หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 273 จวนแม่ทัพจัดงานมงคล จวนซูจัดงานไว้อาลัย (2)
เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยต่างก็ไปพยุงซูอวี้เหิงขึ้นแล้วสั่งให้หมัวมัวสองคนอุ้มนางไปบนตั่งไม้ด้านข้างแล้วกดจุดร่องใต้จมู กนวดฝ่ามือ และลูบหน้าอกของนาง ไม่นานซูอวี้เหิงก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางลืมตาแล้วรีบพลิกตัวลงจากตั่งไม้ จากนั้นก็วิ่งไปร้องไห้อย่างเศร้ารันทดต่อหน้าตั่งไม้ขององค์หญิงต้าจั่ง
หลังจากผ่านเรื่องทุกข์ระทมครั้งใหญ่ ท่านโหวซูกลับสงบสติอารมณ์ได้ก่อนจึงเอ่ยถามสะใภ้คนโตสกุลเฟิง “ความปรารถนาก่อนสิ้นใจขององค์หญิงต้าจั่งเจ้าก็ได้ยินหมดแล้ว ความหมายของข้าก็คือ ทำตามความปรารถนาสุดท้ายขององค์หญิงต้าจั่ง ไปรับน้องสาวของเจ้ามาก่อน ส่วนเรื่องงานเลี้ยงตอนนี้ยังจัดขึ้นไม่ได้ รอให้ผ่านช่วงไว้อาลัยไปหนึ่งปีแล้วค่อยจัด ในภายหลังเกิดเรื่องเร่งด่วนเช่นนี้ จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของข้า สั่งให้ผัวจื่อที่ได้การได้งานในจวนสี่คนและเหล่าเอ้อร์เจียติดตามเจ้าไปด้วย ไปรับน้องสาวของเจ้ากลับมาเพื่อทำตามความปรารถนาขององค์หญิงต้าจั่งเสียก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะ”
เรื่องที่เฟิงซิ่วอวิ๋นจะแต่งเข้าจวนติ้งโหวกลายเป็นอนุภรรยาที่สูงศักดิ์ของซูอวี้ผิงไม่ได้ยุ่งมาแค่วันสองวัน แล้วจู่ๆ องค์หญิงต้าจั่งสิ้นพระชนม์ในเวลาเช่นนี้ เฟิงฮูหยินน้อยต้องรู้สึกร้อนใจเป็นเรื่องธรรมดา คงไม่อาจรอให้ผ่านช่วงไว้อาลัยสามปีถึงจะจัดการเรื่องนี้ได้ คนอื่นรอได้ ทว่านางกลับรอไม่ได้
ซูอวี้ผิงมีอายุสามสิบปีทว่ายังไม่มีบุตรชายแม้แต่คนเดียว และนี่ก็คือการบกพร่องหน้าที่ของฮูหยินซื่อจื่อเฉกเช่นนาง ดังนั้นจึงทำได้เพียงตอบตกลงอย่างฝืนทน “เจ้าค่ะ สะใภ้จะไปรายงานบิดาเดี๋ยวนี้”
ติ้งโหวถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “บอกบิดาของเจ้า อย่างไรครั้งนี้ก็ถือว่าข้าเสียมารยาทแล้วกัน รอให้เรื่องใหญ่นี้ผ่านไปข้าจะไปขอขมาถึงจวน”
เวลาเช่นนี้เฟิงฮูหยินน้อยยังพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงคุกเข่าหมอบกราบแล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “ท่านพ่อเกรงใจเกินไปแล้ว”
พอเห็นเฟิงฮูหยินน้อยออกไป ติ้งโหวก็สั่งการซูอวี้ผิง “จับตามองคนด้านนอกให้ดี! ต้องรอให้ถึงวันรุ่งเช้าถึงจะปล่อยข่าวที่องค์หญิงต้าจั่งสิ้นพระชนม์ออกไปได้”
“ขอรับ” ซูอวี้ผิงขานรับพลางหันหลังจากไป ตอนลงบันไดก็เห็นเหยาเยี่ยนอวี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นจึงมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา เขารีบเดินเข้าไปพร้อมพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “คุณหนูเหยา ขอโทษด้วยจริงๆ! ลุกขึ้นมาเถอะ เชิญไปจิบน้ำชาที่เรือนข้างก่อน”
เหย่เยี่ยนอวี่ทำได้เพียงเหยียดกายลุกขึ้น จากนั้นก็เดินตามซูอวี้ผิงไปเรือนข้าง
ซูอวี้ผิงถอนหายใจเล่าถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไปหนึ่งรอบและยกมือคารวะให้เหยาเยี่ยนอวี่พร้อมพูดขึ้น “คุณหนูเหยาไม่ใช่คนนอก เรื่องวันนี้ได้โปรดท่านเห็นใจ”
ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกวุ่นวายใจมาโดยตลอด หลังจากฟังคำพูดพวกนี้ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา องค์หญิงต้าจั่งต้องการให้เฟิงซิ่วอวิ๋นแต่งเข้าจวนติ้งโหวถึงจะไปสู่สุคติ หากเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป ทั้งจวนติ้งโหวจะถูกมองว่าไม่เห็นแก่ความรู้สึกของคนในครอบครัวและอกตัญญูไม่รู้คุณ
ดังนั้นนางพลันลุกขึ้นแล้วรับคำ “ท่านซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว เรื่องทั้งหมดในวันนี้เยี่ยนอวี่ไม่รู้เรื่องอะไรและไม่เห็นอะไรเลย เชิญท่านซื่อจื่อจัดการเรื่องนี้ตามสะดวก ข้าจะพาสาวใช้กลับบ้านนาน้อยในคืนนี้ วันนี้ก็ถือว่าข้าไม่ได้มาเยือนที่นี่ เช่นนี้ดีหรือไม่”
ซูอวี้ผิงครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ขอบคุณคุณหนูเหยาที่ให้ความร่วมมือ”
เกิดเป็นท่านซื่อจื่อจวนติ้งโหว ต่อให้จะอยู่ในจวนองค์หญิงต้าจั่ง ซูอวี้ผิงก็มีอำนาจพูด ดังนั้นจึงได้สั่งให้คนที่น่าเชื่อถือพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินทางออกจากประตูข้างแล้วขึ้นรถม้าส่งกลับไปในบ้านนาน้อยวัวจวู
คืนนั้น เฟิงเซ่าผิงใช้เกี้ยวเล็กๆ ส่งบุตรีอนุภรรยาเฟิงซิ่วอวิ๋นเข้าไปในจวนติ้งโหว ทั้งยังส่งสาวใช้ที่ติดตามนายหญิงตอนออกเรือนมาสี่คน สำหรับเรื่องสินเดิมเจ้าสาวและของอื่นๆ วันก่อนถือว่าเป็นวันฤกษ์งามยามดี จึงได้ส่งของเหล่านั้นมาครบจำนวนแล้ว หากองค์หญิงต้าจั่งไม่เป็นไร วันมะรืนก็ถือว่าเป็นวันจัดพิธีแต่งเข้าจวนของเฟิงซิ่วอวิ๋นพอดี
ทว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญก็คือเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ญาติมิตรสหายถามถึงเช่นนี้ เหตุเพราะจะจัดงานศพขององค์หญิงต้าจั่ง อนุภรรยาที่จะแต่งเข้าจวนจึงไม่อาจแต่งโดยทำให้ผู้อื่นรู้กันถ้วนหน้า จัดงานเฉลิมฉลองไม่ได้ นี่ก็ถือว่าครอบครัวฝ่ายหญิงตกลงเห็นพ้องกันแล้ว
พวกเขายุ่งไปถึงยามอิ๋น ระฆังทรงก้อนเมฆในจวนองค์หญิงต้าจั่งถูกเคาะจนดังสนั่นไปสี่ทีเพื่อแจ้งให้คนทั้งใต้หล้านี้รับรู้ว่าเสด็จป้าอวิ๋นซางของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ต้าอวิ๋น องค์หญิงต้าจั่งทรงสิ้นพระชนม์แล้ว!
องค์หญิงต้าจั่งอวิ๋นซางเป็นบุตรีภรรยาเอกของเสด็จปู่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เป็นพี่น้องที่มีมารดาบังเกิดเกล้าเดียวกันกับฮ่องเต้องค์ก่อน ตอนนางอายุสิบแปดชันษาก็สมรสกับติ้งกั๋วกง มีบุตรชายสองและบุตรีคนเดียว บุตรชายคนโตรับตำแหน่งโหวต่อจากบิดา บุตรชายคนรองคือทหารปกครองเก้ามณฑลในเจียงหนาน คอยกำกับดูแลกิจการทหารและป้องกันชายฝั่ง ส่วนบุตรีก็สิ้นใจเนื่องจากโรคร้ายไปในรัชศกปีที่สามสิบเอ็ดของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน จึงมีชีวิตอยู่ถึงเจ็ดสิบหกปี
ภายในคืนเดียว จวนองค์หญิงต้าจั่งและจวนติ้งโหวมีมุ้งสีเขียวและขาวแขวนทั้งในและนอก ทุกคนในจวนต่างก็เปลี่ยนชุดไว้อาลัย
ในบ้านนาน้อยวัวจวู เหยาเยี่ยนอวี่ทรมาน ทั้งคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ ทั้งเรือนร่างไร้ความมีชีวิตชีวา แม้กระทั่งมื้อเช้ายังกินไม่ลง แค่พิงบนตั่งไม้แล้วหลับตาครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เหตุเพราะอากาศไม่ดี หันหมิงชั่นก็ไม่ได้ออกไปไหน แค่อยู่เป็นเพื่อนนางในเรือน
“ตั้งแต่กลับมาเมื่อคืนเจ้าก็เป็นเช่นนี้ เรื่องขององค์หญิงต้าจั่งก็โทษเจ้าไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงต้องทุกข์ทรมานด้วย” คุณหนูหันยกไก่ป่าตุ๋นโสมหนึ่งถ้วยยื่นให้นาง “อย่างไรก็ต้องดื่มหน่อย ต่อให้เจ้าจะกังวลใจแทนเหิงเอ๋อร์แต่ไม่ควรทำเช่นนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่รับน้ำแกงโสมไว้แล้วถอนหายใจ “ท่านว่าองค์หญิงต้าจั่งรักใคร่และเอ็นดูเหิงเอ๋อร์มากเพียงนั้นเหตุใดถึงไม่รอนาง? ก่อนจะสิ้นพระชนม์ก็ไม่ได้พูดถึงอะไรเกี่ยวกับนาง กลับนึกถึงแต่เรื่องที่ท่านซื่อจื่อจะแต่งตั้งอนุภรรยา?”
หันหมิงชั่นเปรยขึ้น “ต่อให้บุตรีจะดีเพียงใด อนาคตก็ต้องกลายเป็นคนของตระกูลอื่น ทายาทผู้สืบทอดของท่านซื่อจื่อถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในจวนโหว องค์หญิงต้าจั่งทรงคะนึงถึงเรื่องบุตรชายและหลานชาย มีคำพูดที่ทิ้งท้ายก่อนสิ้นใจเช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา แท้จริงแล้วภายในใจของนางกำลังครุ่นคิดเรื่องหนึ่ง เหตุใดองค์หญิงต้าจั่งถึงต้องเสียไปตอนที่อยู่กับลู่ฮูหยินตามลำพัง เหตุใดถึงต้องฝากคำพูดก่อนสิ้นพระชนม์ถึงบุตรชายและหลานๆ ผ่านลู่ฮูหยิน ไหนๆ องค์หญิงต้าจั่งฟื้นขึ้นมา เหตุใดลู่ฮูหยินถึงไม่เชิญติ้งโหวเข้าไปด้านใน นางมีสิทธิ์อะไรจะให้สองแม่ลูกต้องพรากจากกัน
ทว่าคำถามที่น่าสงสัยเหล่านี้นางกลับไม่กล้าพูด แค่นางหลุดพูดประโยคหนึ่งออกมาก็คงจะกลายเป็นเรื่องที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด จวนติ้งโหวต้องเกิดสถานการณ์วุ่นวายแน่นอน
หันหมิงชั่นมองเหยาเยี่ยนอวี่ดื่มน้ำแกงอย่างเงียบๆ จึงวางใจขึ้นมาบ้าง เลยพูดขึ้นลอยๆ “ข้าก็คงไม่มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว องค์หญิงต้าจั่งสวรรคต อย่างน้อยฮ่องเต้ก็ต้องรับสั่งให้องค์ชายกลับมาประกอบพิธีเซ่นไหว้ ไม่แน่อาจจะเสด็จกลับมาทั้งหมดเลยก็ได้ เช่นนั้นบิดามารดาก็คงจะกลับเมืองหลวงแล้ว ข้าคงต้องติดตามไปร่วมแสดงความเสียใจ ใช่แล้ว ตามหลักแล้วเจ้าก็ต้องไปหรือเปล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “อย่างไรก็ต้องไปปรากฏตัวอยู่แล้ว”
ระหว่างที่พูด เหยาเหยียนอี้ส่งคนมาดั่งที่คาด บอกว่าจวนติ้งโหวจัดงานศพและจะปลงศพในอีกสามวันข้างหน้า ในเมื่อมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวดองกันก็ต้องไปร่วมแสดงความเสียใจ จึงสั่งให้คุณหนูรองเก็บข้าวของวันนี้แล้วเดินทางกลับเมืองหลวง
“เห็นไหม บอกว่ามาก็มาจริงๆ” เหยาเยี่ยนอวี่วางถ้วยน้ำแกงลงแล้วยิ้มอย่างจนใจให้หันหมิงชั่น
“นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้” หันหมิงชั่นขานเรียกซูหยิ่งและชุ่ยเวยเข้ามาแล้วสั่งให้พวกนางเก็บของเตรียมตัวกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น
จวนติ้งโหวต่างก็ยุ่งกับงานศพขององค์หญิงต้าจั่ง โลงศพ ผ้าคลุมศพ และอื่นๆ ต่างก็เตรียมเสร็จตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็แค่ทำตามกฎระเบียบและขั้นตอนที่วางไว้ก็พอแล้ว
ฮ่องเต้ได้รับข่าวคราวจึงรับสั่งให้องค์ชายใหญ่เป็นตัวแทนมาจุดธูปทำพิธีเซ่นไหว้ ส่วนพระสมัญญานามขององค์หญิงต้าจั่งก็จะมีขุนนางฝ่ายบุ๋นสองสามคนช่วยกำหนด องค์หญิงต้าจั่งมากปัญญา จึงเป็นพระสมัญญานามขององค์หญิงต้าจั่ง ซูกวงฉงน้อมรับพระราชโองการพลางแสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแล้วสั่งให้คนทำป้ายบูชาบรรพบุรุษตามพระสมัญญานามที่กำหนด
คนในจวนติ้งโหวมัวยุ่งกับงานศพจนจนไม่มีเวลาว่างเว้น มีเพียงเหยาเฟิ่งเกอในเรือนฉีเสียงที่ยังคงเงียบงันผิดปกติ
ที่นี่นอกจากแขวนผ้าขาวแล้ว ผ้าห่อหุ้มสีแดงของทารกซูจิ่นเย่ว์ก็ถูกห่อด้วยผ้าสีขาวอีกหนึ่งชั้น นอกจากนั้นก็ไม่ค่อยสิ่งอื่นใดเปลี่ยนแปลง แค่ว่าข้ารับใช้ที่อยู่ในเรือนต่างก็ถูกสั่งให้ไปช่วยงานศพตรงเรือนหน้า จึงทำให้ที่นี่เงียบสงบลงไม่น้อย