หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 296 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (3)
- Home
- หมอหญิงจ้าวดวงใจ
- ตอนที่ 296 เยี่ยนอวี่ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่งตั้งให้เป็นขุนนางขั้นที่ห้า (3)
หลังจากนั้นจางชางเป่ยก็พูดว่าดีใจยิ่งนักแล้วหยอกล้อเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “สาวน้อย เจ้ายังขาดความสามารถอีกอย่างหนึ่ง มิเช่นนั้นก็ฝากตัวเป็นศิษย์เถอะ ข้าจะได้เอาความรู้ทั้งหมดที่ฝึกมาสอนให้เจ้า เป็นเช่นไรบ้าง”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินจึงลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลแล้วน้อมคำนับจางชางเป่ยให้เป็นอาจาย์ “ลูกศิษย์เหยาเยี่ยนอวี่ขอคารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
“เอ๋?” เดิมทีผู้เฒ่าจางยังหวังว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะเล่นลิ้นกับเขาสักหน่อย ทีแรกหลายวันมานี้ไม่ว่าจะพูดอะไรแม่นางผู้นี้ก็มักจะทำท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนความรู้ทางการแพทย์ในใต้หล้านี้ไม่มีใครเข้าใจมากกว่านางแล้ว ใครจะไปนึกถึงว่านางกลับทำพิธีไหว้อาจารย์เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ได้อย่างเต็มอกเต็มใจเยี่ยงนี้
เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงคุกเข่าบนพื้น กลับเงยหน้ามองผู้เฒ่าคนนี้ด้วยยิ้มที่เบิกบาน “ทำไมหรือ อาจารย์เสียใจภายหลังหรือ หรือว่าเมื่อครู่เรื่องที่บอกให้ข้าฝากตัวเป็นศิษย์เป็นเพียงการโกหกข้า?”
“หืม! ข้าจะโกหกเจ้าไปไยกัน” จางชางเป่ยแค่นเสียงด้วยความภาคภูมิใจ
“เช่นนั้นก็ดี ลูกศิษย์เป็นคนซื่อตรง อาจารย์พูดอะไรข้าก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงหมด” เหยาเยี่ยนอวี่น้อมคำนับอีกครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปสั่งการชุ่ยเวย “ไปเอาชุดมีดที่ข้าสั่งใหม่มาแล้วมอบให้อาจารย์ เนื่องในโอกาสที่ข้าฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์”
ชุ่ยเวยอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ มีดชุดนั้นมีทั้งหมดยี่สิบสี่เล่ม เป็นของรักของหวงของคุณหนู เสียเงินมากไม่ว่า แต่เสียแรงไปไม่น้อย วันนี้คุณหนูกลับให้คนอื่นโดยที่ไม่เคยใช้แม้แต่ครั้งเดียว
ผู้เฒ่าจางรู้สึกสงสัยในมีดผ่าตัดชุดนั้นของเหยาเยี่ยนอวี่มานานแล้ว วันนี้ตนเองก็มีหนึ่งชุด อีกอย่างยังครบครันและน่าใช้กว่า ทันใดนั้นจึงอดกลั้นอาการดีใจไม่ไหว พอตื่นเต้นดีใจเกินไปเลยได้เอาเข็มเงินที่ตกทอดจากบรรพบุรุษออกมาหนึ่งชุดแล้วยังพูดด้วยเสียงลากยาว “ลูกศิษย์เอ๋ย หลายปีมานี้ข้าที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้ออมทรัพย์สินอะไรไว้มากมาย มีเพียงเข็มเงินชุดนี้ที่ข้าได้มาจากอาจารย์ผู้มีพระคุณของข้า วันนี้ข้าจะมอบให้เจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรับถุงหนังกวางที่ดูสกปรกและเปิดดู ทันใดนั้นก็รู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
เข็มเงินชุดนี้ช่างล้ำค่ายิ่งนัก มีทั้งอันยาวและอันสั้น อันแบนและอันเหลี่ยม รูปร่างของเข็มเงินด้านในเหมาะสมแก่การใช้ฝังเข็มได้ในหลากหลายรูปแบบ เข็มเงินนี้สำหรับคนทั่วไปก็คงไม่เลอค่าอะไร ทว่าสำหรับผู้ที่เป็นแพทย์นั้นถือว่าเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง
“ขอบคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง” เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวขอบคุณทันที
จางชางเป่ยผายมืออย่างไม่สนใจใดๆ แล้วเปรยขึ้น “พอเถอะๆ! เข็มเงินชุดนนี้หากอยู่ในมือของข้าก็คงไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์อะไร เจ้าก็รู้ว่าชีวิตนี้ข้าสนใจเพียงการปรุงยาพิษและยาแก้พิษ ดังนั้นถึงได้ถูกอาจารย์รังเกียจ หากอนาคตข้าสิ้นไปแล้วก็คงจะได้ไปเจออาจารย์ของข้าบนสวรรค์และจะบอกผู้เฒ่าคนนั้นว่าเข็มเงินชุดนี้อยู่ในมือของเจ้าแล้ว คิดว่าเขาก็คงจะด่าทอข้าน้อยลง”
ตรงใต้ชายคาระเบียงด้านนอก ภายใต้แสงอาทิตย์ อวิ๋นยิงกำลังโบกมือเรียกสาวใช้ไม่ตงที่อยู่ด้านหลังของเขาแล้วเอ่ยถามยิ้มๆ “เหตุใดจู่ๆ ด้านในถึงเงียบไปล่ะ”
ไม่ตงโค้งลำตัวลงพลางทูลกลับ “ทูลเตี้ยนเซี่ยน คุณหนูของบ่าวนับหมอหลวงจางเป็นอาจารย์เพคะ เมื่อครู่เพิ่งน้อมคำนับไหว้อาจารย์เสร็จ หมอหลวงจางกำลังเล่าเรื่องแต่ก่อนให้คุณหนูฟังเพคะ”
“ไม่ใช่หรอกกระมัง” อวิ๋นยิงหันกลับไปมองในเรือน เพียงชั่วพริบตาเมื่อครู่ยังถกเถียงกันจนใกล้จะตีกันแล้ว เหตุใดผ่านไปครู่เดียวก็กลายเป็นอาจารย์กับศิษย์ไปแล้ว
“อื้ม ทูลเตี้ยนเซี่ยะ เรื่องจริงเพคะ” ไม่ตงยิ้มอ่อนๆ
“เช่นนั้นก็แสดงว่าวันนี้พวกเรามีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นแล้วสิ?”
“เรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งเพคะ” ไม่ตงรู้สึกว่าเตี้ยนเซี่ยะหกกล่าวถูก คุณหนูไหว้หมอหลวงขั้นที่หนึ่งเป็นอาจารย์ นี่จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร
องค์ชายหกกระแอมกระไอหนึ่งทีแล้วโบกมือเรียกสาวใช้ชั้นล่างมาอยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งพูดด้วยความรื่นเริง “ไหนๆ ก็เป็นเรื่องน่ายินดี เจ้าก็ช่วยถามอะไรแทนเปิ้นเตี้ยนที มื้อเที่ยงนี้กินเนื้อเพิ่มหน่อยได้หรือไม่”
“…” ไม่ตงเหลือบตามองบนแล้วเปรยขึ้น “ตอนนี้เตี้ยนเซี่ยะเสวยเนื้อไม่ได้นะเพคะ”
“ไม่ใช่ว่ามีเรื่องน่ายินดีหรือ!” องค์ชายหกเงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความด้วยหงุดหงิด
เรื่องน่ายินดีกับการที่ท่านเสวยเนื้อไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ไม่ตงไม่กล้ามากความ แค่พร่ำบ่นในใจเท่านั้น อย่างไรเขาก็คือองค์ชาย ไม่ได้กินเนื้อมาหลายวันเช่นนี้ราวกับว่าเขาคือชาวบ้านยากไร้ ช่างน่าสงสารจริงๆ…
บ้านนาน้อยวัวจวูตั้งอยู่ในพื้นที่กันดารจึงมีบรรยากาศเงียบสงบจนเหมือนตัดขาดจากโลกมนุษย์ กลับไม่รู้ว่าฮ่องเต้ที่กลับจากสถานตากอากาศเข้าไปในเมืองหลวงนั้นมีอานุภาพเกรียงไกรเพียงใด
คืนแรกที่ฮ่องเต้ทรงเสด็จกลับ เจิ้นกั๋วกงก็ได้ส่งสาส์นกราบทูลเข้าไปหนึ่งฉบับ ในสาส์นกราบทูลเขียนไว้ว่าในภายภาคหน้าแม่ทัพที่มียศเชียนขึ้นมาทุกคนที่จะออกรบต้องไปตรวจสุขภาพร่างกายและรับรองว่ามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่ป่วยเป็นโรคใดๆ ว่าการราชการในราชสำนักของเช้าวันที่สอง ฮ่องเต้ทรงประกาศว่าทรงอนุญาตเรื่องที่เจิ้นกั๋วกงกราบทูล แล้วให้ติดต่อประสานระหว่างสำนักหมอหลวงและค่ายทหารดำเนินการ ยิ่งเร็วยิ่งดี
กฎของการตรวจสุขภาพให้กับเหล่าทหารยศสูงเป็นกฎของแคว้นต้าอวิ๋นที่มีมานานแล้ว อย่างไรสุขภาพร่างกายของคนพวกนี้เกี่ยวข้องกับชัยชนะและการพ่ายแพ้ ซ้ำยังเกี่ยวกับการอยู่รอดของแผ่นดิน ราชวงศ์ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหล่าทหารที่ป่วยเป็นโรคร้ายแต่ปิดบังไม่แจ้งออกมา ทำให้คนมากมายติดเชื้อไปด้วย
แค่เหล่าสามัญชนติดเชื้อก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองกำลังทหาร ช่างเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อแผ่นดิน
ดังนั้นเรื่องใหญ่เช่นนี้ จางชางเป่ยที่เป็นหมอหลวงอาวุโสก็คงไม่มีทางซ่อนตัวและนั่งนิ่งดูดาย เขาถูกฮ่องเต้รับสั่งให้กลับมา ขณะเดียวกัน องค์ชายหกที่พักอาศัยอยู่ในบ้านนาน้อยวัวจวูมาสิบกว่าวันจึงได้กลับเมืองหลวงพร้อมกับจางชางเป่ย
องค์ชายหกหายไปราวๆ ครึ่งเดือน จู่ๆ วันนี้กลับมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมาก ทว่านิสัยกลับอ่อนโยนและร่าเริงขึ้นเยอะ และกลายเป็นคนที่หนักแน่นในขณะเดียวกัน แม้กระทั่งตอนเดินก็ไม่ชักช้าแล้ว ทำให้เหล่านางสนมวังในและเหล่านางกำนัลขันทีต่างก็เหลือบตาเขาด้วยความตกตะลึง
ฮ่องเต้เห็นสีหน้าที่แดงระเรื่อขององค์ชายหกตอนพูดไม่ได้อ่อนแรงอีกต่อไป ภายในใจกำลังคิดว่า บุตรีคนนั้นของเหยาหย่วนจือช่างมีวิธีรับมือกับเขาจริงๆ คนเช่นนี้ต้องถูกเจิ้นใช้งาน แค่ว่าควรใช้งานอย่างไร แค่ให้นางปรุงยารักษาแผลอะไรพวกนั้นหรือ เหมือนยังไม่พอ
ดังนั้นฮ่องเต้จึงคิดถึงเรื่องที่ตนบอกว่าจะให้จวนแห่งหนึ่งแก่เหยาเยี่ยนอวี่ทันที
มิเช่นนั้นก็ทำหอยาให้นางแล้วกัน? หรือแต่งตั้งนางเป็นหมอหลวงหญิง? แล้วจะให้นางกลายเป็นขุนนางขั้นที่เท่าใด? ขั้นที่หก? ยศน้อยไปหน่อย ขั้นที่ห้า? ก็ไม่ได้สูงศักดิ์อะไร
ทว่าก็คงมิอาจให้นางอยู่เหนือกว่าเว่ยจางและพี่ชายนางมิใช่หรือ
เรื่องนี้ช่างจัดการได้ยากจริงๆ
ฮ่องเต้พิงบนข้างบ่อปลาจิ่นหลี[1]ในสวนพฤกษาแล้วมองปลาจิ่นหลีที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำพลางครุ่นคิดเงียบๆ
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เฉิงอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” ไหวเอินที่อยู่ด้านหลังฮ่องเต้ก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“อ้อ?” ฮ่องเต้เงยหน้าแล้วมองเฉิงอ๋องที่ยืนอยู่ตรงข้ามพลางคลี่ยิ้ม ชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ “น้องเจ็ดมาไม่บอกไม่กล่าวก่อน นั่งสิ”
เฉิงอ๋องนั่งลงบนที่นั่งที่ฮ่องเต้ทรงชี้ไปแล้วมองปลาในบ่อตามสายพระเนตรของฮ่องเต้พร้อมแย้มพระสรวลเบาๆ พลางทูลขึ้น “ปลาที่เสด็จพี่เลี้ยงเหมือนจะเยอะขึ้นมากเลยนะ”
“อืมแ น่นอนว่ายิ่งเลี้ยงยิ่งเยอะสิ” ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลบางๆ “ที่นี่ไม่ขาดอาหารและน้ำ อีกอย่างปลาพวกนี้ก็มีชีวิตด้วยตนเอง”
“เสด็จพี่ตรัสถูกยิ่ง” เฉิงอ๋องยิ้มอีกครั้งแล้วพูดขึ้น “ปลาพวกนี้ที่เสด็จพี่เลี้ยงนั้นดียิ่งนัก น้องว่ามีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยตัวที่ยาวมากกว่าหนึ่งฉื่อ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” วันนี้ฮ่องเต้พอพระทัยยิ่งนัก
เฉิงอ๋องกลับนิ่งเงียบแล้วไม่พูดไม่จาอีก
หลังจากเงียบไปสักพัก ฮ่องเต้จึงหันไปมองเฉิงอ๋องแล้วเอ่ยถาม “น้องเจ็ดมาเวลานี้มีธุระใดหรือ”
[1] ปลาจิ่นหลี คือ ปลาคาร์ฟ