หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 275 จวนแม่ทัพจัดงานมงคล จวนซูจัดงานไว้อาลัย (4)
จั๋วอวี้พลันปฏิเสธกลับทันที “ทำเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ หากคุณหนูรู้ต้องตำหนิบ่าวจวนตายแน่เลย”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดขึ้น “เจ้าอย่ามากความเลย หากคนเดินไปเดินมาเห็นเข้าก็คงจะนึกว่าพวกเราทำเรื่องไม่ดีอะไรกับเจ้าอีก เจ้าแค่จดจำในสิ่งที่ข้าพูด แค่อย่าปล่อยให้สุขภาพร่างกายของคุณหนูพวกเจ้าย่ำแย่ก็พอแล้ว หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้มีทางไปที่ดี”
จั๋วอวี้พลันค้อมตัวตอบกลับ “คำพูดของคุณหนูบ่าวจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ”
ทางฝั่งหนิงฮูหยินน้อยก็พูดจาเกรงใจกับแขกเหรื่อสองสามคำแล้วอ้างว่าจะไปเยี่ยมเหยาเฟิ่งเกอจึงลุกขึ้นกล่าวอำลา เหยาเยี่ยนอวี่รีบตามไปด้วย ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังเรือนฉีเสียง
เหตุเพราะเหยาเฟิ่งเกออยู่เดือนยังไม่ถึงสิบสองวันจึงลงมาเหยียบบนพื้นไม่ได้ด้วยเหตุนี้นางเลยไม่ได้ไปร่วมไว้อาลัยด้วย ทว่าตนเองที่อยู่ในเรือนก็สวมใส่ชุดไว้ทุกข์ ปิ่นบนศีรษะก็เป็นสีเงิน แม้กระทั่งผ้าคาดหน้าผากยังเป็นสีงาช้าง
หนิงฮูหยินน้อยเข้าไปก็มองสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอก่อนแล้วค่อยไปดูยัยหนูน้อย หลังจากเอ่ยถามแม่นมเกี่ยวกับเรื่องของยัยหนูน้อยแล้วค่อยนั่งลงดื่มชา
ด้วยเหตุนี้เหยาเฟิ่งเกอจึงสั่งการ “ไปล้างแตงไทยที่อยู่ด้านหน้าให้สะอาด แล้วหั่นแช่น้ำแข็งให้น้องรองกิน”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นสีหน้าของเหยาเฟิ่งเกอถือว่าสบายดี ด้วยเหตุนี้จึงพูด “ช่วงที่พี่สาวอยู่เดือนก็เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ท่านยิ่งต้องบำรุงดูแลสุขภาพให้ดี ในตำราโบราณกล่าวว่าสตรีอยู่เดือนนั้นดีกว่าเกิดใหม่เสียอีก การบำรุงสุขภาพตอนอยู่เดือนให้ดี โรคที่สะสมอยู่ในร่างกายก็ถูกขจัดออกมาด้วย”
เหยาเฟิ่งเกอตอบกลับยิ้มๆ “คำพูดของน้องสาวข้าต้องฟังอยู่แล้ว”
พวกนางสามคนจึงพูดคุยเล่นกันไปสองสามคำ หนิงฮูหยินน้อยจึงเอ่ยถาม “เรื่องขององค์หญิงต้าจั่ง ต่อให้ใช้เวลาหนึ่งเดือนก็คงสะสางไม่หมด ถึงเวลาตอนส่งศพไปที่สุสานบรรพบุรุษ เจ้าก็คงออกจากการอยู่เดือนแล้ว เกรงว่าคงต้องติดตามไปด้วย เย่ว์เจี่ยเอ๋อร์ยังเด็กขนาดนั้น เกรงว่าคงจะออกไปไหนไม่ได้ ถึงเวลาก็อุ้มนางมาไว้ข้างกายข้าเถอะ ข้าจะช่วยดูแลวันสองวันเอง”
เหยาเฟิ่งเกอพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้ากำลังคิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน แค่ได้ยินมาว่าแม่ทัพเว่ยเลือกวันมงคลที่จะสู่ขอน้องสาวเข้าจวนในวันที่สิบหกเดือนเก้า จึงกลัวว่าพี่สะใภ้จะยุ่ง หากส่งยัยหนูน้อยไปให้กลัวว่าจะเป็นการสร้างภาระให้ท่าน”
“มีแม่นมอยู่ข้าก็แค่คอยดูอยู่ห่างๆ ก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นการสร้างภาระอะไร เด็กที่ยังเล็กเช่นนั้น หากให้เดินทางตามไปที่สุสานบรรพบุุรุษทั้งไปและกลับ หากเกิดป่วยขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นลอยๆ “อีกอย่าง สุสานบรรพบุรุษของตระกูลซูก็ไม่ไกลนัก ไปกลับก็ใช้เวลาสองสามวัน รอให้เจ้ากลับมาข้าค่อยคืนยัยหนูน้อยให้เจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงงัน กำลังคิดว่า องค์หญิงต้าจั่งสิ้นพระชนม์ งานสมรสของตนเองไม่จำเป็นต้องเลื่อนหรือ
หนิงฮูหยินน้อยถามขึ้นยิ้มๆ “น้องรองกำลังคิดอะไรอยู่”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหัวแล้วยกยิ้ม ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตั้งแต่ออกจากจวนติ้งโหว เหยาเยี่ยนอวี่ก็เอ่ยถามเรื่องที่ตนกังวลในใจกับหนิงฮูหยินน้อย หนิงฮูหยินน้อยได้ยินจึงตบมือของเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยรอยยิ้มแล้วเปรยขึ้น “การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงต้าจั่งก็เป็นเพียงงานศพของตระกูลซูเท่านั้น ตระกูลของพวกเราและจวนติ้งโหวแม้จะเกี่ยวดองกัน ทว่าพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นเพียงหลานสะใภ้ขององค์หญิงต้าจั่ง หากไว้อาลัยจริงๆ ก็แค่ปีเดียวเท่านั้น เจ้าไม่ได้ยินว่าหลังจากหนึ่งปีผ่านไปท่านซื่อจื่อก็เข้าเรือนหอกับอนุภรรยาคนใหม่ได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้น งานสมรสของเจ้ากับแม่ทัพเป็นงานสมรสพระราชทาน ในพระราชโองการของฮ่องเต้ก็ระบุไว้แล้ว อยากให้พวกเขาเลือกฤกษ์แต่งงานให้ไวที่สุด หรือว่าเจ้ายังอยากให้แม่ทัพเว่ยรอต่อไป?”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างอึดอัดใจ ภายในใจคิดว่าตนใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสิบปีแล้ว เรื่องบางอย่างก็ยังไม่เข้าใจเสียที ความสัมพันธ์ของคนเหล่านี้และกฎระเบียบในงานเฉลิมฉลองต่างๆ ช่างยุ่งยากซับซ้อนเกินไปแล้ว
พอกลับถึงจวนกลับเห็นเสาตรงหน้าประตูมีม้าพันธุ์ดีผูกไว้สองตัว เหยาเหยียนอี้จึงเอ่ยถาม “ใครมา”
ข้ารับใช้ที่เฝ้าประตูพลันตอบกลับ “จวนแม่ทัพสั่งให้คนมาขอรับ บอกว่าในจวนกำลังจะซ่อมบำรุงใหม่ จึงอยากมาถามความเห็นของนายท่านขอรับ”
เหยาเหยียนอี้ได้ยินจึงพยักหน้า “อืม ถึงเวลาวัดขนาดของเรือนแล้วสิ แล้วใครมาล่ะ พวกเขาอยู่ที่ใด”
ข้ารับใช้ตอบกลับ “รองแม่ทัพเฮ่อและพ่อบ้านเอกจวนแม่ทัพเว่ยขอรับ พวกเขามาถึงสักพักแล้ว กำลังยกน้ำชาให้คอยที่ห้องโถงขอรับ”
“อ้อ? ใครอยู่เป็นเพื่อน” เหยาเหยียนอี้เอ่ยถามไปด้วยและเดินไปด้านหน้าในขณะเดียวกัน
“ลุงเฝิงขอรับ”
“นี่มันบังเอิญเกินไปหรือเปล่า เขามีเวลามานี่ได้อย่างไร”
“ลุงเฝิงบอกว่ามีเรื่องจะมารายงานคุณหนูรองขอรับ”
“ได้ เจ้าไปเถอะ” เหยาเหยียนอี้ผายมือแล้วสาวเท้าไปที่ห้องโถงหลัก
เฮ่อซีและฉังเหมาเห็นเหยาเหยียนอี้จึงรีบลุกขึ้นแล้วประสานมือคารวะทันที เฮ่อซีคือรองแม่ทัพเอกที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเว่ยจาง อายุเยอะกว่าแม่ทัพเว่ยสองปี เป็นบุรุษที่สุขุมยิ่งนัก พอเห็นเหยาเหยียนอี้จึงยกมือคารวะพร้อมขานเรียกด้วยความเคารพ “ใต้เท้าเหยา”
เหยาเหยียนอี้พลันยกมือคารวะกลับ “เชิญรองแม่ทัพเฮ่อนั่งก่อนเถอะ!” ขณะที่พูดก็หันไปตำหนิสาวใช้ชั้นล่าง “ไปเอาหลงจิ่งจากเขตตอนใต้ชงให้ท่านรองแม่ทัพเฮ่อและพ่อบ้านเอกสองถ้วย”
สาวใช้ชั้นล่างรับคำทันทีแล้วหันไปมองหนิงฮูหยินน้อยและเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังยิ้มอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียง ดังนั้นจึงรีบค้อมตัวขานเรียก “ฮูหยินน้องรองเจ้าคะ คุณหนูรองเจ้าคะ”
“ไปรินน้ำชาเถอะ” หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้นยิ้มๆ
สาวใช้ชั้นล่างค้อมตัวถอยออกมาเหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นลอยๆ “เหนื่อยจวนตายแล้ว พี่สะใภ้ยังไม่กลับไปอีกหรือ”
หนิงฮูหยินน้อยเอ่ยถามยิ้มๆ “เจ้าไม่อยากฟังว่าพวกเขาคุยอะไรกันหรือ”
“มีอะไรน่าฟังเล่า” เหยาเยี่ยนอวี่บอกสิ่งที่ต้องการของตนเองให้เฝิงโหย่วฉุนไปนานแล้ว ไหนๆ เมื่อครู่เหล่าเฝิงเป็นคนนั่งเป็นเพื่อนแขกเหรื่อ ตอนนี้เกรงว่าคงจะพูดคุยกันอย่างชัดเจนแล้ว ที่เหลือก็รอให้พวกเขาไปจัดการเถอะ ตนเองแค่ต้องการกระจกบานใหญ่ที่โปร่งใสเท่านั้น ช่วงคิมหันตฤดูได้ชมทิวทัศน์ด้านนอก ช่วงเหมันตฤดูก็จะได้อาบแดด
ในห้องโถงหลัก เหยาเหยียนอี้และเฮ่อซีกล่าวด้วยความเกรงใจไปสองสามประโยคจึงพูดอย่างรื่นเริง “วันรุ่งขึ้นให้เหล่าเฝิงไปจวนแม่ทัพ ไปวัดขนาดของเรือนแต่ละเรือน ส่วนสินเดิมเจ้าสาวพวกเราเตรียมเสร็จแต่เนิ่นๆ แล้ว แค่จะจัดวางในห้องอย่างไรก็ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ หากจัดวางของตามขนาดของเรือน ถึงเวลาตอนที่ขนของเข้าไปจะได้จัดระเบียบเสร็จภายในวันเดียว”
เฮ่อซีพูดด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเหยาพูดถูก วันนี้พวกเราก็มาตามคำสั่งของแม่ทัพเพื่อถามความเห็นของใต้เท้าเหยา ทางฝั่งของพวกเราก็จัดเตรียมเสร็จแต่เนิ่นๆ แล้วจริงๆ ก็ไม่กลัวว่าใต้เท้าเหยาจะรู้สึกขบขันหรอก พวกเราล้วนเป็นคนถ่อย เกิดมาเพื่อพาทหารออกรบ ทั้งวันก็รู้แต่ว่าจะสังหารผู้คนอย่างไร จึงไม่เข้าใจเรื่องที่มีรสนิยมพวกนี้ เกรงว่าหากซ่อมบำรุงสิ่งปลูกสร้างตามนิสัยและความชอบของพวกเราจะทำให้ว่าที่ฮูหยินแม่ทัพไม่พอใจ!”
เหยาเหยียนอี้ฟังจบจึงหัวเราะเสียงดังแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไร ก็แค่จัดเรือนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก็พอแล้ว ส่วนผ้าห่มมุ้งและของใช้ เครื่องเงิน ทอง หรือโลหะทองแดง เป็นเรื่องของทางเรา พวกเราก็เตรียมแต่เนิ่นๆ แล้ว ข้ายังคงคงคำเดิม พวกเราแค่ต้องการให้คนไปวัดขนาดของเรือนแล้วกลับมาคำนวณดู พอถึงวันมงคลจะขนของทั้งหมดไป”
“ตกลงตามนี้! มีคำพูดนี้ของใต้เท้าเหยา พวกเรากลับไปรายงานให้ท่านแม่ทัพให้รับทราบได้แล้ว” เฮ่อซีพลันประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม
พอเห็นว่าฟ้าก็มืดมัวลงแล้ว เหยาเหยียนอี้จึงเชิญพวกเขาอยู่กินข้าว
เฮ่อซีพลันลุกขึ้นแล้วพูดขึ้น “ข้ายังต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพ ส่วนเรื่องกินข้าว ข้าจะจดจำไว้ รอให้หายยุ่งข้าจะเป็นเจ้ามือเชิญใต้เท้าเหยาไปดื่มด้วยกันให้หนำใจ”
เหยาเหยียนอี้ก็ไม่ได้รั้งไว้อย่างดื้อดึง จึงส่งคนไปถึงนอกประตู เฮ่อซีและฉังเหมาพูดอย่างพร้อมเพรียงว่าส่งถึงที่นี่ก็พอ จากนั้นทั้งสองต่างก็ควบหลังม้าจากไป