หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 320 งานวิวาห์ระหว่างตระกูลเซียวและตระกูลหัน (3)
อวิ๋นเหยาชักสีหน้าทันที แล้วเม้มปากพิงอยู่บนตั่งไม้ไม่พูดไม่จา
เฉิงหวังเฟยเห็นจึงรู้สึกเอ็นดูนางนัก “ตอนนี้ดอกเบญจมาศในจวนกำลังเบ่งบานพอดี เช่นนั้นเจ้าก็ส่งเทียบเชิญให้เหล่าคุณหนูจากจวนต่างๆ มาร่วมพบปะสังสรรค์กันในจวนเถอะ จะได้มีคนคอยเสวนาเป็นเพื่อนเจ้า”
อวิ๋นเหยาพึมพำอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่มีความอดทนที่จะพูดคุยกับคนเหล่านั้นหรอก แต่ละคนเย่อหยิ่งทะนงตัว คุยแล้วไร้ประโยชน์สิ้นดี”
เฉิงหวังเฟยเปรยขึ้น “เจ้าพูดเช่นนี้มิได้เด็ดขาด เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นล้วนทำตัวเย่อหยิ่งทะนงตัว ทว่านี่ก็ถือเป็นจุดเด่นของพวกนาง ใช่แล้ว ช่วงก่อนฮองเฮาเหนียงเหนียงสั่งให้คนส่งเกิงเถี่ยของสตรีชั้นสูงมา และสั่งให้พวกเราลองเลือกดู จะได้พระราชทานงานสมรสให้พี่ชายเจ้า เจ้าก็ถือโอกาสนี้เชื้อเชิญเหล่าคุณหนูมารวมตัวกัน จะได้ช่วยพี่ชายเจ้าเลือก ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องหาพี่สะใภ้ที่ถูกคอกับเจ้าเสียหน่อย อนาคตข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าจะได้ยังมีคนคอยช่วยเหลือ”
อวิ๋นเหยาได้ยินคำพูดนี้จึงอดยิ้มไม่ได้ “เสด็จแม่ช่างน่าขบขันยิ่งนัก นี่จะเลือกสะใภ้ให้พี่ชายทั้งที กลับไม่เลือกสตรีที่พี่ชายหมายปอง ทว่าไปเลือกสตรีที่ถูกคอกับข้าไปไย ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตกับพี่สะใภ้ตลอดไปเสียหน่อย อนาคตอย่างไรมีพี่ชายคอยปกป้องข้าก็พอแล้ว”
“พี่ชายของเจ้ามีผู้ที่หมายปองหรือไร เหอะ ตอนนี้คนอื่นเขาไปเสวนางานสมรสกับบุรุษผู้อื่นไปแล้ว!” เฉิงหวังเฟยพูดถึงเรื่องนี้ ภายในใจก็รู้สึกไม่พอใจนัก ผู้ที่เป็นบิดามารดาในใต้หล้านี้ล้วนวางแผนชีวิตเพื่อบุตรตนเอง นั่นเป็นสัจธรรมอันเปลี่ยนแปลงมิได้ ตอนแรกนางไม่ชื่นชอบหมิงชั่น บุตรชายของนางมีภาพลักษณ์หน้าตาหล่อเหลาและมากความสามารถ แล้วยังเป็นถึงท่านซื่อจื่อจวนอ๋อง จะให้เลือกสะใภ้ที่เสียโฉมหน้าได้อย่างไร
แต่หลังจากที่แผลเป็นบนดวงหน้าของยัยหนูนั่นจางหายไป นางก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกัน พอนึกถึงครั้งนี้ ความปรารถนาของบุตรชายก็คงเป็นจริง เขาจะได้สู่ขอสะใภ้เข้ามาในจวนแล้ว นี่จะไม่ทำให้นางกับบุตรชายมีเรื่องบาดหมางใจกันอีกต่อไป ใครจะไปนึกถึง จู่ๆ ยัยหนูนั่นก็เปลี่ยนใจ! อีกอย่างยังแย่งเขยที่ตนเตรียมไว้ให้บุตรี! ทำให้บุตรชายและบุตรีของตนไม่ได้คู่ครองดีๆ ช่างน่าโมโหนัก
อวิ๋นเหยายิ้มจางๆ อย่างเย็นชา “หากตอนนั้นเสด็จแม่ไม่รังเกียจนาง งานสมรสนี้ก็คงจัดไปนานแล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้! เหตุใดถึงพูดเช่นนี้ เจ้าอยากให้พี่ชายเจ้าสู่ขอสตรีเสียโฉมกระนั้นหรือ เจ้ายอมรับได้ ทว่าข้ากลับยอมรับไม่ได้!” เฉิงหวังเฟยพึมพำด้วยความไม่พอใจ “หากบุตรีตระกูลเหยาคนนั้นเข้ามาในเมืองหลวงเร็วกว่านี้ก็คงดี จะได้รักษาแผลเป็นบนใบหน้าของนางให้หาย ข้าจะได้ไม่ต้องกังวลใจเช่นนี้!”
อวิ๋นเหยาเปรยขึ้น “ใครก็ไม่ใช่เทพเจ้าเสียหน่อย จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว หรือทำนายสถานการณ์ที่จะเกิดอีกห้าร้อยปีข้างหน้าได้อย่างไร”
ขณะที่สองพี่ลูกกำลังเสวนากัน ก็มีสาวใช้เข้ามาส่งสาร “ทูลหวังเฟย ท่านอ๋องกลับมาแล้วเพคะ”
“อ้อ แล้วไปไหนแล้ว” เฉิงหวังเฟยหันไปถาม
“ทูลหวังเฟย ท่านอ๋องไปเรือนหลิงเซียวแล้วเพคะ” เรือนหลิงเซียวเป็นเรือนของสกุลหลี่ อนุภรรยาของเฉิงอ๋อง บุตรีของสกุลหลี่ อวิ๋นเหมยก็อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย
“เช่นนั้นเจ้าเข้ามารายงานตอนนี้เพื่ออะไรกัน!” เฉิงหวังเฟยสบถหยาบด้วยความโมโห
บ่าวคนนั้นค้อมตัวลง แล้วไม่กล้าพูดอะไร
“พอเถอะ! ออกไปให้หมด” อวิ๋นเหยาผายมือ แล้วรอให้บ่าวที่มาส่งสารถอยออกไปด้านนอก จึงค่อยยื่นถ้วยน้ำชาให้เฉิงหวังเฟย “เสด็จแม่ใจเย็นเสียก่อน เหตุใดถึงต้องไปมีเรื่องกับคนชั้นต่ำนั่นด้วยเล่า”
เฉิงหวังเฟยได้แต่แค่นเสียงไม่พอใจ แต่กลับไม่พูดไม่จา
ตามหลักแล้วนางเป็นถึงหวังเฟย คงไม่ต้องไปมีเรื่องอะไรคนชั้นต่ำ ทว่า…หวังเฟยก็คือสตรีผู้หนึ่ง!
ตอนกลางคืนที่กลับถึงจวน น้าตู้ซานก็หาเวลาว่างเข้าไปในเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วถามเหยาเยี่ยนอวี่ว่ารับมือกับอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่อย่างไร ดูสีหน้าของนางเหมือนไม่ได้แกล้งทำเป็นเจ็บจริงๆ
เหยาเยี่ยนอวี่ก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ขึ้นได้ จึงพูดด้วยความฉงนสงสัย “ว่าไปก็ช่างน่าแปลกนัก สถานการณ์ตอนนั้น ข้ายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไรเลย แค่ยื่นมือไปจับข้อมือของนางไว้เท่านั้น จากนั้นนางก็ปล่อยแส้ม้าแล้วร้อง”
“นี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกนัก” น้าตู้ซานพูดด้วยความแปลกใจ
“เป็นเช่นนั้น ไม่แน่นางอาจเสแสร้งก็ได้” เหยาเยี่ยนอวี่พูดอย่างดูหมิ่น
น้าตู้ซานพยักหน้า แล้วนึกถึงที่องครักษ์คนนั้นก็บอกว่าอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร คิดว่านางอาจจะแกล้งทำก็ได้
วันถัดมา เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ไปสำนักหมอหลวง แต่ให้คนไปลากิจกับใต้เท้าย่วนหลิง บอกว่ามีสหายเก่ามาเยือน จึงอยากลางานหนึ่งวัน จากนั้นนางเอากระดาษลายดอกเหมยออกมา แล้วเขียนเทียบเชิญไปให้หันหมิงชั่นมาร่วมพบปะสังสรรค์ในจวนตามคำพูดที่ปัญญาชนใช้เขียนเทียบเชิญ
พอนึกดูแล้ว นางก็เขียนเทียบเชิญอีกฉบับให้ซูอวี้เหิง บอกว่าวันนี้ในจวนจัดงานเลี้ยงเล็กๆ และขอให้นางพาน้องสาวมาด้วย
เดิมทีหันหมิงชั่นก็ไม่มีธุระใดในจวนอยู่แล้ว พอเหยาเยี่ยนอวี่ส่งเทียบเชิญให้นางโดยเฉพาะ นางต้องเต็มใจมาเยือนเป็นเรื่องธรรมดา แค่ว่านางกลับไม่รู้ว่าเซียวหลินก็มาด้วย
เดิมที งานสมรสของนางและเซียวหลินก็เป็นเรื่องที่บิดามารดาคอยกังวลใจเท่านั้น บิดาของเซียวหลินสิ้นไปแล้ว มีเพียงปู่ของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ ตระกูลหันจึงเสวนางานสมรสกับราชครูเซียว ภายหลังเซียวหลินเข้าเมืองหลวงก็ต้องส่งจดหมายรายงานจวนกั๋วกง และจะขอเข้าเฝ้าในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นหันหมิงชั่นเข้าประตูจวนเหยาก็เจอกับเสี่ยวซือที่รู้สึกคุ้นหูคุ้นตา หลังจากสังเกตมองอย่างละเอียด ก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นเสี่ยวซือที่คอยติดตามเซียวหลิน จึงอดมองด้วยความตะลึงอีกสองคราไม่ได้
เสี่ยวซือคนนั้นมิกล้าชักช้า จึงรีบเดินหน้ามาน้อมคำนับ “บ่าวเซียวอี่ขอคารวะคุณหนูขอรับ”
หันหมิงชั่นพยักหน้าแล้วให้เสี่ยวซือคนนั้นลุกขึ้น แล้วเอ่ยถามเฝิงหมัวมัวที่มาต้อนรับนาง “ในจวนยังมีแขกคนอื่นมาเยือนอีกหรือ”
เฝิงหมัวมัวตอบกลับยิ้มๆ “เรียนคุณหนู ท่านเซียวหลินมาเยือนแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บอกว่ามาส่งจดหมายที่นายท่านฝากมาให้คุณชายรองของบ่าวเจ้าค่ะ”
“เยี่ยนอวี่ ยัยตัวแสบ กลับปิดบังเรื่องนี้กับข้า!” หันหมิงชั่นสบถด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นอีก “ข้าว่าแล้ว วันนี้นางยอมไม่ไปสำนักแพทย์แล้วยังสั่งให้คนไปรับข้า ที่แท้ก็มีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงนี่เอง! คอยดูว่าเดี๋ยวข้าจะจัดการนางอย่างไร”
เฝิงหมัวมัวพูดยิ้มๆ “ต้องขอบคุณเรื่องนี้ต่างหาก มิเช่นนั้นคุณหนูของพวกบ่าวคงจะซูบผอมลงกว่านี้ เพราะเอาแต่ทำงานหนักในสำนักแพทย์อยู่ทุกวัน พวกบ่าวเห็นแล้วรู้สึกเป็นห่วงคุณหนูยิ่งนัก ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเกลี้ยกล่อม ประเดี๋ยวก็ต้องรบกวนท่านช่วยเกลี้ยกล่อมคุณหนูทีเถอะเจ้าค่ะ”
เฝิงหมัวมัวและสาวใช้สองสามคนต่างแย้มยิ้ม
พวกนางเดินเปลี่ยนทิศตรงระเบียงยาว จู่ๆ หันหมิงชั่นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงชะงักฝีเท้าลงพลางหันไปด้านข้าง กลับเห็นเซียวหลินที่สวมใส่ชุดสีไพลินกำลังยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงตรงกันข้าม และกำลังมองมาฝั่งนี้
คนผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามและอ่อนโยนดั่งหยก ทว่ากลับมีความเย่อหยิ่งแอบแฝง เขาองอาจผึ่งผายดั่งภูผา อ่อนโยนประดุจดวงจันทรา ภายใต้ความอ่อนโยนกลับทรงพลังมีพลานุภาพ ภายในใจของหันหมิงชั่นรู้สึกหวาดผวาอย่างน่าแปลก จึงรีบดึงสายตากลับมาแล้วสาวเท้าไปเดินต่อไปที่เรือนหลังอย่างว่องไวทันที
วันนี้เหยาเยี่ยนอวี่ได้กลับมาแต่งกายเป็นสตรีเสียที หลังจากที่ใส่ชุดบุรุษมาสักระยะ ตอนนี้ก็นางเปลี่ยนเป็นใส่ชุดกระโปรงเช่นนี้ ทำให้รู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคย พอเห็นหันหมิงชั่นจึงเข้าไปน้อมคำนับด้วยความปลาบปลื้มยินดี ท่าทางของนางค่อนข้างผิดไปจากปกติ
“พอเถอะ! พวกเราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้ว เจอหน้ากันครานี้กลับมากพิธีเช่นนี้เชียวหรือ” หันหมิงชั่นพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้น ทั้งสองกุมมือกันเดินเข้าไปในเรือน
อากาศยามนี้เริ่มเหน็บหนาว ในเรือนจึงจุดเตาผิงไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ สาวใช้ขึ้นหน้ามาถอดชุดคลุมของหันหมิงชั่น หันหมิงชั่นถอดถุงมือขนมิงค์ออกแล้วยื่นไปให้ซูหยิ่ง พร้อมถอดรองเท้าหนังแกะและเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าป้ายปักลาย แล้วเดินไปผิงไฟ