หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 300 เสียงขลุ่ยประสานกัน ส่งสินเดิมเจ้าสาวออกจวน (2)
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “ไม่ต้องไปซื้อหรอก ประเดี๋ยวข้าจะสั่งคนส่งให้พวกเจ้าคนละชุดเอง”
อวิ๋นเคอจวิ้นจู่พลันพูด “แหม นี่ข้าคงไม่กล้ารับไว้หรอก มันล้ำค่าเกินไป! ซีเอ๋อร์ชอบทำตัวเป็นเด็ก ก็แค่พูดจาเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้น คุณหนูอย่าไปฟังนางเลย”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยความรื่นเริง “นี่ไม่ได้ล้ำค่าอะไรหรอก ตอนนี้ข้าไม่ใช่ว่าทำโรงงานหลอมกระจกหรือไร นี่ก็คือกระจก ข้าสั่งให้พวกเขาลองทำดู และมันก็ดึงดูดสายตาทุกคนอย่างที่คาดไม่มีผิด แสดงว่าข้าก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณเจ้าแล้ว!” จริงๆ อวิ๋นเคอก็โปรดปรานอย่างมาก แค่ว่าไร้ผลงานได้ลาภยศ จะรับของของคนอื่นโดยไม่มีสิ่งตอบแทนให้คนอื่นได้อย่างไร
แน่นอนว่าอวิ๋นซีก็ต้องเข้าใจในความคิดของพี่สาว ดังนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ได้ยินว่ามาฮ่องเต้แต่งตั้งคุณหนูเหยาเป็นหมอหญิงขั้นห้า มิเช่นนั้นพวกเราค่อยมาฉลองกันวันอื่นเถอะ”
“อย่าเลย” เหยาเยี่ยนอวี่พลันผายมือแล้วพูดอย่างรื่นเริง “เรื่องนี้ข้ายังปรับตัวไม่ทัน และไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทุกคนอย่าเพิ่งเฉลิมฉลองอะไรเลย”
หันหมิงชั่นชูถ้วยชาในมือขึ้นแล้วยิ้มจางๆ “พระราชโองการของฮ่องเต้ก็ลงมาแล้ว ศาลาว่าการก็ซ่อมแซมอยู่ คิดว่าคงใช้เวลาเพียงไม่นานน้องเหยาก็คงต้องไปเข้ารับตำแหน่งแล้ว หลายวันมานี้เจ้าก็ค่อยๆ เคยชินกับมันเถอะ รอให้เจ้าได้เข้ารับตำแหน่งแล้วพวกเราค่อยไปเฉลิมฉลองกัน”
ทุกคนต่างก็เห็นพร้อมใจกันต่างคนต่างชูถ้วยชาอวยพรเหยาเยี่ยนอวี่ ทำเอาเหยาเยี่ยนอวี่ถึงกับรู้สึกละอายใจ ทำได้เพียงกล่าวขอบคุณไม่หยุด
สหายคนสนิทต่างพูดคุยเล่นกัน หลังจากจิบชาไปสองสามถ้วย ซูอิ่งจึงเข้ามารายงาน “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวดูแลเรือพายเรือมาจอดตรงฝั่งแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูทุกท่านจะไปนั่งเรือไหมเจ้าคะ”
หันหมิงชั่นพูดขึ้นยิ้มๆ “ไปสิ ดอกบัวทางฝั่งโน้นกำลังเบ่งบานพอดี พวกเราไปเด็ดฝักเม็ดบัวกันเถอะ”
ทุกคนได้ยินจึงวางถ้วยชาแล้วลุกขึ้นด้วยความดีใจ ต่างพากันเดินไปข้างทะเลสาบ
เรือไม่ได้ใหญ่จนมีหลายชั้น แต่เป็นเรือแพไม้ไผ่ขนาดเล็กที่ใช้เด็ดบัวโดยเฉพาะ แม้กระทั่งหลังคาก็ยังไม่มี หนึ่งลำนั่งได้แค่สองคน
ซูอวี้เหิงดึงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นเรือลำเดียวกัน หันหมิงชั่นจึงขึ้นลำเดียวกับอวิ๋นเคอ หันหมิงเจวี๋ยและหันหมิงหลังนั่งลำเดียวกัน ส่วนอวิ๋นซีและอวิ๋นยั่งก็นั่งด้วยกัน ผู้ดูแลค่อยๆ พายเรือทั้งสี่ลำเล็กเข้าไปในท่ามกลางทุ่งดอกบัว
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นฝักเม็ดบัวที่โตเต็มที่หนึ่งฝักจึงยื่นมือไปเด็ดพร้อมแกะเม็ดมัวด้านในออกมาให้ซูอวี้เหิง “ชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
ซูอวี้เหิงแกะเม็ดบัวนุ่มออกมาใส่ปากพลางเคี้ยว ตอนแรกรสหวานเล็กน้อย หลังจากที่ค่อยๆ เคี้ยวดีบัวจึงทำให้รู้สึกขมเล็กน้อย
เหยาเยี่ยนอวี่ก็แกะใส่ปากตนเองแล้วกินไปดพยักหน้าไป “รสชาติยังถือว่าไม่เลว ต้องเด็ดกลับไปเยอะๆ เสียแล้ว”
บ่าวพายเรือจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “คุณหนูกล่าวถูกเจ้าค่ะ นี่เป็นทุ่งรากบัวขาว เม็ดบัวที่ออกมาจึงดีมากเจ้าค่ะ”
อากาศกลางเดือนแปดแดดจ้ายิ่งนัก ซูอวี้เหิงยกมือเด็ดใบบัวมาบังแดด
“แสงแดดเช่นนี้หายากจะตายไป เจ้ากลับเด็ดใบบัวมาบัง” เหยาเยี่ยนอวี่จึงโน้มตัวไปเอาใบบัวออกแล้วรอให้ซูอวี้เหิงโวยวายใส่นาง
“พี่สาว แดดตอนนี้แรงเกินไปแล้ว อาจทำให้หน้าไหม้ได้” ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างประหม่าแล้วไม่ได้มากความอะไร หลังจากองค์หญิงต้าจั่งทรงสิ้น นางก็เหมือนเปลี่ยนไปคนละคน ไม่ชอบพูดและไม่ชอบยิ้ม ทั้งวันก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในเรือน นางที่ไม่เคยคิดจะทำงานเย็บปักถักร้อยตอนนี้กลับเริ่มฝึกงานฝีมือนี้แล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยด้วยคิ้วขมวด “หากเจ้ายังเศร้าหมองเช่นนี้ต่อไประวังจะกลายเป็นเจ้าเอ๋อล่ะ” ขณะที่พูด เหยาเยี่ยนอวี่ก็ชี้ไปยังจุดที่เต็มไปด้วยใบบัวแล้วสั่งบ่าวพายเรือ “พวกเราจะไปฝั่งโน้น ฝั่งโน้นดูร่มรื่นหน่อย”
บ่าวพายเรือรับคำแล้วพายเรือลำเล็กเข้าไปในเขตที่อุดมสมบูรณ์ด้วยใบบัว ใบบัวบางก้านยื่นก้านที่ยาวเหยียด ทำให้บังแสงแดดได้บ้าง
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปเห็นบนเรือมีขลุ่ยไม้ไผ่วางอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นของใคร จึงเอาขึ้นมาแล้วใช้ผ้าเช็ดพร้อมกับวางตรงริมฝีปาก นางไม่ค่อยเข้าใจท่วงทำนองและระดับเสียง ส่วนเครื่องดนตรีที่เป็นขลุ่ย นางแทบจะไม่เคยแตะ ดังนั้นจึงเป่าไปเรื่อยเปื่อยจนฟังไม่ได้
ซูอวี้เหิงเลยหัวเราะแล้วยื่นมือไปเอาขลุ่ยมา จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าหนึ่งเฮือกแล้วเริ่มเป่า
หากพูดถึงระดับเสียงและท่วงทำนอง เหยาเยี่ยนอวี่คิดว่าต่อให้ตนเองทะลุมิติมาอีกครั้งก็ไม่มีทางเทียบเทียมกับซูอวี้เหิงได้ นิยามของคำว่าคนเราไม่ได้เก่งทุกด้าน เรื่องนี้ไม่ยอมนางไม่ได้จริงๆ พอเห็นคนอื่นหยิบขลุ่ยไปแล้วเป่าขึ้นเรื่อยเปื่อยเช่นนั้น ทว่าเสียงขลุ่ยนี้กลับทำให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้ม โน้มน้าวอารมณ์ผู้ฟังทำให้เคลิบเคลิ้มในเสียงขลุ่ยของนาง ทั้งรู้สึกดีใจ โศกเศร้าและชวนครุ่นคิด
“ช่างไพเราะยิ่งนัก” หลังจากบทเพลงหนึ่งจบลง คุณหนูเหยาก็ทอดถอนใจ
ซูอวี้เหิงยิ้มอย่างขมขื่น บทกวีนี้ได้ยินมาจากคืนที่ส่งศพขององค์หญิงต้าจั่ง หลังจากนั้นทุกครั้งที่ถึงยามดึก นางก็มักจะนึกถึงเพลงเพลงนี้ วันนี้ยังแค่หยิบขลุ่ยมาเป่าอย่างเรื่อยเปื่อย นึกไม่ถึงว่ากลับคล่องแคล่วได้ถึงเช่นนี้ เหมือนเป่านับร้อยนับพันครั้ง
“สภาพเช่นนี้ของเจ้า…” เหยาเยี่ยนอวี่กำลังจะเกลี้ยกล่อมซูอวี้เหิง จู่ๆ กลับได้ยินเสียงขลุ่ยดังขึ้น จึงลืมคำพูดของตนที่จะเอ่ยแล้วเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจพร้อมถามขึ้น “เอ๊ะ? ใครกำลังเป่าขลุ่ยอยู่ฝั่งโน้น หรืออยากจะแข่งกับเหิงเอ๋อร์”
ซูอวี้เหิงกลับนิ่งงันไป ผู้ที่เป่าขลุ่ยคล้ายกับว่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเหมือนจะอยู่ในสวนแห่งนี้ ต้องไม่อยู่เหนือผืนน้ำอยู่แล้ว นี่เป็นสวนของจวนองค์หญิงใหญ่ ผู้ที่เป่าขลุ่ยที่นี่ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
พอนึกถึงเช่นนี้ ซูอวี้เหิงรู้สึกประหลาดใจ คุณชายทั้งสองของตระกูลหันล้วนเป็นแม่ทัพ คงไม่ชำนาญด้านดนตรีหรือเปล่า!
“เหิงเอ๋อร์ เร็วเข้า!” เหยาเยี่ยนอวี่เร่งเร้า “แข่งกับเขาหน่อยเถอะ”
ซูอวี้เหิงกัดริมฝีปาก มัวลังเลไม่ยอมตัดสินใจเสียที บทกวีนี้คือ ‘จันทราขึ้น’ ประพันธ์โดย ‘เฉิงเฟิงคัมภีร์ซือจิง?’ ผู้แต่งบทกวีพบกับหญิงสาวใต้จันทราจึงแอบหมายปอง ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก บททวีนี้ใช้ระดับเสียงเช่นนี้มาส่งความเฝ้าคะนึงถึงอีกฝ่าย
เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่รู้ความหมายของบทกวี แค่รู้สึกเสนาะหูจึงอยากให้ซูอวี้เหิงแข่งกับอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้เลยเร่งเร้าอีกครั้ง “กลัวอะไร รีบเป่าสิ เจ้าต้องเป่าได้ดีกว่าเขาแน่นอน”
ไม่รู้ว่าก็เป็นเพราะเหยาเยี่ยนอวี่เร่งเร้าหรือเป็นเพราะความรู้สึกในใจที่อัดอั้นไว้ไม่อยู่ นางจึงตัดสินใจยกขลุ่ยไผ่วางตรงริมฝีปากพร้อมทั้งสงบสติอารมณ์แล้วเป่าด้วยความตั้งอกตั้งใจ
เสียงขลุ่ยที่ส่งมาจากที่ไกลหยุดไปเล็กน้อย แต่กลับประสานตามมาทันที
เหยาเยี่ยนอวี่หรี่ตาลงพลางเอนกายไปด้านหลัง รับฟังเสียงเพลงด้วยความสบายใจ พอพูดถึงเสียงขลุ่ยที่ดังจากที่ไกลและที่ใกล้ ขณะที่เป่าบทกวีนี้พร้อมกันกลับมีเสน่ห์ไปอีกแบบ ช่างไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก!
บทกวีหนึ่งจบลง เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่บนเรือพลางหรี่ตามองท้องฟ้า น้ำตาของซูอวี้เหิงกลับหลั่งไหลโดยไม่รู้ตัว
หลังจากเทียบฝั่ง หันหมิงชั่นแอบสั่งการซูอิ่ง “ไปถามมาหน่อยใครกันที่เป่าขลุ่ยอยู่ทางฝั่งโน้น”
ซูอิ่งรับคำ ไม่นานก็กลับมารายงานหันหมิงชั่นข้างหู สายตาของหันหมิงชั่นกวาดมองซูอวี้เหิงพลางทอประกายด้วยความยินดี
อาหารมื้อเที่ยงนี้เลิศรสยิ่งนัก หันหมิงชั่นที่เป็นเจ้าบ้านจึงปล่อยให้แขกเหรื่อกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยไปก่อน ทว่าซูอวี้เหิงกลับกินไม่มาก หันหมิงชั่นเลยสั่งการผู้ที่อยู่ด้านข้าง “ข้าวต้มปลาที่ข้าให้พวกเจ้าตุ๋นเมื่อเช้าเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้วก็ตักมาให้เหิงเอ๋อร์หนึ่งชามเถอะ”