หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 315 สำนักแพทย์เปิดทำการ เจอศัตรูที่ไม่อยากเจอ (2)
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงพยายามเก็บอาการดีใจไว้ ทว่ากลับแสดงสีหน้าภูมิใจออกมาอย่างชัดเจน
สาวใช้ชั้นล่างไม่ตงและปั้นซย่าเดินหน้าเข้าไปรับเครื่องแบบหมอหลวงของเหยาจู่ปั๋วไว้ เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปข้างหน้าแล้วพยักหน้าให้กับหมอนิติเวชสองคนนั้น แล้วหันหลังเดินกลับ
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงน้อมคำนับหมอนิติเวชทั้งสองคนแล้วพูดด้วยท่าทีเกรงใจ “ใต้เท้าทั้งสองท่านเชิญดื่มชาก่อนเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันหลังติดตามคุณหนูของพวกนางไป
หลังจากกลับไปเรือนหลัง เหยาเยี่ยนอวี่ยกเท้าสะบัดรองเท้าออกพร้อมพึมพำ “เร็วเข้า! เอาชุดเครื่องแบบของข้ามาเร็ว!”
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเปิดชุดเครื่องแบบออกด้วยความรื่นเริงยินดี นี่เป็นชุดเครื่องแบบหมอหลวง ชั้นนอกเป็นผ้าต่วนสีขาวนวลจันทร์ ด้านหลังเป็นผ้าสีแดงประวาลวรรณ ชายแขนเสื้อและคอปกปักลายเมฆนำโชค ด้านหน้าปักลายไก่ฟ้าหลังขาวและที่คาดเอวขุนนางขั้นห้า เป็นเครื่องแบบขุนนางเดียวกันกับบุรุษ แค่ขนาดเล็กไปกว่ามาก งานปักลายค่อนข้างละเอียดและประณีตนี้ ดูไม่ออกเลยว่าจะตัดชุดออกมาได้รวดเร็วถึงขั้นนี้
หมวกขุนนางเป็นหมวกไหมเงิน ปิ่นเงินรูปไก่ฟ้าหลังขาว ทุกอย่างเหมือนชุดเครื่องแบบของบุรุษ
ชุ่ยผิงเอาหมวกกวานไหมเงินนั้นมา แล้วพูดขึ้นยิ้มๆ “วันข้างหน้าคุณหนูต้องแต่งกายเป็นบุรุษเสียแล้ว”
“เป็นความปรารถนาของข้าเลย เร็วหน่อยเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยืนกางแขน รอให้พวกบ่าวเปลี่ยนชุดให้
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงไม่กล้าชักช้า จึงเดินหน้าไปถอดชุดกระโปรงของเหยาเยี่ยนอวี่ออก แล้วเปลี่ยนชุดเครื่องแบบจู่ปั๋วขั้นห้า ทั้งยังหวีผมยาวสลวยของนางใหม่ เกล้าผมขึ้นตามทรงผมบุรุษต้าอวิ๋น จากนั้นเอาหมวกกวานคอกตรงผมมวยแล้วใช้ปิ่นเงินปัก
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” หลังจากจัดระเบียบเสร็จ ชุ่ยเวยมองคุณหนูเหยาในกระจกด้วยความดีอกดีใจ…ชุดคลุมสีขาวนวลจันทร์ หมวกกวานไหมเงิน หน้าตาละมุนละไม ฟันขาวสะอาดและริมฝีปากแดงฉ่ำนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนปัญญาชนตัวน้อยที่สง่างดงาม!
“จุ๊!” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าไม่พึงพอใจ “ดูอ่อนแอเกินไป!”
ชุ่ยผิงพูดขึ้นยิ้มๆ “เช่นนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ! หรือคุณหนูจะองอาจผึ่งผายเหมือนแม่ทัพเว่ย”
“พอเถอะ! พอเถอะ! อย่าให้ผู้อื่นคอยนานเลย เหยาจู่ปั๋วได้โปรดรีบไปเข้ารับตำแหน่งได้แล้ว” ชุ่ยเวยเอาพัดที่อยู่ด้านข้างยื่นไปให้เหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่ผลักพัดที่ยื่นมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ใช่ลูกผู้ลากมากดีเสียหน่อย จะเอาพัดไปทำอะไร อีกอย่าง นี่ก็เดือนเก้าแล้ว ใครมันจะยังเวลาว่างจนต้องถือพัดเดินไปเดินมา”
ชุ่ยเวยกางพัดออก แล้วโบกพัดล้อเลียนเหล่าคุณชายพร้อมเปรยขึ้น “เฮ้อ! นี่คุณหนูคงไม่เข้าใจจริงๆ เหล่าคุณชายในต้าอวิ๋น ใครบ้างที่ไม่ทำตัวอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้”
“อั๊ยยะ ข้าไม่เอาแบบนี้” เหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้น แล้วหมุนตัวไปมาตรงหน้ากระจก พร้อมพูดอย่างรื่นเริง “ชุดเครื่องแบบนี้ก็เหมาะกับข้าดีนะ”
“พวกเขาตัดชุดตามสัดส่วนของคุณหนู จะไม่เหมาะสมได้อย่างไรกันเจ้าคะ” ชุ่ยผิงหันไปเก็บเข็มเงิน มีดผ่าตัด เหล้าต้ม ผงยาและอื่นๆ เข้าไปในห่อผ้า
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่าทุกอย่างเตรียมเสร็จ จึงพาสาวใช้สองคนไปที่เรือนของหนิงฮูหยินน้อย
หนิงฮูหยินน้อยได้ยินเรื่องที่หมอนิติเวชมาเยือนตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่สวมชุดเครื่องแบบขุนนางที่ดูสะดุดตาจึงพูดขึ้นยิ้มๆ “ตระกูลของพวกเรามีขุนนางขั้นห้าสองคนแล้ว เจ้ากลับตำแหน่งสูงกว่าพี่ชายเจ้าไปกว่าครึ่งขั้นแน่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “ข้าจะเทียบกับพี่ชายได้อย่างไร พี่ชายเป็นตั้งปัญญาชนที่สอบผ่านการคัดเลือกขุนนาง นั่นต้องร่ำเรียนตำราอย่างยากลำบากมาตั้งสิบปีแน่ะ”
“เจ้าเองก็พึ่งพาตัวเองและพยายามเรียนด้วยตัวเองมาไม่น้อยนี่” หนิงฮูหยินน้อยยิ้มไปพลางสั่งการชุ่ยเวย “พวกเราติดตามไปด้วย ปรนนิบัติคุณหนูอย่างระมัดระวังด้วยล่ะ ใช่แล้ว บอกให้น้าตู้ซานติดตามไปด้วย เดินอยู่บนถนนใหญ่เช่นนั้น จะได้ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “พี่สะใภ้วางใจเถอะ คิดว่าในสำนักแพทย์ก็คงไม่มีธุระอะไรหรอก ข้าแค่ไปเจออาจารย์สักพักก็กลับมาแล้ว”
“ไปเถอะ” หนิงฮูหยินน้อยมองเหยาเยี่ยนอวี่ออกไปด้วยสีหน้ารื่นเริง แล้วอดเปรยกับเฝิงหมัวมัวไม่ได้ “เฮ้อ! เจ้าว่านี่ผ่านไปกี่วันแล้วเชียว สุดท้ายก็เห็นนางยิ้มเสียที ข้านึกว่าแม่ทัพเว่ยพาวิญญาณของนางไปด้วยแล้ว!”
เฝิงหมัวมัวก็ทอดถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ หลายวันมานี้บ่าวก็รู้สึกกังวลใจเหลือเกิน”
“ดีแล้ว วันนี้นางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเสียที” หนิงฮูหยินน้อยพูดยิ้มๆ “ไปสั่งโรงครัวทำอาหารที่นางโปรดปรานตอนมื้อค่ำที รอให้คุณชายรองกลับมา พวกเราจะได้ฉลองกัน”
เฝิงหมัวมัวพูดด้วยความดีใจ “ฮูหยินกล่าวถูกเจ้าค่ะ วันนี้คุณหนูไปรับตำแหน่งที่สำนักแพทย์ พวกเราควรเฉลิมฉลองเสียหน่อย”
กลับกล่าวถึงสำนักแพทย์แคว้นที่ใหญ่มากเพียงนี้ ก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ทำการศาลาว่าการมาก่อน ตอนนั้นที่ฮ่องเต้องค์แรกบุกเบิกราชวงศ์ จึงก่อตั้งศาลาว่าการนี้ให้รับเรื่องเกี่ยวกับที่พักอาศัยของผู้อพยพหลังสงครามที่ไร้บ้าน จนเวลาล่วงเลยมานานนม ชาวบ้านไร้ที่อยู่ส่วนมากก็มีที่พักอาศัยจนครบ ศาลาว่าการนี้เลยไม่มีประโยชน์ต่อไป หน้าที่นี้ค่อยๆ แบ่งให้ฮู่ปู้[1]และกงปู้[2]คอยรับผิดชอบ ศาลาว่าการที่คอยรับเรื่องผู้อพยพไร้บ้านนี้ถูกยุบ ทิ้งไว้แต่เพียงเรือนขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าออกได้ถึงสามทาง ด้านในมีต้นไม้แก่อยู่สองสามต้น
หลังจากพระราชโองการของฮ่องเต้ลงมา ซื่อหลาง[3]กงปู้ส่งคนมาซ่อมแซมที่พำนักอย่างเร่งด่วน ทั้งยังเก็บกวาดด้านในด้านนอกให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และเบิกโต๊ะเก้าอี้หลายชุดจากคลังหลวงมาตั้งที่นี่ จางชางเป่ยยังขนดอกเบญจมาศหลายสิบกระถางจากสวนพฤกษาของฮ่องเต้มาวางในสวนสำนักแพทย์นี้ พื้นที่หนึ่งมู่สามเฟิ่นนี้ถูกตกแต่งภายในได้สะดวกสบายยิ่งนัก
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่มาถึง ผู้เฒ่าคนนี้กำลังนั่งอาบแดดกินของว่าง และอ่านตำราประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งในมืออย่างสบายใจบนตั่งไม้หลังสวน
ดั่งสุภาษิตที่ว่าคานข้างบนไม่ตรง คานข้างล่างย่อมบิดเบี้ยวตาม เหยาจู่ปั๋วมาเข้ารับตำแหน่ง ดูตำแหน่งนี้เหมือนจะสุขสบายยิ่งนัก
ด้านหลังมีสาวใช้ติดตามอยู่ห้าหกคน หลังจากเข้าประตูมา ก็นั่งลงบนเบาะรองที่นั่ง แล้วพิงบนหมอนนุ่มๆ
ตรงมุมหลังสวนแห่งหนึ่ง ในทุ่มดอกเบญจมาศ มีหม้อดินขนาดเล็กวางบนถ่านที่กำลังแผดเผา จากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ก็เทน้ำแร่ที่พกมาเองลงไปในกล่องใส่ชาสีนิลที่บรรจุใบชาที่ทางจวนปลูกเอง ใบชาเหล่านั้นห่อด้วยกระดาษ หลังจากเปิดออก กลิ่นน้ำชาอันหอมกรุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว
เดิมทีจางย่วนลิ่งนั่งอ่านตำราบนตั่งไม้ พอได้กลิ่นชาหอมๆ เลยเงยหน้าขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ชาอะไร กลับหอมเยี่ยงนี้”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางพลางน้อมคำนับ “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าย่วนลิ่งเจ้าค่ะ”
ใต้เท้าย่วนลิ่งผายมือ “พอเถอะๆ! อย่ามากพิธีอะไรเลย! เร็วเข้า เอาชาชั้นดีนั่นของเจ้ามาให้ข้าลิ้มลองหน่อย”
“น้ำยังไม่เดือด ต้องรอน้ำชาอีกสักพัก” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปนั่งลงตรงข้ามจางชางเป่ย พร้อมทั้งก้มหน้าดูตำราในมือของผู้เฒ่า…’สวนลูกท้อ’
อืม? กลับมาอ่านตำราประวัติศาสตร์กับเขาด้วยหรือ แล้วยังมาอ่านในสำนักแพทย์อีก?
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจแล้วประสานมือเอ่ยถาม “ใต้เท้าย่วนลิ่ง มิทราบว่าท่านกำลังวิจัยตำรายาสมัยโบราณอยู่หรือ”
“ข้าไม่ได้อ่านตำรายาสมัยโบราณ ข้ากำลังอ่านตำราประวัติศาสตร์” ผู้เฒ่าจางเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา จึงยื่นมือหยิบของว่างยัดเข้าปากแล้วอ่านต่ออย่างใจจดใจจ่อ
เหยาเยี่ยนอวี่เปรยอย่างประหม่า “ใต้เท้า เช่นนั้นท่านตามข้าน้อยมามีเรื่องอะไรหรือ ให้มาอ่านตำราประวัติศาสตร์เป็นเพื่อนท่าน? หรือให้มาดูท่านอ่านตำราประวัติศาสตร์”
“จุ๊! เจ้านี่ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ!” ผู้เฒ่าคนนี้ถอนหายใจ แล้วนั่งตัวตรงพลางมองเหยาเยี่ยนอวี่ “สำนักแพทย์นี้ตั้งไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ จริงๆ ตัวข้ามีแค่ไว้ประดับประดาที่นี่เท่านั้น เจ้ามัวแต่อุดอู้อยู่แต่ในจวน แล้วยังป่วยเป็นโรคคิดถึงคนไกลอีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะฝากที่นี่ให้เจ้าดูแล ข้าแค่มาจิบชากินของว่าง อ่านหนังสือประวัติศาสตร์เล่นๆ ส่วนกิจธุระทางราชการ เจ้าต้องเป็นคนจัดการทั้งหมด”
[1] ฮู่ปู้ คือ กระทรวงครัวเรือน
[2] กงปู้ คือ กระทรวงโยธาธิการ
[3] ซื่อหลาง คือ ขุนนางหลางที่มียศสี่ร้อยต้านและมีหน้าที่ประจำอยู่ในพระราชวัง