หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 318 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (1)
เจ้าเถาเยาก็เป็นม้าที่นิสัยดื้อดึงอยู่แล้ว มันไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของใครง่ายๆ ภายหลังมันได้รับบาดเจ็บระหว่างฝึกฝน คุณหนูเหยารู้สึกเอ็นดูมันมาก จึงรักษาบาดแผลมันไปสักระยะ หลังจากที่มันหายดี นิสัยก็เปลี่ยนไปมาก ทว่ายอมเชื่อฟังแต่คำสั่งของคุณหนูเหยาเท่านั้น ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่จึงชื่นชอบมันมากกว่าเดิม
ว่าไปแล้ว สรรพสิ่งทั้งปวงในใต้หล้านี้ล้วนมีจิตวิญญาณ ครูฝึกม้าที่ฝึกม้ามานับร้อย มีเพียงเถาเยาเท่านั้นที่ไม่ยอมเชื่อง จนถึงกับทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บที่แสนสาหัส ด้วยเหตุนี้เจ้าเถาเยาจึงมั่นใจว่าเหยาเยี่ยนอวี่เป็นเจ้านายที่แท้จริงของมัน
เถาเยารู้ว่าเจ้านายของตนไม่ชอบความรุนแรง ดังนั้นมันจึงพยายามเดินอยู่บนถนนใหญ่ด้วยความใจเย็น ไม่เหมือนเป็นม้าพันธุ์ซีหวั่นเจ้าอารมณ์เลย
พอเดินไปไม่ถึงครึ่งทาง ด้านหน้าก็มีคนมาขวางทางเถาเยาไว้
เหยาเยี่ยนอวี่ใต้เสื้อคลุมที่อยู่บนหลังม้าเงยหน้าขึ้น ภายในใจลอบถอนหายใจพลางเปรยว่าโลกนี้คับแคบจริงๆ กลับเจอศัตรูที่ไม่อยากเจอ
อวิ๋นเหยาใส่ชุดขี่ม้าผ้าต่วนสีแดง และชุดคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวโพลน ท่าทางดูปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด มือซ้ายของนางจับแส้ม้า ม้าขวาจับบังเหียนม้าไหมทอง และกำลังขวางทางไปของเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ใต้เท้าเหยา พวกเรามาประลองกันหน่อยเถอะ”
ประลองอะไรกันเล่า อากาศเหน็บหนาวเช่นนี้กลับทำตัวสบายเช่นนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก่นด่าในใจ ใบหน้ากลับแย้มยิ้มอ่อนๆ “จวิ้นจู่ ต้องขอโทษจริงๆ ข้าน้อยยังมีธุระต่อ ไว้โอกาสหน้าดีไหม”
“เจ้าคงไม่ใช่ว่าไม่กล้า?” อวิ๋นเหยาแสยะยิ้มเย้ยหยัน
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าหากไปประลองกับคนที่ว่างจัดจนชอบทำเรื่องไร้สาระ ตนก็คงกลายเป็นคนไร้สาระไปด้วย ดังนั้นนางจึงประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม พูดขึ้น “ข้าน้อยมิบังอาจ ท่านเป็นถึงจวิ้นจู่ อย่างไรก็แกร่งกว่าข้าน้อยในทุกด้านอยู่แล้ว ข้าน้อยจะกล้าไปเทียบเทียมอะไรกับท่านได้อย่างไร”
อวิ๋นเหยาแสดงอารมณ์โมโหออกมาอย่างชัดเจน ทว่ากลับทำสีหน้าดูหมิ่นสุดขีด แล้วแสยะยิ้มเลือดเย็น “เหยาเยี่ยนอวี่ ยังจะมาเสแสร้งอีก! ข้าว่าคนทั้งเมืองหลวงอวิ๋นนี้ ก็คงไม่มีใครเสแสร้งไปกว่าเจ้าแล้วกระมัง!”
“เป็นเช่นนั้น จวิ้นจู่พูดอะไรก็ว่าตามนั้น” เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงมีสีหน้าสบายใจ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกเบื่อหน่ายนัก
อวิ๋นเหยายกแส้ในมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง “ดี ข้าว่าอะไรก็ว่าตามนั้น ตอนนี้พวกเรามาประลองกันสักตั้ง หากเจ้าแพ้ ก็ไสหัวออกจากเมืองหลวงอวิ๋นเสีย”
เหยาเยี่ยนอวี่แสยะยิ้มพลางส่ายหน้า “ขอประทานโทษจริงๆ เรื่องนี้ท่านไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่ง ตอนนี้ข้าน้อยเป็นขุนนางในราชสำนัก มีเพียงฮ่องเต้ที่มีอำนาจนี้ ทว่าจวิ้นจู่กลับไม่มีสิทธิ์”
“เจ้ากล้าใช้เสด็จลุงมาข่มขู่ข้าหรือ!”
“ไม่ว่าจะใช้ใคร ขอแค่ข่มขู่ท่านได้ก็พอแล้ว”
“รนหาที่ตายหรือ!” อวิ๋นเหยาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ทันใดนั้นนางจึงโมโหจนขาดสติ จากนั้นก็โบกแส้ม้าขึ้นและสะบัดลง
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ทันครุ่นคิดอะไรมากมาย ร่างกายของนางกลับตอบสนองก่อน นางหลบไปด้านหลัง ขณะที่หลบแส้ม้า จู่ๆ มือก็ยื่นออกไปจับข้อมือของอวิ๋นเหยาไว้ นิ้วมือของนางไปสัมผัสกับข้อมือของอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ
ทันใดนั้น ชี่ในร่างกายของเหยาเยี่ยนอวี่กลับแผ่ซ่านออกมาผ่านปลายเล็บ นางไม่รู้สึกว่าตนเองใช้แรงมากเกินไป ทว่ากลับได้ยินเสียงกรีดร้องของอวิ๋นเหยาจนแส้ในมือตกลงไปบนพื้น
“เอ๊ะ? เป็นอะไรไป” เหยาเยี่ยนอวี่เองก็รู้สึกแปลกพิลึก ก็แค่จับข้อมือนางเบาๆ เพียงชั่วครู่เดียวมิใช่หรือไร ถึงกับทำให้นางเจ็บตัวเช่นนี้เลยหรือ
“เจ้าใช้วิธีสกปรกสิ้นดี!” อวิ๋นเหยาแค่รู้สึกเหมือนข้อมือหัก เจ็บปวดมากจนไร้คำบรรยาย
องครักษ์สี่นายที่ติดตามอยู่ด้านหลังนางก็รีบเดินหน้ามา ผู้นำที่อยู่หน้าสุดขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “จวิ้นจู่ ไม่เป็นเช่นไรใช่หรือไม่”
“มือของข้าใกล้จะหักแล้ว!” อวิ๋นเหยาเจ็บปวดมาก ทว่ากลับไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ นางพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้
องครักษ์คนนั้นถลึงตามองเหยาเยี่ยนอวี่เพียงปราดเดียว ทว่ากลับไม่กล้าทำอะไร แค่ยื่นมือไปจับข้อมือของอวิ๋นเหยาไว้แล้วนวดให้นางด้วยความใส่ใจพร้อมขมวดคิ้ว “จวิ้นจู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร อาการเจ็บปวดนั้นเป็นอาการเช่นไรขอรับ”
“จะไปรู้หรือว่าอาการเป็นเช่นไร เจ็บก็คือเจ็บ จะอธิบายออกมาได้อย่างไร!” อวิ๋นเหยาเครียดจนขาดสติ นางชี้เหยาเยี่ยนอวี่พลางพูดอย่างโมโห “ค้นตัวนางเดี๋ยวนี้ ดูว่านางแอบซ่อนของแปลกๆ อะไรไว้หรือเปล่า! ข้าไม่เชื่อว่านางแค่จับมือข้าก็ทำให้รู้สึกเจ็บได้ถึงขั้นนี้ได้! นางต้องใช้วิธีสกปรกอะไรแน่นอน”
“จวิ้นจู่ นี่…” องครักษ์ค่อนข้างรู้สึกลำบากใจ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นถึงจู่ปั๋วขั้นห้า ถึงแม้นางจะสวมชุดบุรุษ แต่นางก็ยังเป็นสตรีอยู่ดี เขาเป็นเพียงองครักษ์ขั้นสามเท่านั้น แล้วจะกล้าไปค้นตัวนางเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร
“ทำไม พวกเจ้าไม่กล้า?” อวิ๋นเหยาหันไปมององครักษ์ด้วยความโมโห
เหล่าพ่อบ้านและองครักษ์ที่ติดตามจวิ้นจู่เมื่อครั้งที่แล้ว ต่างเผชิญกับสถานการณ์ย่ำแย่ในตอนท้าย องครักษ์คนนี้จึงระมัดระวังตัวมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงประสานมือคารวะ “จวิ้นจู่ขอรับ เหยาจู่ปั๋วเป็นถึงขุนนางขั้นห้าในราชสำนัก ท่านว่าเรื่องนี้ควรทูลท่านอ๋องหรือไม่”
อวิ๋นเหยามององครักษ์คนนี้ด้วยความโกรธแค้น แล้วก็หันไปมองเหยาเยี่ยนอวี่ที่มีสีหน้านิ่งเฉย แล้วพูดอย่างโมโห “ขุนนางราชสำนักอย่างนั้นหรือ มันก็แค่บ่าวไพร่ที่เป็นสุนัขรับใช้คนอื่นเท่านั้นแหละ! ฐานะเช่นนี้ของนาง จะมีค่าพอที่จะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อของข้าด้วยหรือ!”
เหยาเยี่ยนอวี่เบื่อการพูดคุยเรื่องนายและบ่าวไพร่ที่สุด ปกตินางก็พยายามแสดงท่าทางที่เคารพต่อบ่าวไพร่ที่ติดตามข้างกายตนเองที่สุด ตอนนี้พอมีคนชี้หน้าด่าทอว่านางเป็นสุนัขรับใช้ ช่างทำให้นางทนไม่ได้จริงๆ ดังนั้นนางจึงเดือดดาลขึ้นมา แล้วถามกลับด้วยเสียงเลือดเย็น “จวิ้นจู่มั่นใจยิ่งนัก หรือขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ในราชสำนัก ล้วนเป็นบ่าวไพร่ของเจ้าทั้งหมด?”
“แหม ใครกัน กลับมาโวยวายเรื่องนายและบ่าวไพร่กลางถนนใหญ่เช่นนี้” เสียงหัวเราะแผ่วเบาทำลายสถานการณ์ที่วางอำนาจของทางนี้
เหยาเยี่ยนอวี่และอวิ๋นเหยาหันไปพร้อมกัน จากนั้น…เหยาจู่ปั๋วจึงรู้สึกปลาบปลื้มยินดี ทว่าอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่กลับโมโห
“ท่านเซียวโหว” เหยาจู่ปั๋วประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม
“เหอะ!” อวิ๋นเหยาเครียดจนตาแดง
ช่วงนี้ เพื่อที่จะทำให้บุตรีทำใจได้กับเรื่องเหล่านี้ เฉิงหวังเฟยจึงบอกเรื่องงานสมรสพระราชทานและข่าวลือที่เกี่ยวข้องให้บุตรีฟัง
เฉิงอ๋องโปรดปรานจิ้งไห่โหวเซียวหลิน ฮ่องเต้ก็โปรดปรานเขาเช่นกัน ทว่าไม่รู้ว่าทำไมกลับไม่ได้รับพระราชทานงานสมรส ทว่ายังสั่งให้จิ้งไห่โหวย้ายไปเข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางจัดการตลาดเกลืออะไรนั่น จากนั้นช่วงนี้องค์หญิงใหญ่หนิงหวามักเข้าเฝ้าฮองเฮาบ่อยๆ บอกว่านางรู้สึกว่าจิ้งไห่โหวเป็นบุรุษไม่เลว เลยอยากจะให้บุตรีคนรองสมรสกับเขา ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าพระพักตร์ แล้วรอคอยเวลาที่ได้เล่าเรื่องเช่นนี้เลยทีเดียว
สุดท้ายก็ทอดถอนหายใจอีกครั้ง เจ้านี่แหละไม่เอาถ่าน เว่ยจางดีตรงไหนหรือ ต่อให้เขาสร้างผลงานในค่ายทหารมากเพียงใดก็เป็นเพียงแม่ทัพคนหนึ่งเท่านั้น อนาคตจะยิ่งใหญ่ไปกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงได้อย่างไร กลับเป็นจิ้งไห่โจว บุรุษที่ยังหนุ่มยังแน่นก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโหวแล้ว ต้องมีอนาคตที่ไร้ขีดสิ้นสุดแน่นอน ทว่ากลับถูกตระกูลหันแย่งไปซึ่งๆ หน้า
ผู้ที่อวิ๋นเหยาหมายปองคือเว่ยจาง ดังนั้นเรื่องแย่งชิงเซียวหลิน นางก็ไม่มีทางไปสนใจอยู่แล้ว
ทว่านางสนใจแต่เพียงหันหมิงชั่น จริงๆ หันหมิงชั่นโปรดปรานพี่ชายของตน ทว่ากลับมีใจให้กับผู้อื่น แล้วยังจะออกเรือนกับผู้อื่นเช่นนี้ นางเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชายไม่มีความสุข นี่เป็นสิ่งที่นางทนดูไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่หมุนตัวกระโดดลงจากหลังเถาเยาอย่างสง่างาม แล้วหันไปทำมือคารวะด้วยรอยยิ้มกับเซียวหลิน “คารวะท่านเซียวโหวเจ้าค่ะ”
เซียวหลินตกตะลึงท่าทางอันสง่างามตอนลงหลังม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ จากนั้นก็กวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้ว ‘พรวด’ หัวเราะออกมา “ว่าไปแล้วชุดเครื่องแบบขุนนางก็เหมาะกับเจ้าดี ดูเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือขึ้นมาทันที”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นยิ้มๆ “ท่านโหวกำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่หรือ”
“มิบังอาจ นี่เป็นคำพูดจากใจจริง” เซียวหลินยิ้มอย่างรื่นเริง “ว่าไปแล้วก็ช่างบังเอิญนัก ทันทีที่ข้ากลับมาถึงก็ได้เจอเจ้าเช่นนี้ ข้ายังต้องรีบเข้าวัง หากกิจธุระของข้าราบรื่นดี วันรุ่งขึ้นจะไปเยี่ยมเยียนพี่เหยาที่จวน”