หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 314 สำนักแพทย์เปิดทำการ เจอศัตรูที่ไม่อยากเจอ (1)
จากนั้นเขาก็ตัดสินใจปล่อยนางแล้วหันหลังจากไป
เหยาเยี่ยนอวี่ลืมตามองเขาที่เหมือนเดินหนี นางจึงตะโกนเสียงดัง “เดี๋ยวก่อน!”
นางวิ่งไปอย่างเร็วแล้วจับแขนพลางดึงเขาหันกลับมา จากนั้นก็เขย่งเท้าขึ้นพลางยื่นมือโอบคอของเขาไว้แล้วเงยหน้าประกบจูบลงบนริมฝีปากของเขา
ที่นี่ฝนหยุดตกไปสักพัก บรรยากาศนั้นเคล้าด้วยความเงียบงัน
ตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงราวกับว่าสิ่งนี้กำลังบดขยี้ร่องรอยแห่งความเจ็บปวดในใจลึกๆ ให้เขาเจ็บปวดยากทานทน
ทว่าเว่ยจางก็ได้สติกลับมาจากความตะลึงงันในการกระทำของนาง ทันใดนั้นเขาจึงยื่นมือไปโอบเอวนางแล้วสนองกลับอย่างดูดดื่ม
เดือนเก้าวันที่สิบเก้า สิบห้าค่ำเดือนสาม เหมาะแก่การจัดงานสมรส เดินทางไกลปลุกเสกเบิกเนตรขอทายาทฝังศพติดป้ายตัดต้นไม้
เช้าตรู่วันนี้ แม่ทัพเว่ยเว่ยจางที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพขุนนางขั้นสามสวมใส่ชุดออกรบและนำกองทัพนกอินทรีสี่สิบนายและทหารม้าอีกสองพันนายออกจากประตูเมืองหลวงทางฝั่งทิศเหนือ มุ่งหน้าไปค้างแรมในจิ่นโจว ทั้งยังระดมพลทหารชั้นยอดนับห้าหมื่นนายที่จิ่นโจวแล้วมุ่งหน้าไปยังเฟิ่งโจวเพื่อเป็นทัพหน้าในการปราบปรามโจรปล้นในเขตตอนเหนือ
ตั้งแต่จากลากันที่โรงงานผลิตสมุนไพร เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้เจอเขาอีก
เหตุผลเป็นเพราะงานยุ่งเกินไป ระยะเวลาสามวันตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงตัดสินว่าจะประกาศศึกกับชาวหูแล้วแต่งตั้งแม่ทัพเว่ยและรองแม่ทัพของเขา ทั้งเจิ้นกั๋วกง เฉิงอ๋อง และเหล่าแม่ทัพต่างก็รวมตัวกันในห้องทรงอักษรของฮ่องเต้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์ จวบจนให้เว่ยจางไปคัดเลือกทหารชั้นยอดในค่ายทหารทั้งสองพันนายแล้วเตรียมตัวเก็บอาวุธและของใช้จำเป็นในสนามรบ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปแค่สามวัน
เว่ยจางยุ่งวุ่นวายแทบไม่มีเวลาพักผ่อน สุดท้ายก็เริ่มนำทัพออกเดินทางไปเขตตอนเหนือในวันที่สิบหกนี้
ไม่ว่าราชสำนักจะให้ใครเป็นแม่ทัพ ทว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเฟิ่งกันโจวกลับยังคงเผชิญกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ต้องการให้ราชสำนักส่งกองกำลังทหารไป อีกทั้งเว่ยจางพาทหารออกเดินทางไปก่อน หลังจากระดมพลกำลังที่จิ่นโจวเป็นจำนวนห้าหมื่นนาย แม่ทัพทางฝั่งราชสำนักก็ควรออกเดินทางถึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสม
ครั้งนี้เหตุเพราะไปเป่ยหู หากการรบในครั้งนี้ไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่นอาจต้องอาศัยอยู่ในแถบนั้นจนถึงเหมันตฤดู ความหมายของฮ่องเต้เหมือนจะไม่อนุญาตให้เจิ้นกั๋วกงแม่ทัพผู้เฒ่าอายุมากผู้นี้ออกเดินทางไปรบด้วย และให้เหล่าผู้เยาว์ออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ อีกทั้งยังต้องการให้เหล่าองค์ชายได้รับประสบการณ์ในครั้งนี้
ดังนั้นหันซังเกอเป็นผู้นำทัพ อวิ๋นคุนเป็นรองแม่ทัพ เคลื่อนพลกำลังทหารหนึ่งแสนนายจากค่ายทหารเฟิ่งฮว่าและค่ายทหารซีซาน ตามหลังทัพของเว่ยจาง
การสู้รบที่ผ่านมาก็ต้องสูญเสียเงินมหาศาล ค่าแรงทหารและเสบียงทหารเป็นสองสิ่งที่สำคัญ
ดังนั้นฮ่องเต้จึงสั่งการให้องค์ชายใหญ่เค่อจวิ้นอ๋องเป็นตูจวิน[1]ในการปราบปรามเขตตอนเหนือครั้งนี้ รับผิดชอบรวบรวมเสบียงอาหาร นำทหารม้าสามหมื่นนายขนเสบียงไปกันโจว
พอทัพหน้าออกเดินทาง อากาศก็สดใสขึ้นมา ท้ายที่สุด เมืองหลวงอวิ๋นก็มีบรรยากาศสารทฤดู อุณหภูมิสูงขึ้น ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
เหยาเยี่ยนอวี่พิงอยู่ตรงเสาใต้ชายคาระเบียงมองดอกเก๊กฮวยที่แข่งกันเบ่งบาน ภายในใจกำลังคิดว่าสวรรค์ช่างมีตายิ่งนัก เหมือนฝนเมื่อหลายวันมาก่อนตกลงมาเพื่อการรบในเขตตอนเหนือโดยเฉพาะ
วันนั้นเขาจูบนางเหมือนคนสติวิปลาส
ลมหายใจแผ่วร้อนราวกับว่ากำลังกลั่นแกล้งและผูกมัดพวกเขาเอาไว้ หล่อหลอมเขานางเข้าด้วยกัน
ใบหน้าที่หล่อเหลาและเย็นชานั้นจริงใจมาก นัยน์ตาสีเลือดคู่นั้นเคล้าด้วยความกระหายและความกระวนกระวาย
ริมฝีปากชุ่มเปียกและอ่อนโยนของเขากำลังประกบริมฝีปากของนาง จากนั้นเขาก็ใช้แรงกัดฝีปากนางแล้วดูดกินหยาดเลือดเหมือนกระชากวิญญาณของนางไปด้วย หัวใจทั้งสองดวงเสียดสีกันจนหลั่งเลือด ทั้งสองเจ็บปวดแต่กลับไม่อาจผละออกจากกัน
ช่างทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก! คุณหนูเหยาลอบถอนหายใจ นี่แค่ผ่านไปวันเดียวเท่านั้น นางกลับคิดถึงเขามากขนาดนี้
ตนเองเกิดเป็นคนในสองภพชาติแล้วทว่ากลับยังไม่เคยลิ้มลองรสชาติเช่นนี้ มันเป็นรสชาติที่กินอาหารไม่อร่อย หลับไม่สนิท ว้าวุ่นใจ และกระวนกระวายใจ
คล้ายกับว่าชาติที่แล้วนางเลิกกับแฟนหนุ่มก็ยังไม่เกิดอาการเช่นนี้ บอกว่าเลิกก็เลิกกันไปเลย ถึงแม้จะรู้สึกเสียใจไปสักพักแต่ก็ยังเก็บสัมภาระบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ตอนนั้นนางรู้สึกว่าก็แค่ผู้ชาคนเดียวเท่านั้น พอมาถึงที่ใหม่ก็อาจได้เจอคนที่ดีกว่าแล้ว นางจะร้องห่มร้องไห้ไปทำไมกัน
ทำไมพอมาถึงชาตินี้กลับไม่เอาถ่านแบบนี้ นี่ไม่ใช่ว่าเลิกลากันอีกแล้วหรือ แค่เป็นการพรากจากกันเพียงชั่วคราว เขาบอกว่ากลับมาจะมาแต่งงานกับตน เหตุใดตนถึงไม่มีความสุขเช่นนี้ คุณหนูเหยาโยนกลีบดอกเก๊กฮวยไปที่พุ่มไม้แล้วถอนหายใจยาว
ด้านข้างชุ่ยเวยที่เห็นสถานการณ์นี้จนชินจึงหันไปมองชุ่ยผิงด้วยคิ้วขมวด
“ร้อนใจแทนแย่!” ชุ่ยผิงรู้สึกกระวนกระวายกว่าเดิมจึงก้าวเท้าเดินไปเดินมา
“พี่สาว พี่สาว!” สาวใช้ชั้นล่างเซียงหรูวิ่งมาตรงหน้า พอเห็นชุ่ยผิงจึงเอ่ยต่อทันที “ตรงด้านหน้ามีขุนนางมาเยือน บอกว่ามารับคุณหนู แล้วยังส่งของมาที่จวนด้วย”
“ขุนนางจากศาลาว่าการใดส่งของอะไรมา” ชุ่ยผิงขมวดคิ้วเอ่ยถาม
เซียงหรูตอบกลับอย่างประหม่า “บ่าวก็ไม่รู้ พ่อบ้านให้บ่าวมาเชิญคุณหนูออกไปเจ้าค่ะ”
ชุ่ยผิงที่เคร่งเครียดอยู่แล้วพอได้ยินคำพูดนี้จึงไม่มีความสุขกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เลยสบถหยาบ “ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ เรื่องนี้หากไม่รู้ว่าใครมาอย่างชัดเจนแล้วจะเข้ามาเชิญคุณหนูได้อย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงโยนดอกไม้ในมือทิ้งแล้วลุกขึ้น “เจ้าไปตวาดใส่นางไปไยกัน ไป พวกเราไปเรือนหน้าเถอะ”
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเดินตามไป ชุ่ยผิงถลึงตามองเซียงหรู สาวใช้ชั้นล่างคนนี้แอบแลบลิ้นให้นางแล้วเดินตามไป
ผู้ที่มาเยือนด้านหน้ากลับเป็นบุรุษสองคนที่สวมใส่เครื่องแบบหมอหลวง ดูจากลวดลายของชุดเหมือนจะเป็นหมอนิติเวชขั้นเจ็ด ด้านหลังของทั้งสองมีสตรีอยู่สี่คน ดูจากการแต่งกายแล้วเหมือนจะเป็นหมอหญิงเช่นกัน
เหยาเหยียนอี้ไม่อยู่ในจวน ยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นไม่สบาย หนิงฮูหยินน้อยต้องคอยดูแลอยู่ข้างๆ พอเหยาเยี่ยนอวี่ไปถึงตรงโถงหน้า หมอหลวงสองคนนั้นเห็นถึงน้อมคำนับนาง “ข้าน้อยขอคารวะเหยาจู่ปั๋ว”
หมอหลวงในราชวงศ์ต้าอวิ๋นมีตำแหน่งเป็นขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่เจ็ด และมีทั้งหมดสิบสี่ระดับย่อย แยกเป็นสำนักหมอหลวงพั่นย่วนด้านซ้าย พั่นย่วนด้านขวา หมอหลวงผู้ดูแลอาหารการกิน หมอหลวงซั่ง หมอหลวงรับใช้ในราชสำนัก หมอหลวงอายุรกรรม ผู้ช่วยหมอหลวงราชสำนัก จู่ปั๋วหลี่มู่ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณะ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ และหมอนิติเวช
ส่วนหมอหญิงจะนับตั้งแต่ขั้นที่แปดถึงขั้นที่สิบ แบ่งเป็นหมอหญิงราชสำนัก หมอหญิงอายุรกรรม หมอหลวงดูแลยา หมอหญิงเตี่ยนฟาง หมอหลวงฝึกหัด และหมอหญิงทั่วไป
เพราะว่าตอนนี้คุณหนูเหยาคือจู่ปั๋วขั้นห้า ดังนั้นนางจึงต้องหาเวลาว่างเพื่อเสริมความรู้ทางด้านนี้ จึงทราบว่าบุรุษสองท่านนี้เป็นหมอนิติเวชขั้นเจ็ด
“ใต้เท้าสองท่านเชิญลุกขึ้นเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่รีบผายมือ ภายในใจของนางกำลังคิดว่าวันนี้นางชักจะสนใจเรื่องระดับและตำแหน่งของขุนนางแล้ว
ทันใดนั้นจึงให้พวกเขานั่งลง หลังจากยกน้ำชาให้เรียบร้อยแล้ว นางจึงเอ่ยถาม “มิทราบว่าพวกท่านมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ”
หนึ่งในหมอนิติเวชจึงลุกขึ้น “เรียนเหยาจู่ปั๋ว ข้าได้รับคำสั่งจากเหล่าย่วนลิ่งให้เชิญจู่ปั๋วไปที่สำนักแพทย์ขอรับ” ขณะที่พูดก็หันไปผายมือ หมอหญิงสองคนจึงยกถาดมา บนถาดวางชุดและหมวกขุนนางของราชสำนัก
“นี่เป็นชุดราชการของเหยาจู่ปั๋ว จู่ปั๋วได้โปรดเปลี่ยนชุดแล้วติดตามข้าน้อยไปพบใต้เท้าย่วนลิ่งขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่เกือบจะดีใจจนออกเสียง ภายในใจยังขบคิดว่าเป็นจริงแล้ว! ถึงกับส่งชุดและหมวกขุนนางมาให้จริงๆ
“ได้ เช่นนั้นทั้งสองท่านได้โปรดรอสักครู่” คุณหนูเหยายืนขึ้นอย่างเสแสร้งแกล้งทำแล้วกะพริบตาให้ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างๆ
[1] ตูจวิน คือสารวัตรทหาร