หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 295 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (2)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 295 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (2)
เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่ได้กำชับไว้แล้วว่ากระเพาะขององค์ชายหกได้รับบาดเจ็บจึงกินอาหารไม่ได้ ทว่าที่นี่ไม่มียาบำรุงที่เป็นของเหลว ดังนั้นทำได้เพียงให้เขากินน้ำข้าวที่ใสจนคล้ายน้ำเปล่า ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่เข้ามา ขันทีน้อยคนสนิทขององค์ชายหกกำลังป้อนเขาดื่มน้ำข้าวพอดี
ฮ่องเต้ที่อยู่ข้างๆ ทอดพระเนตรไปยังบุตรชาย แล้วรู้สึกทั้งเอ็นดูทั้งทนดูไม่ได้
จางชางเป่ยยืนอยู่ด้านข้างกลับทำสีหน้าที่ตื่นเต้น เมื่อวานยังเหมือนคนใกล้สิ้นใจ วันนี้กลับดื่มน้ำข้าวได้แล้ว!
ฮ่องเต้เห็นเหยาเยี่ยนอวี่ คำแรกที่ตรัสก็คือ “คุณหนูเหยา เจ้ามองสีหน้าที่ซีดเซียวของเจ้าหกและสภาพที่กินอาหารไม่ได้สิ ควรเติมเลือดให้เขาหน่อยไหม เจ้าเห็นว่าใครเหมาะสมที่จะให้เลือดเขา พวกเราก็ใช้เลือดคนนั้นเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบสนองแทบไม่ทัน อะไรคือใครเหมาะสมที่จะให้เลือดเขาก็ใช้เลือดคนนั้น? ฮ่องเต้เห็นว่าการเติมเลือดคือการกินข้าวหรือไรอะไร อร่อยก็กินอะไรหรือ
พอเปรยเงียบๆ จบ เหยาเยี่ยนอวี่พลันโค้งลำตัวทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท ไม่จำเป็นแล้วเพคะ เตี้ยนเซี่ยะหกมีร่างกายที่อ่อนแอก็ไม่เพียงแต่เป็นเพราะเสียเลือดมาก ร่างกายได้รับบาดเจ็บและพลังงานหลายด้านอ่อนแอ แต่ถ้าบำรุงร่างกายก็จะค่อยๆ กลับมาดีขึ้นเพคะ”
“อืม เช่นนั้นก็ทำตามที่คุณหนูเหยาบอก” ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วมองบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนอีกคราพร้อมเปรยขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูเหยา เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้าหกของเจิ้น เจิ้นต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมาก เจ้าพูดมา อยากได้อะไรเป็นของบำเหน็จ”
ของที่ข้าอยากได้เยอะมาก! ข้าอยากได้เงิน อยากได้เงินเยอะมากๆ อยากได้บ้าน อยากได้บ้านใหญ่ๆ…คุณหนูเหยาแอบพร่ำบ่นในใจ สิ่งที่เกลียดชังที่สุดก็คือหน้าตาของผู้สูงส่งท่านนี้เหมือนทุกอย่างใต้หล้านี้ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
ไม่ว่าภายในใจอยากจะฉีกหน้าเขามากเพียงใด แต่ใบหน้าของคุณหนูยังคงแต้มด้วยความเคารพ นางจึงค้อมตัวทูลกลับอีกครั้ง “ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ นี่เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรกระทำ มิบังอาจหวังของบำเหน็จใดๆ เพคะ”
“เจ้ากลับเป็นคนที่ไร้ความกังวลจริงๆ” ฮ่องเต้เดินวนรอบเรือนเล็กๆ นี้หนึ่งรอบแล้วเปรยขึ้น “ของพวกนี้ของเจ้าดูเหมือนต้องสร้างขึ้นด้วยความประณีตเป็นพิเศษ คงจะลงแรงไปไม่น้อยใช่ไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ชำนาญด้านภูมิปัญญาจีน และโปรดปรานในสิ่งนี้ บิดาและพี่ชายก็รักและเอ็นดูในหม่อมฉัน ดังนั้นจึงปล่อยให้หม่อมฉันทำการพวกนี้เพคะ”
ฮ่องเต้เดินไปตรงหน้าอุปกรณ์ที่วางเต็มไปหมดแล้วเอาหลอดทดลองขึ้นมาหนึ่งอัน จากนั้นก็สังเกตมองอย่างละเอียดแล้วเอ่ยถามด้วยความน่าสนใจ “เจ้าขอสูตรลับการผลิตกระจกจากคนต่างแดนในก่อนหน้านี้ก็เพื่อที่จะทำสิ่งนี้?”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบทูลกลับอีกครั้ง “ทูลฝ่าบาท ความคิดในตอนแรกคือเช่นนี้ แต่หลังๆ มาหม่อมฉันเห็นช่างหลอมกระจกพวกนั้นสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาได้มากมาย ล้วนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน ต้นทุนของต่างๆ ไม่แพงมาก และยังดูงดงาม ดังนั้นจึงคิดว่าแค่ทำอุปกรณ์พวกนี้ขึ้นก็คงจะน่าเสียดายน่าดู หม่อมฉันคงสั่งให้เหล่าช่างหลอมกระจก วาดของใช้บนโต๊ะอาหาร และลองผลิตขึ้นมาดู กลับทำให้ของใช้เหล่านี้มีความพิเศษในอีกแบบ ดังนั้นหม่อมฉันกำลังคิดว่าหากหาค่าตอบแทนให้เหล่าช่างหลอมกระจกได้มากขึ้นมาหน่อย หม่อมฉันก็คงไม่ต้องดิ้นรนมากเช่นนี้”
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดนี้จึงอดแย้มพระสรวลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นตั้งบุตรีของข้าใหญ่หลวงผู้ปกครองสองเมืองก็ต้องดิ้นรนกับเขาด้วยหรือ”
“ฮ่องเต้ทรงตรัสได้ขบขันมากเพคะ สุภาษิตกล่าวว่านั่งกินนอนกินสมบัติเก่าจนหมดเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเหลือจะรับ รักษาบุตรชายของท่านให้แล้ว อย่าว่าแต่ต้องการเบี้ยตอบแทนเลย แม้กระทั่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ข้าก็ยังไม่กล้าขอ แล้วจะไม่ดิ้นรนได้อย่างไร
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลจางๆ แล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจิ้นพักผ่อนอยู่ทางโน้นเห็นแจกันอันประณีตอันหนึ่ง ยังนึกว่าเป็นผลึก แต่ตอนนี้คิดว่าไม่น่าใช่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบทูลกลับ “ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก นั่นคือกระจกเพคะ”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอีกครั้ง “ดูท่าแล้วไม่เลว กลับไปเจิ้นจะบอกเฉิงอ๋องให้ฝ่ายจงเจิ้งส่งของกำนัลและเงินมาให้เจ้า ตอนตรุษจีนเจิ้นก็อยากเพิ่มของใช้ใหม่ๆ อยู่เช่นกัน”
ตอนนี้เยี่ยนอ๋องเป็นผู้ดูแลฝ่ายจงเจิ้งรับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องภายในราชวงศ์ ปัจจัยสี่ของฮ่องเต้และนางสนมแต่ละระดับในวังล้วนเป็นฝ่ายจงเจิ้งที่จัดการ ถ้อยคำเดียวของฮ่องเต้ก็ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่ทำการค้าขายครั้งใหญ่ได้
“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาทเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่หมอบกราบลง
“อย่าเพิ่งรีบขอบพระทัยอะไรเลย” ฮ่องเต้แย้มพระสรวล “เจิ้นรู้สึกว่าของพวกนี้หากเอาไว้ในบ้านนาน้อยนี้คงเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก วันสมรสของเจ้าก็ใกล้เข้ามาแล้ว อนาคตหากแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินท่านแม่ทัพก็คงเดินทางมาที่บ้านนานี้ทุกวันไม่ได้หรือเปล่า ของพวกนี้ของเจ้า…” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์แล้วชี้ไปยังอุปกรณ์ที่อยู่ริมหน้าต่าง “เจ้าย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงเถอะ จวนตระกูลเหยาในเมืองหลวงของเจ้าก็แคบเกินไป เจิ้นมีเงินทองไม่มาก แต่มีจวนที่สองที่ที่ยังว่างอยู่”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตั้งแต่แรก เวลานี้ก็ไม่ต้องลุกขึ้น จึงโขกศีรษะกล่าวขอบคุณทันที
วันนั้นฮ่องเต้ก็เสด็จออกจากบ้านนาวัวจวู เกิดเป็นโอรสสวรรค์ ทุกวาจาและท่าทีของเขาส่งผลกระทบต่อใต้หล้านี้ได้ ดังนั้นไม่มีทางทำอะไรอย่างไม่ระวังตัว อีกอย่าง ระหว่างที่แต่งกายเป็นสามัญชนทั่วไป จู่ๆ ก็หายตัวไปสองวัน เหล่าขุนนางในราชสำนักคงจะแตกตื่นกันแล้ว ต่อให้เฟิงจงเยี่ยที่เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นสูงสุดก็รับผิดชอบหน้าที่นี้ไม่ได้
ตอนจากไป ฮ่องเต้ก็ทรงพาองค์ชายสามกลับ ทว่ากลับให้องค์ชายหกและจางชางเป่ยอยู่ต่อ ทั้งตบท้ายด้วยคำพูดประโยคหนึ่งกับเหยาเหยียนอี้ “ฝากเหยาอ้ายชิงช่วยเจิ้นดูแลเจ้าหกด้วย”
เหยาเหยียนอี้จะกล้าไม่ตั้งอกตั้งใจได้อย่างไร นี่เป็นบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของฮ่องเต้ และยังเอาตัวบังลูกเหล็กแทนฮ่องเต้ ตอนนี้ในบรรดาองค์ชายทั้งเจ็ด องค์ชายหกเป็นที่หนึ่งในใจของฮ่องเต้แน่ะ!
เช่นนี้เหยาเหยียนอี้จึงรีบวางกิจธุระในเมืองหลวงลงก่อนชั่วคราวแล้วคอยปรนนิบัติองค์ชายหกท่านนี้ที่บ้านนาน้อยวัวจวู
จางชางเป่ยกลับสมดั่งใจปรารถนา แต่ก่อนหมอหลวงจางเป็นหมอที่เจียงหู เหตุเพราะเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านยาและพิษ ตอนนั้นฮ่องเต้ที่ยังคงเป็นองค์ชายที่เห็นในความสามารถของเขาจึงพาเขามาติดตามอยู่ข้างกายมาเป็นเวลาสามสิบปี
หากพูดว่าไม่รู้สึกโดดเดี่ยวก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ มิเช่นนั้นยอดฝีมือก็คงเป็นกระบี่เก้าเดียวดายไร้กระบวนท่าแล้ว
หลายปีมานี้เขาเห็นหมอหลวงในสำนักหมอหลวงที่มีฝีมือธรรมดาบ้างก็ใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงไปวันๆ บ้างก็แอบใช้วิธีสกปรกเพื่อได้รับผลประโยชน์ พอเห็นคนพวกนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง มาวันนี้มีคนที่ให้อะไรสดใหม่แก่เขาได้ ฮ่องเต้ทรงพระกรุณาธิคุณอนุญาตให้เขาเรียนรู้ต่อที่นี่ หมอหลวงจางจะไม่ดีใจได้อย่างไร!
ชีวิตต่อจากนี้ หมอหลวงจางคงต้องยึดครองอุปกรณ์ทดลองทั้งหมดของคุณหนูเหยาแน่นอน
เดิมทีเขาก็เชี่ยวชาญในการปรุงยาพิษหลากหลายชนิดและยาแก้พิษอะไรเหล่านี้อยู่แล้ว ครั้งนี้ยิ่งเห็นอุปกรณ์ที่น่าใช้ อีกอย่างยาสมุนไพรหลากหลายชนิดก็มีอยู่แล้ว แค่เห็นก็รู้สึกคันไม้คันมือแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่เป็นแพทย์ตะวันตกเมื่อชาติปางก่อนและเคยไปเรียนปริญญาเอกสาขาวิชาการผ่าตัดหัวใจที่ต่างประเทศ หลังจากกลับมาเพราะว่าอุบัติเหตุทางเครื่องบินเลยทำให้ทะลุมิติมาที่แคว้นต้าอวิ๋น ความถนัดของนางในชาติปางก่อน จึงบีบบังคับให้นางเรียนรู้และวิจัยสมุนไพรมาสิบปี ทว่าวิธีแพทย์แผนจีนเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งมากเพียงใด คุณหนูเหยาที่ร่ำเรียนอย่างละเอียดมาสิบปียิ่งได้อ่านและฝึกวิชามามากก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าตัวเองเหมือนไม่เข้าใจอะไรมากมาย ไม่ได้เรียนรู้จนบรรลุ และยิ่งไม่ได้เข้าใจอย่างกระจ่าง วันนี้ผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงเป็นระดับต้นๆ ของวงการหมอหลวงในแคว้นต้าอวิ๋นอยู่ที่นี่ เหตุใดถึงไม่คว้าโอกาสเรียนอะไรจากตัวเขาล่ะ
ดังนั้น ตอนทั้งสองอยู่ร่วมกันจึงพูดคุยตั้งแต่เรื่องยาสมุนไพรจนถึงสรรพสิ่งใต้หล้าที่ส่งผลกระทบเชื่อมโยงเป็นสายระโยงระยาง ตั้งแต่การปรุงยาต้มจนถึงยาเม็ด การรมยาแบบไท่อี่จนถึงวิธีฝังเข็มอู่หลง แม้กระทั่งดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จวบจนถึงอากาศทั้งสี่ฤดูส่งผลอะไรต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ หญิงสาวคนหนึ่งและผู้เฒ่าคนหนึ่งเสวนาอย่างเพลิดเพลินจนองค์ชายหกที่พักรักษาบาดเจ็บอยู่ข้างๆ ทนฟังไม่ได้ ทำได้เพียงสั่งชุ่ยเวยพาคนมายกตนเองออกไปตากแดด