หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 307 คณะละครขวางทาง เหิงอ๋องออกหน้าออกตา (4)
“ฮ่าๆ! เจ้าเด็กคนนี้รอจนใจร้อนแล้วใช่ไหม” เฝิงโหย่วฉุนยกมือพยุงฉังเหมาแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าพร้อมทั้งพูดขึ้น “ฤกษ์งามยามดีพอดี อย่าเพิ่งพูดคุยเล่นกันเลย รีบหน่อยเถอะ!”
“ได้เลย!” ฉังเหมาผายมือไปด้านหลัง ประทัดที่เตรียมไว้สองชุดตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ถูกจุด ทำให้เกิดเสียงดังระรัว เศษประทัดสีแดงกระจุยกระจายไปทั่ว
ลายน้ำสินเดิมเจ้าสาวที่ถูกส่งมาแต่เนิ่นๆ ตอนนี้อยู่ในมือของพ่อบ้านเอกฉังเหมาแล้ว เสียงประทัดเพิ่งจบลง พ่อบ้านเอกฉังเหมาก็ตะโกนเสียงสูง “ขนสินเดิมเจ้าสาวเข้าประตู!”
รถม้าคันแรกจอดลง บ่าวร่างกำยำแปดคนเดินหน้าไปแกะผ้าสีแดงออกแล้วค่อยๆ ยกเตียงไม้ประดู่สลักลายอันประณีตลงจากรถม้า
หลังจากยกเตียงใหญ่ลงก็ยกเตียงหลัวฮั่น ตั่งไม้ โต๊ะ โต๊ะกลม เก้าอี้กลม โต๊ะสูง โต๊ะเตี้ยโต๊ะเล็กหัวเตียง เบาะหนุนหลัง เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้พนักพิงสูงสลักลวดลาย และของใช้ในจวนอื่นๆ
จากนั้นก็มีเตียงไม้ดำสลักลายอีกหนึ่งเตียง ลวดลายที่สลักนี้ไม่เหมือนตัวก่อนหน้านี้ กลับเป็นลายเหมยและใบไผ่ หลังจากนั้นก็ยังมีเตียงหลัวฮั่น ตั่งไม้แคบที่มีลวดลายชุดเหมือนกับเตียง
ต่อมายังมีของใช้อีกชุดที่ทำจากไม้ชิงชัน แค่ขาดเตียงสลักลวดลาย ส่วนของใช้อย่างอื่นยังคงครบครัน ทว่ากลับมีฉากกั้นเขียนตัวอักษรร่ำรวยเงินทอง ทองหยกเต็มบ้านอีกสิบสองพับ
ผู้คนมากมายตรงประตูใหญ่กำลังวุ่นวะวุ่ยวาย ของใช้แต่ละอย่างถูกขนลงจากรถม้าจนนับไม่ถ้วน
ทางฝั่งจ้าวต้าเฟิง เขากลับไม่ได้ปล่อยผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนไป แต่กลับพาใต้เท้าโจวท่านนี้ หลัวซาน และคณะร้องละครเพลงสองกลุ่มที่ถูกจับกุมเข้าไปในประตูข้างของจวนแม่ทัพแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องอักษรของเว่ยจาง
เว่ยจางเป็นคนสั่งจ้าวต้าเฟิงออกไปเอง ยังไม่ต้องพูดว่ามีคนของเขาคอยจับตามองสถานการณ์ในเมืองหลวงอยู่ทั่วทุกที่ ทว่าวันนี้เป็นวันอะไร เขาคงไม่ประมาทอยู่แล้ว จึงสั่งให้คนไปลาดตะเวนเส้นทางที่ขบวนขนสินเดิมเจ้าสาวต้องผ่านอย่างเงียบๆ
ตั้งแต่ที่หลัวซานเริ่มสั่งให้คณะละครร้องเพลงก็มีคนกลับมารายงานเขาที่จวนแม่ทัพโดยทันทีเ ว่ยจางต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทว่าวันมงคลเช่นนี้กลับไม่อยากโมโหใส่ใคร ดังนั้นจึงสั่งให้จ้าวต้าเฟิงไปเรียกผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนตื่น
แค่ว่าเขานึกไม่ถึง คนที่ต้องการก่อกวนคือคนของเฉิงอ๋อง
เว่ยจางมองหลัวซานด้วยสีหน้าเลือดเย็น คนคนนี้เขาไม่รู้จัก เขาไปจวนเฉิงอ๋องอยู่บ่อยครั้งทว่ากลับไม่เคยเจอหน้าอีกฝ่ายสักครั้ง เห็นได้ว่าไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร ทว่าเขากลับพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นคนของจวนเฉิงอ๋อง เว่ยจางจึงลงโทษเขาทันทีไม่ได้ ดังนั้นสั่งการจ้างต้าเฟิง “เจ้าไปเชิญท่านซื่อจื่อมา”
จ้าวต้าเฟิงรับคำแล้วหันหลังจากไป
เว่ยจางประสานมือคารวะผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียน “ใต้เท้าโจว ลำบากท่านแล้ว ไว้วันหลังข้าต้องไปแสดงความขอบคุณถึงจวนแน่นอน”
ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนโมโหตั้งแต่ตอนที่เขาต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า แน่นอนว่าตอนนี้เขาคงไม่เรียกร้องอะไรอยู่แล้ว แค่ยกมือคารวะด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพเกรงใจไปแล้ว จะขอบคุณไปไยกัน! รอให้ถึงวันมงคลของท่านแม่ทัพ ข้าดื่มเหล้าแสดงความยินดีกับท่านก็พอแล้ว!”
ทางฝั่งเว่ยจางก็ชิบชาเป็นเพื่อนผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียน ส่วนทางฝั่งจ้าวต้าเฟิงไปไวมาไวราวกับสายลมจริงๆ
อวิ๋นคุนได้ยินคำพูดของจ้าวต้าเฟิงจึงรีบตามมาทันที เขากับเว่ยจางสนิทสนมกันมาก อีกอย่างเว่ยจางเป็นคนอย่างไรเขารู้ดีที่สุดและโปรดปรานอีกฝ่ายมาโดยตลอด วันนี้ตระกูลเหยาส่งสินเดิมเจ้าสาวมาก็ถือเป็นเรื่องมงคลของจวนแม่ทัพ กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ นี่เป็นการตบหน้าเขาชัดๆ
ดังนั้นอวิ๋นคุนมาถึงห้องอักษรของเว่ยจาง พอเห็นในเรือนมีหลัวซานที่ถูกมัดเอาไว้ สีหน้าดูย่ำแย่ถึงขีดสุด
จ้าวต้าเฟิงแม้จะไม่เอาถ่านทว่ากลับเป็นคนฉลาดหลักแหลม แค่เพียงปากปากหนึ่งของเขาก็ทำให้อวิ๋นคุนเชื่อได้ เขาบอกว่ามีคนแอบอ้างว่าเป็นคนของเฉิงอ๋องไปสร้างเรื่องวุ่นวายกลางถนน กลัวว่าจะเป็นการยั่วยุให้คนโกรธแค้นโดยเจตนา
อวิ๋นคุนจึงถือโอกาสนี้อธิบายกับเว่ยจางด้วยความรู้สึกผิด “เสี่ยนจวิน ต้องขอโทษจริงๆ หลัวซานคนนี้เหตุเพราะทำความผิดจึงถูกไล่ออกจากจวนเฉิงอ๋อง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสั่งให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ขึ้น เจ้าส่งเขามาให้ข้า เจ้าวางใจเถอะ ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยแน่นอน”
เว่ยจางพยักหน้า “ไหนๆ ก็เป็นเช่นนี้แล้ว ท่านซื่อจื่อสั่งให้คนนำตัวไปเถอะ”
อวิ๋นคุนไม่มากความแค่พยักหน้าให้ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนแล้วหันไปพาหลัวซ่านและคณะละครสองกลุ่มไป
แน่นอนว่าผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนต้องไม่ติดตามไปที่จวนเฉิงอ๋องอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องนี้ท่านแม่ทัพยังไม่ได้พูดอะไร เขาก็คงไม่มากความ ดังนั้นจึงลุกขึ้นกล่าวอำลาแล้วพูดยิ้มๆ “วันนี้จวนแม่ทัพคงจะยุ่ง ข้าคงไม่รบกวนแล้ว รอให้ถึงวันจัดพิธีมงคลค่อยมารบกวนอีกที ขอตัวก่อน”
เว่ยจางส่งคนออกไปด้วยความเกรงใจ จ้าวต้าเฟิงยังพูดกับผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนด้วยรอยยิ้ม “ท่านใต้เท้าโจว รอให้ข้าหายยุ่งข้าจะเชิญท่านดื่มสุราด้วยกัน”
ผู้พิพากษาศาลซุ่นเทียนสุดคำบรรยายกับบุรุษหน้าด้านคนนี้ แค่ยกมือคารวะด้วยรอยยิ้มแล้วจากไปทันที
เว่ยจางหันไปมองประตูใหญ่ที่มีบ่าวเข้าออกจึงอดหรี่ตาลงเล็กน้อยไม่ได้
จ้าวต้าเฟิง เก๋อไห่ ต่างก็เดินเข้าไปแล้วพูดเสียงต่ำ “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเห็นเหิงจวิ้นอ๋องกินมื้อเช้ากับอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ที่ซูเย่ว์จายด้วยแน่ะ”
“พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันได้อย่างไร”
“ข้าน้อยไปสืบมาแล้ว คนที่ติดตามเหิงจวิ้นอ๋องบอกว่าท่านอ๋องบังเอิญเจอกับจวิ้นจู่ระหว่างทางไปซูเย่ว์จาย อวิ๋นจู่เหมือนกำลังว่ากล่าวสั่งสอนบ่าวไพร่จึงถูกจวิ้นอ๋องชวนไปซูเย่ว์จายขอรับ”
“อืม” เว่ยจางพยักหน้าและพูดขึ้น “รู้แล้ว วันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้”
“ขอรับ” เก๋อไห่กับจ้าวต้าเฟิงแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองหายตัวไปดูบ่าวไพร่ขนของเข้าไปในเรือน
ของในรถม้าที่อยู่ด้านหน้าเพิ่งจะขนเข้าไปในจวนเพียงครึ่งเดียว ด้านหลังก็มีหีบอีกเก้าสิบเก้าหีบรอขนอยู่ เฝิงหมัวมัวและหลี่หมัวมัวพาเหล่าบ่าวหญิงเข้าไปด้านใน เฝิงโหย่วฉุน เหยาซื่อสี่ และหลี่จิงแยกย้ายกันเฝ้าด้านในและด้านนอกประตู อีกคนก็เฝ้าอยู่ด้านหลัง พวกเขายุ่งจนไม่มีเวลาดื่มน้ำแม้แต่อึกเดียว ฉังเหมาเดินเข้าออกจนไม่รู้ว่าเดินไปกี่สิบรอบ แม้แต่หยาดเหงื่อบนศีรษะยังไม่มีเวลามาเช็ด กลัวว่าคนเหล่านั้นไม่ระวังเอาของไปกระแทกจนเสียหาย
กลับกล่าวถึงทางฝั่งอวิ๋นเหยาที่ถูกเหิงจวิ้นอ๋องลากตัวไปกินมื้อเช้าโดยที่ไม่รู้สึกถึงรสชาติสักนิด ได้แต่เอาซาลาเปาสองเข่งกลับจากซูเย่ว์จาย
เหิงจวิ้นอ๋องมองฟ้าแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “น้องเหยากลับไปก่อนเถอะ ข้าเพิ่งนึกได้ว่าในจวนยังมีเรื่องต้องจัดการหน่อย ข้าจะไปเยี่ยมเยียนเสด็จอาเจ็ดและอาสะใภ้เจ็ดทีหลัง”
อวิ๋นเหยาอัดอั้นอารมณ์โมโหมาหลายเดือน เดิมทียังนึกว่าจะถือโอกาสป่วนขบวนขนสินเดิมเจ้าสาวของเหยาเยี่ยนอวี่เสียหน่อย กลับนึกไม่ถึงว่าถูกเหิงจวิ้นอ๋องทำลายแผน ตอนนี้จึงไม่อยากมองเขาแม้แต่ปราดเดียว แค่พูดว่า “พี่สามมีธุระก็ไปจัดการเถอะ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วจะเอ่ยคำพูดเกกรงใจไปไยกัน”
เหิงจวิ้นอ๋องยิ้มอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นเหยาเอ๋อร์กลับจวนเถอะ จะให้อารักขาของข้าส่งเจ้าหรือไม่”
“ขอบคุณพี่สามที่เป็นห่วง ข้าเองก็มีอารักขาคอยคุ้มครองอยู่แล้ว” แม้กระทั่งรอยยิ้มบนดวงหน้าของอวิ๋นเหยายังจอมปลอม จึงได้ขึ้นรถม้าตนเองแล้วจากไป
เหิงจวิ้นอ๋องอวิ๋นยินยืนมองรถม้าของอวิ๋นเหยาหายไปในท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมา ตรงหน้าประตูซูเย่ว์จายแล้วค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้น พร้อมทั้งหันไปสั่งการอารักขาของตนเอง “ไปสั่งให้โรงครัวล้างกุ้งเป็นๆ ที่ส่งมาเมื่อวานให้สะอาดแล้วสับเป็นละเอียดทำเป็นเกี๊ยวไข่”
“ขอรับ” อารักขารับคำแล้วเดินไปที่โรงครัวซูเย่ว์จายทันที