หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 309 กรรมตามสนองผู้ร้าย ปราบปรามเขตตอนเหนือ (1)
ก่อนหน้านี้พวกเขาสองคนอยู่ห่างกันนับหมื่นลี้กลับยังเฝ้าคะนึงถึงกัน วันนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงอวิ๋นแล้ว ทว่ากลับไม่ได้เจอหน้ากันสองปี นางกับเขาราวกับมีผืนนภาที่แตกต่างปกคลุมศีรษะไว้
ภายใต้บรรยากาศเงียบงัน ด้านนอกมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างชัดเจน แม่นมและเหล่าสาวใช้กำลังเล่นกับเย่ว์เอ๋อร์ ยัยหนูน้อยทำเสียงอ้อแอ้ไม่หยุด ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร ทว่าพลังปอดกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“บุตรีของเจ้าดียิ่งนัก” อวิ๋นหมินจับถ้วยชาขึ้นแล้วรินน้ำชาให้ตนเอง ชาเถี่ยกวานอินชั้นดีตอนแรกจะมีรสขมและฝาดเล็กน้อย
“ใช่ นางดีมาก” เหยาเฟิ่งเกอแย้มยิ้มจางๆ
“พวกเจ้าสองแม่ลูกอยู่อย่างมีความสุข ข้าก็สบายใจแล้ว”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลตนเองเป็นอย่างดี”
อวิ๋นหมินยิ้มปลอบโยนตนเองแล้วพูดขึ้น “วันนี้น้องรองของเจ้าส่งสินเดิมไปแล้วเจอกับปัญหาเล็กน้อย ตระกูลพวกเจ้าไปสร้างเรื่องบาดหมางใจอะไรกับอวิ๋นเหยาหรือ”
เหยาเฟิ่งเกอแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น “ก็แค่อาการหึงหวงที่เกิดขึ้นกับสตรีเท่านั้น คนในตระกูลของพวกเจ้าช่างบ้าอำนาจนัก”
อวิ๋นหมินได้ยินคำพูดนี้จึงยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าจะโกรธไปไยกัน อีกไม่กี่วันน้องรองของเจ้าก็ได้แต่งงานกับแม่ทัพเว่ยจางแล้ว นางโวยวายไปก็ไร้ประโยชน์”
“ใช่! นี่เป็นงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ใครก็ไม่มีทางแยกพวกเขาสองคนออกจากกันได้”
“เฟิ่งเกอ” อวิ๋นหมินยื่นมือออกไป ใคร่อยากกุมมือเหยาเฟิ่งเกอไว้
เหยาเฟิ่งเกอสะบัดผ้าเช็ดหน้าแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็หลบไปด้านหลังสองก้าวแล้วขมวดคิ้วสวย “เตี้ยนเซี่ยนสาม ท่านรู้หรือไม่สองปีก่อนเหตุใดข้าถึงใกล้สิ้นใจเพราะไข้หวัดเล็กๆ?”
อวิ๋นหมินตะลึงงัน สีหน้ายังไม่ทันแสดงความอึดอัดใจออกมาก็เผยสีหน้าที่ฉงนสงสัยแล้ว “เหตุใดหรือ”
“ข้าก็เพิ่งจะรู้” เหยาเฟิ่งเกอยิ้มเย้ยหยันตัวเองอย่างขมขื่น “คราที่แล้วตอนอยู่หลังงานศพของไทเฮา ข้าเสวนากับเจ้าไปสองสามคำแล้วเกือบจะถูกลอบสังหาร”
“ใคร!” สีหน้าของอวิ๋นหมินหม่นหมองขึ้นมาทันที
“เจ้าไม่ต้องถามว่าใครหรอก” เหยาเฟิ่งเกอมองอวิ๋นหมินด้วยความเงียบงัน “วันนี้ข้ามาเจอเจ้าที่นี่ก็แค่อยากบอกเจ้าเรื่องนี้ สรุปก็คือข้าเองที่ทำผิดต่อเจ้า แต่ก็ขอให้เจ้าช่วยเห็นใจ งานสมรสเป็นเรื่องใหญ่ บิดามารดาออกคำสั่ง แม่สื่อเป็นผู้จัดการ ข้าเองก็ตัดสินไม่ได้ เจ้าเองก็ตัดสินไม่ได้ พวกเราสองคนกลายเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เจ้าที่ยินยอมและไม่ใช่ข้าที่ยินดีเช่นกัน ทว่าพวกเราควรยอมรับชะตากรรม ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะเป็นท่านอ๋องของเจ้าอย่างมีความสุข ส่วนข้าก็มีชีวิตของข้า เรื่องราวเก่าๆ มันก็ผ่านไปเหมือนหมอกควัน สิ่งที่ควรจางหายไปก็ปล่อยให้มันหายไปเถอะ”
“เฟิ่งเกอ…” อวิ๋นหมินยังอยากพูดอะไร กลับเห็นเหยาเฟิ่งเกอสาวเท้าเดินไปตรงหน้าประตูแล้ว ดูท่าแล้วนางจะเปิดประตูออกไปจริงๆ
เมื่อคำนึงถึงชื่อเสียงของนาง อวิ๋นหมินจึงมากความอะไรไม่ได้ แค่หันหลังเข้าไปด้านหลังประตูลับ
ซานหูก็กลับจากหลังครัวด้านนอก ด้านหลังยังมีสาวใช้คนหนึ่งถือถาดตามมา ด้านบนเป็นอาหารหลากหลายชนิดของทางเขตตอนใต้ และยังมีข้าวต้มหนึ่งถ้วย
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านยังไม่ได้กินมื้อเช้า มิเช่นนั้นก็กินข้าวต้มลองท้องหน่อยเถอะ อีกสักพักเกี๊ยวไข่ก็คงเสร็จเจ้าค่ะ”
“อืม เอาเข้ามาเถอะ” เหยาเฟิ่งเกอหันไปในเรือนก็ไม่มีเงาของคนผู้นั้นแล้ว ภายในใจรู้สึกผ่อนคลายและอ้างว้างไปพร้อมกัน
พอกล่าวถึงอวิ๋นเหยาที่ออกจากซูเย่ว์จาย นางก็นั่งรถม้าวนอยู่ในซอยที่ตั้งของจวนแม่ทัพติ้งหย่วนไปหนึ่งรอบ ทั้งถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยรถม้าที่ขนสินเดิมของเหยาเยี่ยนอวี่ ดูท่าแล้วเกรงว่าคงอาจยุ่งถึงตอนกลางคืนก็คงไม่เสร็จงาน
อวิ๋นหยานั่งอยู่ในรถม้ามองไปสักพัก ภายในใจรู้สึกไม่สุขสมดั่งปรารถนา ทว่ากลับไม่มีวิธีอะไร
วันนั้นฮองเฮาเหนียงเหนียงเรียกตัวนางไปสั่งสอน ฮ่องเต้ทรงพระราชทานงานสมรสให้เว่ยจาง แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว พระราชโองการของฮ่องเต้ก็ประกาศไปแล้ว นอกจากเหยาเยี่ยนอวี่สิ้นไป ไม่เช่นนั้นก็เปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้
นอกจากเหยาเยี่ยนอวี่สิ้นไป!
อวิ๋นเหยากัดริมฝีปากล่างแล้วหรี่ตาลงพร้อมทั้งครุ่นคิดว่า ต่อให้นางตายไป คิดว่าตนก็คงไม่อาจแต่งงานกับเว่ยจาง พอนึกถึงตนเองที่มีฐานะถึงจวิ้นจู่ก็ถือว่าเหมาะสมดั่งกิ่งทองใบหยกแล้ว เหตุใดถึงแต่งงานกับบุรุษที่ตนหมายปองไม่ได้เล่า
“จวิ้นจู่ บ่าวหาท่านเจอเสียที ท่านได้โปรดรีบกลับจวนเถอะ ท่านซื่อจื่อมีธุระด่วนกับท่าน” พ่อบ้านอันดับสองของจวนเฉิงอ๋องรายงานอยู่นอกรถม้าด้วยลมหายใจหอบเหนื่อย
อวิ๋นเหยาขมวดคิ้วแล้วสั่งการอย่างไม่พอใจ “กลับไปเถอะ”
วันนี้ไม่ใช่วันว่าราชการครั้งใหญ่ที่ราชสำนัก เฉิงอ๋องก็อยู่จวนพอดี อวิ๋นคุนกลับมาจากจวนของเว่ยจางแล้วตรงไปที่ห้องอักษรของเฉิงอ๋องทันที
เรื่องนี้หากไม่ให้เสด็จพ่อรู้ วันข้างหน้าอาจเกิดปัญหามากกว่านี้ก็ได้ ก่อนหน้านี้เขายังนึกมาโดยตลอดว่าหลังจากที่ถูกฮองเฮาเหนียงเหนียงตักเตือน มารดาก็มักจะถือหางน้องสาว วันนี้ดูๆ แล้วแม้กระทั่งคำพูดของฮองเฮาเหนียงเหนียงมารดายังฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปแล้ว
ไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปสองปี วังในจึงมีฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นใหญ่! การไม่เชื่อฟังในคำสอนของฮองเฮา ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
ในฐานะที่เป็นบุตรชาย อวิ๋นคุนมิอาจว่ากล่าวตำหนิมารดาของตน ทว่าผู้ที่มีฐานะเป็นท่านซื่อจื่อ เขากลับมีหน้าที่ควบคุมดูแลจวนอ๋องให้ดี
เฉิงอ๋องกำลังเล่นหมากล้อมในห้องอักษรกับเสนาธิการอยู่ เหตุเพราะเห็นบุตรชายเข้ามาจึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าคนของจวนเว่ยจางเชิญเจ้าไปพบ มีอะไรกระนั้นหรือ”
อวิ๋นคุนค้อมตัวตอบกลับ “เสด็จพ่อ วันนี้ตระกูลเหยาส่งสินเดิมเจ้าสาวไปเกิดเรื่องเล็กน้อย ดังนั้นเสี่ยวจวินจึงเชิญลูกไปปรึกษาหารือ”
“อ้อ” เฉิงอ๋องเงยหน้ามองอวิ๋นคุนเพียงปราเดียวแล้วโยนหมากล้อมในมือลงพร้อมกับบอกกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “เปิ่นอ๋องแพ้แล้ว”
เสนาธิการผู้นั้นจะไม่มีตาทิพย์ได้อย่างไร ฉะนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องมีธุระ เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลา”
เฉิงอ๋องพยักหน้าแล้วมองเสนาธิการจากไปค่อยเอ่ยถามอวิ๋นคุน “มีเรื่องอะไรหรือ”
อวิ๋นคุนถอนหายใจแรงๆ เขาจึเล่าเรื่องงหลัวซานและคณะละครเพลงที่ร้องเพลงไว้อาลัยเพื่อป่วนขบวนขนสินเดิมให้เฉิงอ๋องฟังอย่างละเอียด
เฉิงอ๋องยังฟังไม่ทันจบก็ยกมือทำลายกระดานหมอกล้อมแล้วพูดด้วยความโมโห “ช่างเหลวไหลไปกันใหญ่! ชื่อเสียงจวนอ๋องของข้าถูกไอ้สุนัขรับใช้คนนี้ทำให้ป่นปี้ไปแล้ว! หลัวซานอยู่ไหน เฆี่ยนไอ้สุนัขคนนี้ให้ตายไปเสีย!”
“เสด็จพ่อเฆี่ยนเขาให้ตาย…” อวิ๋นคุนขมวดคิ้ว เฆี่ยนตีบ่าวคนหนึ่งให้ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร สิ่งที่จวนอ๋องไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือบ่าวไพร่
“เรื่องนี้ใครเป็นคนออกคำสั่ง เหยาเอ๋อร์ใช่ไหม!” เฉิงอ๋องไม่ใช่คนโง่ ความคิดของบุตรีตนเองเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร เขาไม่ได้เปิดเผยความจริง เหตุเพราะรู้สึกว่าบุตรีคนนี้ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เรื่องในใจสตรีควรเป็นมารดาที่ทำหน้าที่แก้ปัญหา เขาที่เป็นบิดาจะมากความได้อย่างไร
ทว่าวันนี้ดูแล้วความเพียรพยายามของตนเองสูญเปล่า! หากปล่อยให้นางเอาแต่ใจเช่นนี้ต่อ อย่างไรก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่นอน
อวิ๋นคุนขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา เขาต้องรักและเอ็นดูน้องสาวมารดาเดียวกันอยู่แล้ว ทว่านี่นางทำเกินไปจริงๆ!
“เหอะ! ข้ารู้แล้ว!” เฉิงอ๋องใช้ขาถีบกระดานหมากสีเขียวที่อยู่บนพื้นแล้วเหยียบหมากล้อมหยกออกจากห้องอักษรมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัก
ตอนที่อวิ๋นเหยาเข้าประตูเรือน มารดาก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดเพี้ยนไป บ่าวไพร่ในเรือนไม่รู้ว่าไปหลบที่ใดกันหมด ไม่มีเงาแม้แต่คนเดียว
เดิมทีอากาศฤดูใบไม้ร่วงปลอดโปร่งสบาย แต่บรรยากาศที่นี่กลับรู้สึกอึดอัด ฝีเท้าของนางชะงักลงแล้วมองซ้ายแลขวา จากนั้นตัดสินใจเดินเข้าไปในโถงหลัก