หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 32 ยื่นมือช่วยอีกครั้ง
“เชินเอ๋อร์…” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงจับมือของเฟิงเซ่าเชินไว้ และพยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
“ค่อยๆ เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า ค่อยๆ ลุกนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ด้านข้างต่างก็เข้าไปช่วยกันพยุงฮูหยินผู้เฒ่าให้ลุกขึ้นมานั่ง มีคนปูเบาะรองนั่งไว้ เหล่าผัวจื่อจึงรีบพยุงฮูหยินผู้เฒ่ามานั่งบนเบาะรองนั่ง
เฟิงเซ่าเชินหันไปมองแม่นางที่สวมใส่ชุดผ้าหยาบ พร้อมทำมือคารวะอย่างเกรงอกเกรงใจ “ขอบคุณแม่นางที่ยื่นมือช่วยเหลือ”
เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงเบา พลางกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าก็แค่ผ่านทาง และรู้ว่าอาการเช่นนี้คือโรคอะไรพอดี เห็นคนจะสิ้นใจแล้วจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร อีกอย่าง ฮูหยินผู้เฒ่าก็มีอายุมากแล้ว บริเวณนี้ทั้งเย็นและชื้น อย่าได้นั่งที่นี่นานไปกว่านี้เลยเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว แม่นางกล่าวได้มีเหตุผลจริงๆ” เฟิงเซ่าเชินยกยิ้ม จากนั้นหันหลังไปสั่งเหล่าผัวจื่อ “พยุงฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นไปพักผ่อนบนเกี้ยว และเก็บกวาดที่นี่ให้เรียบร้อย จากนั้นพวกเรารีบมุ่งหน้าไปยังวัดต้าเจวี๋ยจะดีกว่า จะได้เชิญท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงตรวจจับชีพจรให้ท่านย่าด้วย”
เวลานี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงได้สติกลับมาทั้งหมด และรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ตนเองเพิ่งหลุดพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานระหว่างความเป็นกับความตาย อย่างไรนางก็เป็นแม่เฒ่าที่มีอายุมากแล้ว จึงสามารถสงบสติอารมณ์ได้มากกว่าผู้อื่น นางพิงอยู่ในอ้อมกอดของสาวใช้จึงกวักมือเรียกเหยาเยี่ยนอวี่ “แม่นาง มานี่”
เหยาเยี่ยนอวี่มองออกว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้มีฐานันดรศักดิ์ที่สูงศักดิ์ นางต้องไม่ใช่บุคคลทั่วไป จึงเดินเข้าไปสองก้าว พร้อมกับย่อตัวคำนับ “คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“เมื่อครู่ ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตของข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงกล่าวขอบคุณจากใจจริง
“ฮูหยินผู้เฒ่าเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนอย่างมีมารยาท
ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นแม่นางในหุบเขาแห่งนี้หรือ ที่บ้านยังมีใครอื่นใดอีกหรือไม่ ไหนๆ เจ้าก็มีความรู้ด้านการแพทย์แล้ว เจ้ายินยอมที่จะติดตามข้าไปหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ชะงักไป ในใจกำลังครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจว่า มันง่ายนักรึไง กว่าที่ตนจะหนีออกมาได้ แล้วจะกลับไปอีกได้อย่างไร ชุ่ยเวยอดใจไม่ไหวกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ คุณหนูของบ่าวเป็นน้องสาวของสะใภ้สามจวนติ้งโหวเจ้าค่ะ”
“อ้อ?!” แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงเป็นประกาย “ข้าก็ว่า ดูจากวาจาและท่าทีของแม่นางผู้นี้ ต้องไม่ใช่หญิงสาวที่มาจากตระกูลเล็กๆ แน่นอน ที่แท้ก็…เป็นคุณหนูแห่งจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองอย่างนั้นหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วพลางมองชุ่ยเวย ชุ่ยเวยพลันปิดปากทันที ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงได้ยินอย่างชัดเจน จึงจับมือเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความดีอกดีใจ ทว่านางกลับไม่ได้เปล่งวาจาไปชั่วขณะ
เฟิงเซ่าเชินจึงเข้ามาเตือน “ท่านย่าขอรับ ที่นี่ทั้งชื้นและหนาว อีกทั้งยังมีแรงลมของหุบเขาพัดผ่านเข้ามา ท่านย่ามีร่างกายที่อ่อนแอ ไม่เหมาะกับการอยู่ที่นี่นานๆ อย่างไรเชิญท่านย่าไปวัดต้าเปยก่อน แล้วหาที่พักในวัดที่สะอาดให้ท่านได้พักผ่อนก่อนเถอะ”
“คุณชายกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ สภาพร่างกายเยี่ยงนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าคงทนกับอากาศที่เหน็บหนาวเช่นนี้ไม่ได้ พวกท่านรีบไปพักผ่อนในวัดก่อนเถอะเจ้าค่ะ จากนั้นค่อยส่งคนไปเชิญหมอหลวงมาจับชีพจรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกที” เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจว่าพวกเจ้ารีบไปกันเถอะ ข้ายังต้องกลับไปเอารังผึ้งรวงใหญ่นั่น
“งั้นก็ดี พวกเราขึ้นไปกันเถอะ นี่ก็ยุ่งวุ่นวายมานานแล้ว ประเดี๋ยวแม้แต่เวลาจุดธูปอาจต้องละเลยไป” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงถอนหายใจ แม้นตอนนี้ร่างกายของนางจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว แต่เพราะสถานการณ์เมื่อครู่นี้ นางจึงยังรู้สึกไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเดิม
พวกสาวใช้และผัวจื่อจึงรีบเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ บ่าวรับใช้ก็ยกเกี้ยวเก้าอี้ไม้ไผ่ขึ้นแล้วเดินหน้าต่อ
เฟิ่งเซ่าเชินหันไปน้อมคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่ “ขอบคุณคุณหนูเหยาที่ช่วยชีวิตท่านย่าของข้าไว้ จื่อเชินกลับไปจะบอกเรื่องให้ท่านพ่อได้รับรู้ แล้ววันข้างหน้าจะต้องไปขอบคุณท่านถึงจวนแน่นอน”
“คุณชายเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวลงเล็กน้อย “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ควรกินอาหารที่มันและรสเค็มเกินไป ปกติควรกินผักที่มีรสชาติจืด และในเวลาที่มีอากาศหนาวเย็น ควรระมัดระวังให้ฮูหยินผู้เฒ่ารักษาความอบอุ่นของร่างกายให้มาก อีกทั้งวันข้างหน้าก็อย่าได้ปล่อยให้ท่านหกล้มอีกเป็นอันขาด”
“ขอรับ จื่อเชินจะจดจำไว้” เฟิงเซ่าเชินจึงหันไปน้อมคำนับอย่างสง่างาม “ขอบคุณคุณหนูเหยาอีกครั้ง หากคุณหนูเหยามีเวลา ก็ไปเยือนที่วัดต้าเจวี๋ยด้วยกันเถอะ ตอนนี้เป็นเวลามื้อเที่ยงแล้ว ข้าจึงอยากจะเชิญท่านไปกินอาหารมังสวิรัติด้วยกัน จะได้หรือไม่”
“คงมิได้เจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พลันปฎิเสธ “ข้ายังต้องกลับอารามของแม่ชี เชิญคุณชายตามสบายเถิด”
“ได้ งั้นคุณหนู ข้าขอตัวก่อน” เฟิงเซ่าเชินจึงผละกายจากไป ทว่าสายตายังคงจับจ้องเหยาเยี่ยนอวี่ไว้
เหยาเยี่ยนอวี่จูงมือชุ่ยเวยแล้วรีบวิ่งกลับไปทางเดิม ตอนที่เฟิงเซ่าเชินหันกลับไปมองอีกครั้งก็บังเอิญเห็นเรือนร่างด้านหลังของนางที่กำลังวิ่งสะดุดจนเซเล็กน้อย เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม คุณหนูเหยาผู้นี้ดูไร้เดียงสาจริงๆ นางดูงดงามไร้สิ่งแต่งเติมใดๆ รูปโฉมงดงามยิ่งนัก อีกอย่างยังมีนิสัยที่ดี แล้วยังใฝ่รู้วิชาการแพทย์อีก ช่างดียิ่งนัก
ชุ่ยเวยถูกเหยาเยี่ยนอวี่จูงมือแล้ววิ่งกลับไปทางเดิม นางจึงรู้สึกกระวนกระวายจนเหงื่อท่วมตัว “คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ! พวกเราจะกลับทางเดิมไปไยเจ้าคะ!”
“พวกเราจะกลับไปหาเด็กน้อยสองคนนั้นที่แหย่รังผึ้งไง”
“กลับไปหาพวกเขา?!” ชุ่ยเวยรู้สึกมึนงงยิ่งนัก “ไปหาพวกเขาทำอะไรเจ้าคะ! นี่…เจ้าเด็กสองคนนั้นยังสร้างเรื่องรำคาญใจให้พวกเราไม่พออีกหรือเจ้าคะ!”
“รังผึ้งนั่นเป็นของดี ข้าหามาตั้งนานแล้ว”
ชุ่ยเวยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็ไม่พูดไม่จาอีก เก็บแรงไว้วิ่งในผืนป่าแห่งนี้กับนายหญิงที่สุดแสนจะบ้าคลั่งของตนเองจะดีกว่า
ตอนที่ทั้งสองกลับมา เด็กสองคนนั้นก็กลับบ้านไปแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่จึงพาชุ่ยเวยเดินหาบ้านของเด็กสองคนนั้น ชาวบ้านครอบครัวนั้นก็ได้เอารังผึ้งกลับไปและบีบน้ำผึ้งออกมาแล้ว น้ำผึ้งที่บีบออกมานั้นได้ครึ่งไห
ชาวบ้านครอบครัวนั้นได้ยินว่าเหยาเยี่ยนอวี่อยากได้รังผึ้งใหญ่รวงนั้น จึงไม่เอ่ยพูดใดๆ ก็เอารังผึ้งมอบให้นางเลย
ชุ่ยเวยจึงได้มอบเงินที่อยู่ในห่อผ้าให้พวกเขา ชาวบ้านครอบครัวนั้นจึงรู้สึกดีอกดีใจยิ่ง เลยเชิญชวนพวกนางสองคนกินอาหารในเรือนด้วยกัน
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ดำรงชีพโดยการทำไร่ทำนาและล่าสัตว์ป่ามาประกอบเป็นอาหาร จึงเป็นอาหารที่เรียบง่าย ไม่มีอาหารอะไรที่เลิศรส มีเพียงข้าวต้มหนึ่งถ้วยและเนื้อกระต่ายป่าตุ๋น เหยาเยี่ยนอวี่และชุ่ยเวยต้องทนลำบากในการเดินวนในผืนป่าแห่งนี้มาครึ่งค่อนวัน จึงรู้สึกหิวมานานแล้ว อาหารมื้อนี้จึงเป็นอาหารที่กินอย่างเอร็ดอร่อยยิ่งนัก
หลังจากที่กินอาหารเที่ยงแล้วพักผ่อนสักพัก ทั้งสองก็ถามทางไปวัดฉือซินกับพวกชาวบ้าน จากนั้นก็อำลาพวกเขาแล้วเดินกลับทางเดิม เมื่อกลับมาถึงพวกนางแอบเข้าประตูหลังเช่นเดิม ทว่ากลับนึกไม่ถึงว่ามีคนกำลังคอยพวกนางอยู่
ตอนที่เฝิงหมัวมัวเห็นทั้งสองราวกับเห็นพระแม่กวนอิม นางพลันเข้าไปถาม “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาป่านนี้! ทำให้บ่าวกังวลใจแทบแย่!”
เหยาเยี่ยนอวี่ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
เฝิงหมัวมัวกดเสียงต่ำพลางพูด “มีคนของจวนอัครมหาเสนาบดีมาเยือน บอกว่าจะเชิญคุณหนูไปวัดต้าเจวี๋ย บ่าวจึงรู้สึกกังวลใจ เหตุใดคนของจวนอัครมหาเสนาบดีถึงรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
“คนของจวนอัครมหาเสนาบดี?” ในหัวสมองของเหยาเยี่ยนอวี่จึงปรากฏภาพของฮูหยินผู้เฒ่าที่มีผมขาวเต็มศีรษะ คนที่นางบังเอิญเจอตรงไหล่เขาวัดต้าเจวี๋ย นางสะดุ้งตกใจ “หรือว่า?”
ชุ่ยเวยเองก็นึกขึ้นได้ทันที ทันใดนั้นสีหน้าซีดขาวอย่างฉับพลัน “หรือว่าจะเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่คุณหนูช่วยชีวิตบนภูเขา?”
เหยาเยี่ยนอวี่เม้มริมฝีปากพลางพูดขึ้นว่า “หากรู้ว่านางเป็นฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนอัครมหาเสนาบดี พวกเราควรที่จะรับตำลึงเงินเพื่อเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยเหลือเสียหน่อย”
“คุณหนูยังจะพูดจาขบขันอีก” เฝิงหมัวมัวถอนหายใจ “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ดูสภาพของท่านเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและขี้ดินสิ! เดี๋ยวคนในจวนอัครมหาเสนาบดีจะหัวเราะเยาะเอา หากคุณหนูใหญ่และฮูหยินรู้เข้า คงจะเอาเรื่องพวกบ่าวถึงตาย!”
ชุ่ยผิงจึงรีบไปหยิบเสื้อผ้า นางกับเฝิงหมัวมัวช่วยกันถอดเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและขี้ดินของเหยาเยี่ยนอวี่ออก จากนั้นผัวจื่ออีกคนจึงยกน้ำอุ่นมา ชุ่ยเวยเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำอุ่นแล้วบิดหมาดมาเช็ดหน้าตาและมือให้เหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเปลี่ยนชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนปักลายเมฆา แล้วเกล้าผมมวยให้นางใหม่ พร้อมกับปักปิ่นหยก ปิ่นดอกไม้ ตุ้มหู กำไลมือ และสร้อยคอ เครื่องประดับทุกอย่างถูกสวมใส่อย่างครบครัน จากนั้นก็พาเฝิงหมัวมัว ชุ่ยเวยและชุ่ยผิง อีกทั้งยังมีสาวใช้และผัวจื่อเจ็ดแปดคนออกจากเรือนพำนัก แล้วติดตามคนที่จวนอัครมหาเสนาบดีส่งมาเพื่อไปที่วัดต้าเจวี๋ย