หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 293 รักษาองค์ชายอย่างฉุกเฉิน (5)
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่พูด ฮ่องเต้ เหยาเหยียนอี้ และเฟิงจงเยี่ยก็เข้ามาในเรือนแล้ว ดังนั้นนางจึงรีบหยุดพูดแล้วถวายบังคมฮ่องเต้
ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์และพูดขึ้น “พูดต่อเถอะ เจิ้นอยากฟัง”
ดังนั้นคุณหนูเหยาจึงทูลขึ้นต่อ “อย่างไรผู้ป่วยกินยาต้มหรืออาหารที่บำรุงเลือดนั้นต้องใช้เวลานานถึงจะเห็นผล หากได้รับบาดเจ็บแสนสาหัสคงไม่ทันแน่นอน ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าก็คงจะเจาะเลือดจากญาติที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บบำรุงเลือดได้หรือเปล่า จะได้ทำให้บาดแผลฟื้นฟูเร็วขึ้น อย่างไรผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงแค่ไม่ต้องเสียเลือดมากเกินไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของร่างกาย กลับบ้านไปแค่กินของบำรุงร่างกายให้มากหน่อยร่างกายก็จะกลับมาสมบูรณ์เองเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นต่อ “เช่นนั้นเหตุใดถึงต้องถ่ายเลือดจากพี่น้อง”
เหยาเยี่ยนอวี่ทูลกลับ “ทูลฮ่องเต้ ตั้งแต่มนุษย์บันทึกประวัติศาสตร์ ก็ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือด นิยามของความสัมพันธ์ทางสายเลือดคือญาติเลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ว่ากันว่าความสัมพันธ์ของบิดามารดาและบุตรหลาน และความสัมพันธ์ของพี่น้องไม่มีทางขาดสายได้ บิดามารดาเป็นผู้มอบร่างกายของบุตรหลาน จึงทำให้ร่างกายของพี่น้องที่มีบิดาและมารดาเดียวกันคล้ายคลึงกันที่สุด ตั้งแต่รูปลักษณ์หน้าตาจนถึงนิสัยใจคอ ถึงแม้จะไม่เหมือนกันทั้งหมดทว่าก็มีส่วนคล้าย เลือดก็เช่นกัน เลือดระหว่างพี่น้องแม้กล่าวไม่ได้ว่าเหมือนกันทั้งหมด ทว่ากลับเป็นญาติที่สนิทที่สุดและคล้ายคลึงที่สุดเพคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดไปก็มองสีหน้าของฮ่องเต้ไปด้วย ผู้สูงสุดที่มีอำนาจใหญ่หลวงในการควบคุมและตัดสินความเป็นความตายของคนใต้หล้านี้ยังฟังนางอย่างเคลิบเคลิ้ม จึงทูลขึ้นต่อ “ดังนั้นเวลานี้ก่อนอื่นต้องนึกถึงพี่น้องหรือไม่ก็บิดามารดาและบุตรหลาน แต่ว่าไม่ใช่ว่าทุกคนในตระกูลจะให้เลือดกับอีกฝ่ายได้เสมอเ พราะว่าเลือดของมนุษย์มีส่วนผสมอย่างหนึ่ง หม่อมฉันเรียกชั่วคราวว่าสารที่กระตุ้นการสร้าง ส่วนสารกระตุ้นการสร้างแบ่งเป็นสองชนิด บางคนมีเพียงชนิดเดียว บางคนมีทั้งสองชนิด ส่วนบางคนไม่มีทั้งสองชนิด หากผสมปะปนกันไปเรื่อยเปื่อยก็จะทำให้เกิดการจับลิ่มของเลือด พอเลือดจับลิ่มแล้วก็จะทำให้คนตายได้ ดังนั้นก่อนจะถ่ายเลือดต้องทดลองว่าเลือดของทั้งสองฝ่ายมีการจับลิ่มของเลือดขึ้นหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้ว่าไม่ควรมากความ หากพูดให้มากความยิ่งกว่านี้ก็อาจทำให้คนพวกนี้สับสน อีกอย่างยังจะทำให้คนอื่นสงสัยในตนเองว่าเหตุใดถึงรู้มากเยี่ยงนี้ เช่นนั้นนางคงจะทำเรื่องที่เสียแรงโดยไม่ได้รับผลประโยชน์ใด
หลังจากฮ่องเต้ได้ยินคำพูดเหล่านี้จึงนิ่งงันไปสักพักเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มอย่างฉับพลันแล้วพูดขึ้น “เจิ้นฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แม้กระทั่งยังรู้สึกไม่เข้าใจ ทว่าก็ช่างมันเถอะ เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เจิ้นควรกังวลพระทัย จางชางเป่ย เจ้าอยู่ต่อที่นี่เพื่อเรียนรู้เรื่องนี้กับคุณหนูเหยา หากเข้าใจแล้วก็ค่อยกลับมาอธิบายให้เจิ้นฟัง”
จางชางเป่ยกำลังคิดจะหาข้ออ้างอะไรในการอยู่ต่อที่นี่เพื่อวิเคราะห์อุปกรณ์เหล่านั้นของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างละเอียด เขานึกว่าตนเองมีความสามารถทางการแพทย์ที่น่าภาคภูมิใจอย่างมาก วันนี้กลับถูกยัยหนูน้อยคนหนึ่งหักหน้ามาสองครั้ง ต่อให้มีหัวใจที่แก่เฒ่าเพียงใดก็ทนกับความทรมานเช่นนี้ไม่ได้ จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ตอนหนุ่มเกิดขึ้นอีกครั้ง
พอได้ยินฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ผู้เฒ่าจางจึงหายโกรธแล้วคุกเข่าหมอบกราบ “กระหม่อมชางเป่ยน้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ข้างๆ ลอบกลอกตามองบน เยี่ยมจริงๆ ตนมีศิษย์พระราชทานเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนในชั่วพริบตา!
ขงจื่อเคยกล่าวว่าชีวิตมนุษย์เหมือนผู่กงอิง ดูเหมือนเป็นอิสระ แท้จริงแล้วกลับไม่ได้ทำตามความต้องการของตนเองเลย “ขงจื่อเกรี้ยวโกรธ: ข้าไม่เคยกล่าวมาก่อน!”
นี่ก็ผ่านไปแค่ครู่เดียวเท่านั้น ผู้ที่นึกว่าตนเองเป็นขุนนางหมอขั้นที่หนึ่งที่เก่งกาจที่สุดในสำนักหมอหลวง หมอหลวงจางกลับกลายเป็นศิษย์ของแม่นางตัวเล็กคนหนึ่งแล้วจริงๆ!
พระราชโองการนี้ของฮ่องเต้ทำเอาอัครเสนาบดีและใต้เท้าเหยาต่างสะดุ้งตกใจ ทว่าพอมาครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้วก็เข้าใจขึ้นมาอีกครั้ง
อัครเสนาบดีเฟิงคิดว่าฝีมือการแพทย์ของคุณหนูเหยาคนนี้ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ต้องให้คนมาเรียนรู้กับนางดีๆ เสียแล้ว คงปล่อยให้ตระกูลของนางเติบโตมีอำนาจใหญ่หลวงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นตอนจากนางไปในวันข้างหน้าเรื่องนี้ก็คงจะจัดการได้ยาก!
เหยาเหยียนอี้กำลังครุ่นคิด มีจางชางเป่ยที่เป็นเครื่องรางของขลังนี้ ความเห็นนั้นของน้องสาวคงได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้แล้วละ วันข้างหน้าหากมีใครขุดเรื่องนี้มาจู่โจมตระกูลเหยาก็คงเป็นปัญหาที่ตระกูลของตนจะจัดการได้อย่างง่ายดายแน่นอน
คืนนี้ พวกเขายุ่งวุ่นวายกันมาตลอดคืน ช่างเป็นคืนที่อกสั่นขวัญเสียจริงๆ
เวลานี้เหยาเหยียนอี้ที่มีฐานะเป็นเจ้าบ้านก็ต้องพูดอะไรหน่อย เขาเดินหน้ามาสองก้าวแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้พร้อมทูลอย่างจริงใจ “ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ฟ้าสาง แล้วปี้เซี่ยะยุ่งมาทั้งคืนเช่นนี้ทรงเหน็ดเหนื่อยน่าดู กระหม่อมจะสั่งให้คนไปจัดเรือนพำนัก แม้บ้านนาน้อยนี้ค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม แต่ได้โปรดฮ่องเต้ทรงพระบรรทมสักพักเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจแล้วตรัสขึ้น “ได้ เจ้าสาม ยังไม่ต้องกลับเมืองหลวง อยู่ต่อที่นี่ เจิ้นมีเรื่องจะให้เจ้าไปจัดการ”
ทุกคนต่างก็รับคำ ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสด็จไปก็เดินไปตรงหน้าตั่งไม้พลางมององค์ชายหกที่ยังคงสลบอยู่แล้วถามว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของตนจะฟื้นขึ้นมาเมื่อใด เหยาเยี่ยนอวี่ทูลว่าองค์ชายหกคงจะนอนอีกสักพัก ราวๆ ห้าหกชั่วยามถึงจะตื่น
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนี้จึงรู้สึกวางพระทัย เขาพยักหน้าแล้วเดินตามเหยาเหยียนอี้ออกไป
หลังฮ่องเต้เสด็จจากไป อัครเสนาบดีเฟิงจึงอดทนกับความเหนื่อยไม่ไหวอีกต่อไป เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบกว่าปีคนนี้ต้องทนกับความยากลำบากเช่นนี้ ภายในใจจึงทนดูไม่ได้ นางเลยรีบสั่งการชุ่ยเวย “รีบพาใต้เท้าอาวุโสท่านนี้ไปพักที่ห้องรับแขกก่อนเถอะ”
อัครเสนาบดีพลันประสานมือคารวะ “ขอบคุณคุณหนูเป็นอย่างยิ่ง”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “ใต้เท้าไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ ที่นี่เป็นเพียงบ้านนาเก่าๆ ที่เรียบง่าย ใต้เท้าแค่เพียงนอนพักสักพักก็พอแล้ว ชุ่ยผิง ไปที่โรงครัว สั่งให้พวกเขาจัดเตรียมอาหารที่ย่อยง่ายไว้ให้ฮ่องเต้และอัครเสนาบดีที”
ชุ่ยผิงรับคำแล้วค้อมตัวถอยออกไป ดังนั้นในเรือนนี้จึงเหลือแต่เพียงอวิ๋นยิงที่สลบอยู่กับจางชางเป่ยและเหยาเยี่ยนอวี่สามคน
“คุณหนูเหยา เรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายเลือด ข้าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก” เวลานี้จางชางเป่ยกำลังรู้สึกกะปรี้กะเปร่าและอยากจะถือโอกาสดีในการทำความเข้าใจเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่ง
เหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกเหนื่อยแทบตาย ทว่าหากไม่คุยกับผู้เฒ่าคนนี้ก็ฝ่าฝืนพระราชโองการ ดังนั้นจึงพาเขาไปตรงหน้าอุปกรณ์ของตนเองแล้วเอาตัวอย่างเลือดของก่อนหน้านี้มา พร้อมกับเอาเลือดขององค์ชายทั้งสองมาให้หมอหลวงผู้เฒ่าดู พลางบอกขั้นตอนทดลองการจับลิ่มเลือดให้เขาฟัง จากนั้นก็พูดขึ้น “หมอหลวงจาง ท่านเองก็ลองดู ดูว่าการจับลิ่มของเลือดที่ข้าพูดถึงคืออะไรกัน สารที่กระตุ้นการสร้างมีสามชนิด ทำให้เกิดกลุ่มเลือดสี่ชนิด ไม่ต้องให้ข้าพูดท่านก็คงจะเข้าใจเอง ท่านค่อยๆ ทำความเข้าใจเถอะ ข้าขอไปนอนพักก่อนได้หรือไม่”
“ได้!” จางชางเป่ยตอบกลับด้วยความเต็มใจ “คุณหนูไปนอนพักเถอะ ข้าจะได้เฝ้าองค์ชายหกไปด้วย แล้วถือโอกาสทำความเข้าใจว่าอะไรคือลิ่มเลือดด้วย”
เว่ยจางตื่นแต่เช้าก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ ทรงรับสั่งให้เขาไปเชิญเสด็จที่บ้านนาน้อยวัวจวู ทันใดนั้นแม่ทัพเว่ยจึงตะลึงงันทันที ฮ่องเต้ไปอยู่ในบ้านนาน้อยของเหยาเยี่ยนอวี่ได้อย่างไร
ผู้ที่มารายการพระราชโองการของฮ่องเต้คือทหารรักษาการณ์ลับคนสนิทของฮ่องเต้ แน่นอนว่าต้องไม่พูดอะไรกับเขาอยู่แล้ว ดังนั้นแม่ทัพเว่ยจางจึงรีบแต่งกายแล้วตามคนที่มาเยือนออกนอกเมืองพร้อมกัน
เวลานี้ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้วแต่ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ในยามเช้า ท้องฟ้าปรากฏภาพสีฟ้าครามเข้มออกมาอย่างชัดเจนดั่งผ้าต่วน
เว่ยจางเห็นประตูบ้านนาน้อยวัวจวูเปิดไว้ ต้นไม้ด้านข้างมีทหารรักษาการณ์ลับหลายนายซ่อนอยู่ บ้านนาน้อยเงียบสงบยิ่งนัก นอกจากเสียงนกร้องแล้ว แม้กระทั่งเสียงสุนัขหอนก็ยังไม่ได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเงาคน
ตลอดทางที่เดินไปถึงเรือนหลัก เว่ยจางไม่ต้องมองซ้ายแลขวาก็รู้ว่ารอบทิศมีคนซ่อนตัวอยู่สิบกว่าคน ทุกคนล้วนเป็นทหารรักษาการณ์ลับของฮ่องเต้