหยา…พี่เหยา…”
“เหิงเอ๋อร์! อย่าเพิ่งกังวลใจไป! เหิงเอ๋อร์!” เหยาเยี่ยนอวี่พลันยื่นมือไปกอดซูอวี้เหิงไว้ในอ้อมกอด พอเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนาง เรือนร่างของนางอ่อนแรงลงอย่างช้าๆ ยังไม่ทันได้หายใจเข้าอีกครั้งก็สลบหมดสติไปแล้ว
“น้องสาม!” เหยาเยี่ยนอวี่ประคองนางไว้ ทำได้เพียงค่อยๆ คุกเข่าลงแล้ววางร่างของซูอวี้เหิงลงบนพื้นพร้อมหันไปเรียกชุ่ยเวย “เร็วเข้า! รีบมาช่วยข้า!”
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงก็คุกเข่าลงพร้อมกับข้ารับใช้ในเรือน พอได้ยินเหยาเยี่ยนอวี่ขานเรียกจึงลุกขึ้นเดินไปด้านหน้าสองก้าวแล้วช่วยอุ้มซูอวี้เหิงไว้ เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือกดร่องใต้จมูกของนาง ไม่นานนางก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา เพิ่งหายใจไปหนึ่งทีก็ร้องไห้ออกมาเสียงดัง
น้ำตาของเฟิงฮูหยินน้อยก็ไหลรินดุจฝนพรำเช่นกัน ทว่ากลับสนใจอะไรมากมายไม่ได้ แค่โน้มตัวลงไปพยุงซูอวี้เหิงขึ้นแล้วเกลี้ยกล่อม “น้องสาวอย่าเพิ่งร้องไห้ที่ตรงนี้เลย รีบเข้าไปดูองค์หญิงต้าจั่งเถอะ”
ซูอวี้เหิงได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนมีพลังขึ้นมา นางพยายามลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งเข้าไปในเรือน เฟิงฮูหยินน้อยก็ตามหลังไปโดยเร็ว
ภายในเรือนมีเพียงเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างเศร้าเสียใจ เสียงของบุรุษและสตรีปะปนกันไปจนไม่ต้องแยกแยะว่าเป็นเสียงของใครบ้าง เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ในเรือน อาศัยโคมไฟไม่กี่ดวงมองบ่าวที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วอดถอนหายใจยาวไม่ได้ ทำได้เพียงค่อยๆ คุกเข่าลงบนพื้นเช่นกัน
ในเรือน ลู่ฮูหยินคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตั่งไม้ที่องค์หญิงต้าจั่งนอนอยู่แล้วร้องไห้จนตาแดง ผ้าในมือเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ซูกวงฉงและบุตรชายสามคนเข้าไปด้านใน ต่างคนต่างร้องไห้อย่างเศร้ารันทดตรงหน้าตั่งไม้ขององค์หญิงต้าจั่ง
หลังจากร้องไห้ไปสักพัก ความโศกเศร้าภายในใจของทุกคนก็ค่อยๆ ซาลง ซูกวงฉงจึงเปรยด้วยเสียงเศร้า “ลูกเองที่อกตัญญู กลับไม่ได้เฝ้าอยู่ตรงหน้าตั่งไม้ของเสด็จแม่ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจไป…ลูกสมควรตาย! ลูกอกตัญญูเอง! ฮื้อ…” ท่านโหวอายุห้าสิบกว่าๆ กลับร้องห่มร้องไห้อย่างเศร้ารันทดยิ่งนัก
ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ ลู่ฮูหยินบอกว่าองค์หญิงต้าจั่งดื่มยาต้มไปครึ่งถ้วยแล้วหลับสนิทยิ่งนัก เช่นนั้นก็ให้นางได้นอนพักอย่างสงบ นางจึงเชิญซูกวงฉงและบุตรชายทั้งสามต่างก็ไปพักผ่อนที่เรือนข้าง หากมีเรื่องอะไรนางจะส่งคนไปส่งสารเอง
หลายวันมานี้เหตุเพราะองค์หญิงต้าจั่งป่วย ทำให้ซูกวงฉงไม่ได้หลับมาสองคืนติดต่อกัน หมอหลวงก็บอกว่ากินยาไปก็คงไม่เป็นไรแล้ว ดังนั้นเขาถึงได้วางใจพาบุตรชายสามคนออกไป ใครจะไปรู้ว่าเขาแค่งีบหลับ มารดาในเรือนข้างก็สิ้นใจไปแล้ว!
ติ้งโหวใจจวนจะขาด อยากเอาศีรษะโขกตั่งไม้เพื่อแสดงความกตัญญูออกมา
ลู่ฮูหยินพลันเช็ดน้ำตาแล้วปลอบโยน “เสด็จพี่อย่าทำเช่นนี้เลย เสด็จแม่ไม่ได้คิดจะถือโทษเสด็จพี่ เมื่อครู่ตอนที่องค์หญิงต้าจั่งฟื้นขึ้นมาอย่างสะลืมสะลือก็ตรัสคำพูดสองสามคำกับหม่อมฉัน หม่อมฉันยังคิดว่าอาการของเสด็จแม่คงไม่เป็นไรแล้ว…เมื่อครู่ยังป้อนน้ำโสมให้เสด็จแม่ดื่มไปสองสามคำ เสด็จแม่ก็กำชับหม่อมฉันไปสองประโยค…หม่อมฉันยังนึกว่าความปรารถนาของเสด็จแม่ยังไม่ได้สุขสมก็คงไม่อยากจะสิ้นใจไปในตอนนี้…ใครจะไปรู้…ใครจะไปรู้…”
ลู่ฮูหยินพูดถึงตรงนี้น้ำตาไหลรินพลางพูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
“เสด็จแม่พูดอะไร เจ้ารีบบอกข้ามาเร็ว!” ซูกวงฉงได้ยินก่อนที่มารดาจะสิ้นใจก็ได้เอ่ยคำพูดตอนสุดท้ายเขาจึงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก
“เสด็จแม่บอกว่าพวกเราทั้งครอบครัวต้องรักใคร่และสามัคคีกัน นางก็ไม่มีอะไรให้เฝ้าคำนึงถึงแล้ว แค่กังวลถึงปีนี้ผิงเอ๋อร์ก็อายุสามสิบแล้วกลับไม่มีบุตรชายสืบทอดวงศ์ตระกูลแม้แต่คนเดียวจึงทำให้กังวลใจยิ่งนัก เสด็จแม่บอกว่าเดิมทีนางยังอยากจะยื้อเวลาให้ยาวกว่านี้จะได้รอจัดงานสมรสของหลานชายคนโตแล้วค่อยสิ้นลมหายใจ ทว่าบรรพบุรุษเรียกนาง ทำให้นางต้องจากไป” ลู่ฮูหยินพูดถึงตรงนี้น้ำตาไหลพรากลงมาไม่หยุด “เสด็จแม่ยังบอกว่าอย่าให้ผิงเอ๋อร์ไว้อาลัยถึงสามปี…ให้พวกเราคิดหาวิธีสู่ขอคุณหนูรองเฟิงเข้ามาในจวนก่อนแล้วค่อยไว้อาลัย”
“เสด็จย่า!” ซูอวี้ผิงได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงร้องไห้พลางคุกเข่าลงตรงหน้าตั่งไม้ขององค์หญิงต้าจั่ง ก่อนที่เสด็จย่าจะสิ้นใจล้วนนึกถึงแต่เรื่องหลานชาย ภรรยาเอกไม่มีบุตรชายสืบทอดวงศ์ตระกูล เขาจะรู้สึกไม่ซาบซึ้งใจได้อย่างไร และจะไม่รู้สึกละอายใจได้อย่างไร
“ท่านป้า…” ซูอวี้เหิงฟังลู่ฮูหยินพูดมามากมายเช่นนี้ล้วนเป็นเรื่องของพี่ใหญ่คนเดียว ด้วยเหตุนี้นางจึงเดินอย่างอ่อนแรงไปสองก้าวแล้วทรุดตัวลงในอ้อมกอดของลู่ฮูหยินพร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงสะอื้น “เสด็จย่ายังพูดอะไรอีก”
ลู่ฮูหยินลูบศีรษะของซูอวี้เหิงอย่างเห็นอกเห็นใจ น้ำตาไหลรินลงมาพร้อมเปรยขึ้น “ยัยหนูสาม! ยัยหนูสามผู้น่าสงสารของป้า…องค์หญิงต้าจั่งต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่แล้ว! นางรักและเอ็นดูเจ้ามากเยี่ยงนั้น…จะไม่นึกถึงเจ้าได้อย่างไร! ทว่า…นางยังไม่ทันได้พูดอะไร…ก็…สิ้นใจไปแล้ว!”
“เสด็จย่า…” ซูอวี้เหิงยังไม่ทันสูดลมหายใจเข้า ทันใดนั้นก็หน้ามืดและสลบไปอีกครั้ง