หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 316 สำนักแพทย์เปิดทำการ เจอศัตรูที่ไม่อยากเจอ (3)
“เช่นนั้นท่านมีหน้าที่ดูแลอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความประหม่า
“ข้า?” ผู้เฒ่าชี้ไปด้านบนพลางหัวเราะ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหมอผู้เฒ่ากำลังชี้ไปบนแผ่นฟ้าอยู่
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าสื่อว่านางเข้าใจแล้ว
“แล้วหมอนิติเวชสองคนและหมอหญิงล่ะ พวกเขาทำหน้าที่อะไร”
“พวกเขาเป็นศิษย์ที่ติดตามข้า พาพวกเขามาทำงานกับเจ้าเถอะ ที่นี่ยังขาดหมออีกยี่สิบคนมิใช่หรือ ให้พวกเขามีเงินเดือนและข้าวกินบ้าง ข้าจะได้ประหยัดเบี้ยเลี้ยงที่ต้องจ่าย อ้อ พวกเขาพอมีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์อยู่บ้าง หากเจ้าไม่วางใจ ก็ทดลองความรู้ของพวกเขาได้เลย”
“วางใจสิ วางใจสิ คนที่ใต้เท้าพามา ข้าจะกล้าไม่ไว้วางใจได้อย่างไร” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม และมองซ้ายแลขวาแล้วเปรยขึ้น “แต่ว่าอาจารย์ สุภาษิตกล่าวไว้ว่าผลิง่วงร่วงเพลีย หลายวันมานี้ ข้ารู้สึกเพลียนัก ยังไม่อยากทำอะไรจริงๆ แค่อยากจะกินๆ นอนๆ รอคอยความตาย ข้าควรแก้ปัญหานี้เช่นไรดี”
ผู้เฒ่าตอบ ‘อืม’ แล้วพูดขึ้นต่อ “เช่นนั้นเจ้าก็กินนอนรอคอยความตายที่นี่ไปวันๆ สิ เจ้าจำต้องอยู่ที่นี่ มิเช่นนั้นฮู่ปู้คงไม่จ่ายเงินเดือนให้เจ้า!”
“อ๊า! เข้าใจแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเหยียดกายลุกขึ้นพลางน้อมคำนับให้ท่านผู้เฒ่า “ใต้เท้าเชิญนั่งก่อนเถอะ ข้าจะไปเดินดูเรือนแห่งนี้เสียหน่อย”
“ไปเลย ดูให้ดีว่ามีตรงไหนที่ยังไม่เข้าตาเจ้าแล้วสั่งให้คนมาจัดการเถอะ ในจวนหากมีดอกไม้พันธุ์ดีก็เอามาประดับประดาที่สำนักแพทย์ของพวกเราหน่อย อย่างไรที่นี่ก็คือเป็นหน้าเป็นตาของแคว้น!”
“เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับพลางผายมือ น้าตู้ซาน =ชุ่ยเวย ชุ่ยผิง และคนอื่นๆ รีบเอาเบาะที่นั่งและหมอนติดตามเหยาจู่ปั๋วไปทันที
เหยาเยี่ยนอวี่เดินวนสำนักแพทย์แคว้นนี้ไปหนึ่งรอบ สุดท้ายก็เลือกที่จะยืนโบกมืออยู่ใต้ต้นเย่ว์กุ้ยต้นหนึ่ง
น้าตู้ซานสั่งให้หมอนิติเวชสองคนนี้ย้ายตั่งไม้และโต๊ะเตี้ยไปวางใต้ต้นไม้
จากนั้นเหล่าสาวใช้จึงรีบจัดวางเบาะนุ่มและหมอนลง เหยาจู่ปั๋วนอนลงอย่างสบาย ชุ่ยเวยเอาผ้าห่มผืนบางไปห่มให้นางไว้ด้วยความใส่ใจ
เหยาจู่ปั๋วหลับตาลงแล้วเริ่มหลับใหลไป
จริงๆ นางจะหลับไปได้อย่างไร เหยาเยี่ยนอวี่หลับตาแล้วกำลังครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรกับสำนักแพทย์นี้ดี
ฮ่องเต้ใช้งานคนได้เก่งจริงๆ กลับคิดเช่นนี้ออกมาได้ พอกล่าวถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้คงให้ความสำคัญกับนักปราชญ์ราชบัณฑิต ใช้ผู้มีความสามารถโดยไร้ขีดจำกัด แต่ความเป็นจริงแล้ว เขาก็แค่ต้องการหลอกใช้ตนเองทำการใหญ่เท่านั้น
แค่เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย ในราชวงศ์เช่นนี้ ใครบ้างที่ไม่ใช่หมากล้อมในมือของฮ่องเต้ แค่ผู้ที่ถูกใช้งานเช่นนี้ ก็ถือว่ามีคุณค่ามากพอแล้ว มิเช่นนั้นหากถูกคนอื่นเหยียบจนจมดินขึ้นมา ก็คงไม่มีใครมาสนใจไยดี
ตอนนี้เกรงว่าฮ่องเต้มอบหน้าอันใหญ่หลวงเช่นนี้ให้ตนรับผิดชอบ แต่ตนกลับสร้างผลงานอะไรออกมาไม่ได้ สุดท้ายก็คงถูกฮ่องเต้ไล่ออก
หลายวันก่อนตอนอยู่ในจวน เหยาเยี่ยนอวี่คิดถึงแต่เว่ยจาง ตั้งแต่รู้จักเขาจวบจนจูบอันดูดดื่มนั้นของเขา ทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน ทุกคำพูดที่เอ่ย ทุกเรื่องที่ทำ ทุกสายตาและการกระทำของเขา นางเหมือนถูกวิญญาณสิงร่าง ต่อให้ครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่รู้จบ
จนถึงตอนนี้ นางก็เข้าใจอย่างกระจ่างขึ้น นางไม่ได้ลืมเขา แต่กลับเก็บซ่อนเขาไว้ในใจ และซ่อนอยู่ตรงตำแหน่งที่ปลอดภัยที่สุด
นี่ตนควรทำอะไรหน่อยหรือเปล่า! บุรุษออกศึกสร้างผลงานอันน่าภาคภูมิใจ ส่วนตนที่เป็นสตรีก็ไม่ควรกินๆ นอนๆ รอคอยความตายในจวนเช่นนี้หรือเปล่า เหยาเยี่ยนอวี่จึงแอบถอนหายใจ
สามวันต่อจากนี้ คุณหนูเหยาไปสำนักแพทย์แต่เช้าตรู่ นางนอนอยู่ใต้ต้นเย่ว์กุ้ยไปครึ่งค่อนวัน ตอนเที่ยงตนจะพาแม่ครัวเริ่มทำอาหารตรงเรือนหลัง อาหารที่ทำในทุกวันจะเป็นเครื่องเคียงและข้าวต้มที่นางชื่นชอบ หลังจากกินอิ่มก็จะเดินวนในสำนักหนึ่งรอบแล้วกลับมาเขียนตัวอักษรและวาดภาพบนโต๊ะหนังสือต่อ พอตกเย็นถึงจะเลิกงานกลับจวน
หลังจากผ่านไปสามวัน คุณหนูเหยาเขียนสาส์นกราบทูลฉบับหนึ่งที่มีตัวอักษรหลายพันตัว แน่นอนว่าสิ่งที่นางเขียนล้วนเป็นคำพูดยืดเยื้อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะต่อให้นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสิบปีก็ยังไม่เข้าใจในโครงสร้างสี่คำที่ปัญญาชนใช้อยู่ดี
สาส์นกราบทูลนี้นางไม่ได้ส่งไปให้ฮ่องเต้โดยตรง ทว่ากลับให้จางชางเป่ย
ผู้เฒ่าคนนี้เห็นสาส์นกราบทูลนี้ ถึงจะทิ้งตำราประวัติศาสตร์ที่อยู่ในมือลงทันที จากนั้นตั้งใจอ่านไปสามรอบแล้วพยักหน้า พร้อมทั้งเอาพู่กันที่อยู่ด้านหลังมาเขียนนามของตนเอง แล้วค่อยคืนให้เหยาเยี่ยนอวี่ “ส่งไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกประหลาดใจมาก ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่า ต่อให้เจ้าเกียจคร้านมากเพียงใด แต่นี่เป็นสาส์นที่ต้องส่งให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนะ!
ทว่าพอผู้เฒ่าคนนี้ลงชื่อของตนเอง ต่อให้ฮ่องเต้จะถือโทษก็คงยังมีเขาคอยรับหน้า แล้วจะกลัวอะไรอีก เลวร้ายที่สุดก็แค่ถอดชุดเครื่องแบบราชการแล้วกลับบ้านไปใช้ชีวิตของตนเองตามลำพัง
ดังนั้น คืนนั้นสาส์นกราบทูลของคุณหนูเหยาจึงถูกส่งเข้าไปในราชวัง แล้ววางบนโต๊ะทรงพระอักษรในห้องทรงอักษร
ความคิดของเหยาเยี่ยนอวี่ง่ายมาก เรื่องที่หนึ่งที่นางเสนอคือให้ราชสำนักเสียเงินซื้อตำราโอสถโบราณของคนใต้หล้านี้มาสะสมไว้ หลังจากตรวจสอบความถูกต้อง ก็ค่อยรวบรวมความรู้ทั้งหมดไว้ในหนังสือเล่มเดียว นั่นก็คือ ‘ตำราโอสถโบราณฉบับสมบูรณ์’
เรื่องที่สอง นางอยากจะเขียนตำราแพทย์ออกมาหนึ่งเล่มไว้ให้หมอหญิงใช้โดยเฉพาะ เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพร่างกาย
นี่ไม่จำเป็นต้องให้ราชสำนักเสียเงิน ตอนนี้ตระกูลชั้นสูงล้วนมีเงิน ทว่าต่อให้มีเงินก็ยากที่จะซื้อสุขภาพแข็งแรง ทุกตระกูลล้วนก็มีบ่าวไพร่นับร้อยคน แค่ฮ่องเต้ทรงตรัสถึงตำราของนาง ทุกตระกูลย่อมต้องส่งบ่าวไพร่มาเรียนรู้อยู่แล้ว หากเก็บค่าเทอม ค่าที่พักและค่าอาหารของทุกคน นี่ก็ถือเป็นรายได้ที่ไม่น้อย อย่างน้อยก็หารายได้ที่เป็นค่าใช้จ่ายรายวันของสำนักแพทย์ได้
ส่วนเรื่องที่สามที่นางเสนอคือ ‘ตำราบันทึกสมุนไพร’ ที่นางเรียบเรียงจากตำราโบราณถวายให้สำนักหมอหลวง วันข้างหน้าหมอหลวงที่มีความสามารถในสำนักก็เอาตำราไปอ่านเป็นความรู้ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่นางอุทิศให้สำนักหมอหลวง
เรื่องนี้ทำให้คนมองนางด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไปมาก
ผู้คนในสมัยนี้ล้วนวิจัยเกี่ยวกับความรู้และสูตรยาใหม่ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งทุกตระกูลกลัวว่าผู้อื่นจะล้วงความลับพวกนี้ไป ตำราเฉกเช่น ‘ตำราบันทึกสมุนไพร’ พวกนี้หายสาบสูญไปนับร้อยปี กลับเอามาให้คนอื่นเรียนรู้โดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ได้ นี่ทำให้ผู้อื่นสงสัยว่านางบ้าไปแล้วหรือเปล่า
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้คิดเช่นนี้
นางคิดว่าตำราเฉกเช่น ‘ตำราบันทึกสมุนไพร’ นี้เป็นมรดกตกทอดของมนุษย์ทุกคน ต่อให้ตระกูลเหยาเป็นผู้เก็บสะสม ทว่าก็ยังมิอาจเอามันไปครอบครองเป็นเจ้าของ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นตำราแพทย์ จุดประสงค์ของผู้ที่เขียนตำราเล่มนี้คือต้องการช่วยชีวิตผู้คนในใต้หล้านี้ มันไม่สมควรถูกเก็บเข้าไปบนชั้นวางหนังสือเฉยๆ โดยไม่มีใครรู้จักเช่นนี้
ไม่ว่าจะราชวงศ์ใด และกฎระเบียบของแคว้นจะเป็นเช่นไร ตำราเล่มนี้ควรถวายให้ราชสำนัก มีเพียงพละกำลังระดับแคว้นถึงจะดึงคุณค่าของตำราเล่มนี้ออกมาใช้ประโยชน์ เพื่อรักษาผู้คนอีกมากมาย
สำหรับเรื่องนี้ก็สร้างสถานการณ์วุ่นวายให้สำนักหมอหลวงแล้ว
หมอหลวงแต่ละคนในสำนักหมอหลวงและคนอื่นๆ ที่อยู่ในวงการแพทย์ต่างก็เคยได้ยินตำรานี้ ทว่าไม่เคยมีโอกาสเห็น วันนี้ได้ยินว่าเหยาจู่ปั๋วจะอุทิศตำราลับนี้ออกมา แค่เป็นผู้ที่มีหน้าที่ในสำนักหมอหลวงล้วนมีสิทธิ์ได้อ่านตำราเช่นนี้
ดังนั้นคนพวกนี้ต่างก็ร่าเริงยินดียิ่งนัก ทุกอย่างต่างยื่นใบสมัครให้หัวหน้าของตนเอง เพื่อที่จะได้ย้ายไปทำงานในสำนักแพทย์แคว้น นี่ก็เปรียบเสมือนผู้ฝึกวรยุทธ์เห็นวิทยายุทธ์ของจอมยุทธ์ผงาดฟ้า คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่อยากเห็น ทั้งยังอยากครอบครองวิทยายุทธ์