หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 326 อุปสรรคของการได้น้ำมันงู (4)
“กงกงโปรดรอสักครู่” เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเดินไปทางโน้น แล้วสั่งให้ชุ่ยเวยเอาขวดกระจกที่ใส่น้ำมันงูที่ใช้ไม้บางๆ ปิดไว้ ทั้งเอาเครื่องประทินบำรุงผิวที่สกัดจากโสมสูตรใหม่ที่นางคิดค้นก่อนหน้านี้ยื่นไปให้หวังเป่าเต๋อร์สองตลับ “น้ำมันงูนี่ให้เตี้ยนเซี่ยะเจ็ด ส่วนเครื่องประทินโสมสองตลับนี้เป็นเครื่องประทินที่ข้าปรุงสูตรเอง ใช้สำหรับบำรุงมือและใบหน้า ผลที่ได้นั้นดีกว่าเครื่องประทินผิวทั่วไป อากาศช่วงนี้เหน็บหนาว ลมทิศเหนือประดุจใบมีด ใช้เครื่องประทินนี้ ผิวก็ไม่แห้งแล้ว”
เครื่องประทินผิวโสมนี้มีส่วนผสมของสมุนไพรสิบกว่าชนิด ทุกคนในตระกูลเหยาใช้แล้วเห็นผลดีทุกคน ดังนั้นปีนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงผสมไว้จำนวนมาก จะได้เก็บไว้ให้เป็นของขวัญคนอื่น
หวังเป่าเต๋อร์รับของพวกนั้นแล้วกล่าวขอบคุณไม่หยุด “บ่าวขอบคุณใต้เท้าเหยาอย่างยิ่ง ใต้เท้าเหยาจัดการธุระต่อเถอะ บ่าวขออำลา”
พอเห็นหวังเป่าเต๋อร์จากไปอย่างเร่งรีบ เหยาเยี่ยนอวี่ลอบถอนหายใจเบาๆ และสบถหยาบ สุดท้ายก็ติดเบ็ดจนได้ ชีวิตในภายภาคหน้าก็คงต้องเจอแต่ความยากลำบากน่าดู
ยาทาแผลเปื่อยจากอากาศที่เหน็บหนาวมีอยู่หลากหลายประเภท ทว่าจะเห็นผลที่ต่างกัน
เหยาเยี่ยนอวี่พลิกอ่านตำราแพทย์แล้วทดลองซ้ำๆ หลังจากผ่านความเพียรพยายามไปเจ็ดแปดวัน สุดท้ายก็ปรุงยาทาแผลเปื่อยหนาวสะท้านที่น่าพึงพอใจออกมาได้ หลังจากที่ให้นางกำนัลคนหนึ่งทาแผลเปื่อยเพราะหนาวสะท้านตรงมือไปสองครั้ง แผลเปื่อยนั้นหายบวมแดงไปอย่างเห็นได้ชัด นางกำนัลผู้นั้นบอกว่าไม่รู้สึกเจ็บและคันแม้แต่น้อย
ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่จึงเขียนสาส์นกราบทูลให้ฮ่องเต้ เพื่อขอเบิกสมุนไพรชุดใหญ่ จากนั้นก็เริ่มปรุงสูตรยา
นางปรุงยาชุดแรกไปหนึ่งพันสองร้อยขวด ความหมายของเหยาเยี่ยนอวี่คือให้บรรจุในขวดและส่งไปที่กันโจว ทว่ากลับถูกฮ่องเต้เก็บไว้สองร้อยขวด
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เต็มใจให้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมตัวเองอย่างเงียบๆ นี่คือสังคมจริง ตั้งแต่ยุคสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันก็เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยอมรับมันให้ได้เถอะ
แค่ว่าการปรุงยาทาชนิดนี้ต้องใช้เวลาเป็นเดือน หลังจากรอให้ปรุงเสร็จ กองกำลังทหารที่รับผิดชอบส่งเสบียงจากไปตั้งนานแล้ว
ดังนั้นฮ่องเต้จึงบัญชาให้ทหารหลายร้อยส่งยาทาชุดนี้ไปที่กันโจว เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงทอดถอนหายใจ บอกว่าฮ่องเต้เห็นอกเห็นใจในความยากลำบากของปวงประชา เป็นราชาที่ทรงพระปรีชายิ่งนัก แต่สิ่งที่ทำให้นึกไม่ถึงคือยาทาแผลเปื่อยจากอาการหนาวสะท้านที่ส่งถึงกันโจวหนึ่งพันขวด กลับเหลือเพียงหกร้อยขวด
สี่ร้อยขวดที่เสียไปนั้นเป็นเพราะถูกกระทบกระแทกระหว่างขนส่ง
ทว่า…จำนวนที่เสียไปเกือบครึ่ง! เป็นการสูญเสียที่ใหญ่เกินไปหรือเปล่า!
เหยาเยี่ยนอวี่อ่านจดหมายที่เว่ยจางส่งกลับมา จึงรู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก ยาสมุนไพรล้ำค่ามากเพียงนั้น นางต้องลำบากปรุงไปครึ่งค่อนเดือน ทว่ากลับมีจำนวนครึ่งหนึ่งที่เสียระหว่างการขนส่ง!
นี่ไม่เพียงพออยู่แล้ว!
เหยาจู่ปั๋วมองยาชุดใหม่หนึ่งพันขวดด้วยด้วยความหมองเศร้า พร้อมทั้งเอามือเท้าคางและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ยาชุดที่แล้วบรรจุไว้ในหีบไม้ปูด้วยหญ้าอ่อน ส่งขึ้นเหนือไปกลับเสียไปเกือบครึ่ง แล้วยาชุดนี้จะขนส่งไปอย่างไรดี
“คุณหนู! คุณหนู!” เสียงอันใจร้อนของชุ่ยผิงค่อยๆ ใกล้เข้ามา จากนั้นนางผลักประตู ทำให้ขัดจังหวะเหยาเยี่ยนอวี่ที่กำลังเหม่อลอยอยู่
“เกิดอะไรขึ้น เร่งรีบไปไยกัน!” เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณหนูเจ้าคะ แย่แล้ว…” ชุ่ยผิงเปลี่ยนน้ำเสียงที่เศร้าหมองคล้ายกับว่าจะร้องไห้
“มีอะไร!” เหยาเยี่ยนอวี่ผุดลุกขึ้น แล้วเอ่ยถาม
“บ่าวได้ยินพวกเขาพูด…พวกเขาพูดว่า…ฮื้อ…” ชุ่ยผิงพูดไม่ออก ทว่ากลับร้องไห้ออกมา
“ร้องไห้ไปไย!” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกใจไม่ดี “ฟ้าถล่มหรือไร!”
ชุ่ยผิงถูกเหยาเยี่ยนอวี่ตวาดใส่ จึงเช็ดน้ำตา แล้วขานเรียกด้วยความเศร้ารันทด “คุณหนู! พวกเขาบอกว่า ท่านแม่ทัพ…เกิดเรื่องไม่คาดคิด!” นางร้องออกมาด้วยเสียงสะอื้น
“เกิดเรื่องไม่คาดคิด?” เหยาเยี่ยนอวี่ทวนห้าพยางค์นี้อีกครั้ง จากนั้นก็หันไปคว้าข้อมือของชุ่ยผิง แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นคลอน “เจ้าพูดออกมาให้ชัดเจน เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไร! เขา…สิ้นแล้วหรือ”
ชุ่ยผิงถูกสีหน้าและน้ำเสียงของคุณหนูตนเองทำให้ตกใจจนไม่กล้าร้องไห้ต่อ พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “บอกว่า…ยังไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าแล้วปล่อยมือของชุ่ยผิง น้ำเสียงสั่นสะท้านกว่าเดิม “เช่นนั้นก็แสดงว่ายังไม่สิ้น…ต้องไม่สิ้น เขาต้องไม่สิ้นใจ”
ขาของนางอ่อนแรงเหมือนเดินทางมาไกลนับพันลี้ ทำให้รู้สึกอ่อนล้าอ่อนแรง ดังนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ค่อยๆ นั่งลงบนพื้น เรือนในสำนักแพทย์ไม่ได้ฝังท่อไอร้อนใต้พื้นดิน บนพื้นปูด้วยพรมเท่านั้น ทว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาเดือนสิบสอง พื้นจึงค่อนข้างเย็น
เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงตรงนั้น ทว่ากลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเลย
มือของนางยังคงจับจดหมายของเว่ยจางไว้ ในจดหมายพูดถึงยาสูตรใหม่ที่แก้แผลเปื่อยของนางใช้ดีมาก เมื่อคืนเหล่าสหายร่วมรบใช้ เช้าวันนี้ก็เห็นผลเลย ยังบอกว่ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวนางที่ปรุงยาทาใช้ประโยชน์มากถึงเช่นนี้มาให้ คราวนี้เหล่าสหายจะได้สังหารข้าศึกอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องรู้สึกปวดแสบหรือคันตรงเท้าที่เป็นแผล
ชุ่ยเวยเข้ามาก็เห็นชุ่ยผิงและเหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่บนพื้น หนึ่งคนจับจดหมายไว้อย่างเหม่อลอย อีกคนร้องไห้ฟูมฟาย ดังนั้นชุ่ยเวยจึงตวาดอย่างลนลาน “เจ้ายิ่งอยู่ยิ่งไร้ประโยชน์แล้ว! เหตุใดถึงไม่ดูแลคุณหนูดีๆ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ แล้วยังปล่อยให้คุณหนูนั่งบนพื้น เกิดป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร!”
ชุ่ยผิงจึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ลุกขึ้นมาจากพื้น เหยาเยี่ยนอวี่ได้สติกลับมา แล้วหันไปมองชุ่ยผิง พร้อมเอ่ยถาม “เจ้าเล่าให้ละเอียดเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ข่าวสารที่ได้รับอาจจะเป็นเรื่องข่าวลือก็ได้ เชื่อถือได้ไหม!”
“บ่าวได้ยินหมอกวนพูด เขาเพิ่งพาคนไปเบิกยาที่หอยา ขากลับก็บังเอิญเจอกับกงกงที่เป็นขันทีข้างกายฮ่องเต้ กงกงคนนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจเล่าให้ฟัง แค่ได้ยินเขากำลังเสวนากับหมัวมัวพอดี หมัวมัวคนนั้นได้ยินว่าวันนี้ฮ่องเต้ทรงโกรธเกรี้ยวถึงขั้นทำแท่นฝนหมึกในห้องทรงอักษรแตกหัก กงกงคนนั้นพูดด้วยเสียงเบา เหตุเพราะมีสาส์นกราบทูลเร่งด่วนจากเขตตอนเหนือ บอกว่าแม่ทัพเว่ยพาเหล่าทหารไปบุกค่ายข้าศึกอย่างกะทันหัน ตอนนี้ผ่านมาสามวันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข่าวคราวอะไร…”
ชุ่ยผิงพูดไป น้ำตาก็ไหลรินอีกครั้ง “เดิมทีบ่าวก็ไม่เชื่อ ทว่าหลังๆ มา…จู่ๆ หมอหลวงจางก็เข้ามาสั่งให้บ่าวและคนอื่นๆ ห้ามรายงานคุณหนู บ่าวคิดว่า นี่คงจะเป็นเรื่องจริง…”
“ข้าไม่เชื่อ!” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าเพื่อกลั้นน้ำตาไว้ แล้วกัดฟันพูดด้วยความมั่นใจ “คำพูดที่หมัวมัวและขันทีร่ำลือกัน จะเชื่อได้อย่างไร! คนพวกนี้ว่างจนไม่มีอะไรทำ วันๆ รู้จักแต่พูดจาเหลวไหล!”
ขณะที่พูด น้ำตาก็ไหลผ่านชุดเครื่องแบบขุนนางสีขาวโพลน จากนั้นก็ไปกระทบลงบนจดหมายในมือของนาง ทำให้ตัวอักษรหมึกสีนิลค่อยๆ เลือนลางไป
“เป็นเช่นนั้นๆ! แม่ทัพของพวกเรามากความสามารถ ทั้งยังนำกองกำลังที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดไปบุก ต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว!” ชุ่ยเวยหันไปถลึงตามองชุ่ยผิงเพียงปราดเดียว แล้วรีบเอาผ้าไปเช็ดน้ำตาเหยาเยี่ยนอวี่ ทั้งยังพูดจาโน้มน้าว “ข่าวลือพวกนี้เชื่อไม่ได้เด็ดขาด คุณหนูหยุดร้องไห้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รับผ้ามาเช็ดน้ำตา แล้วเรียกสติกลับมา “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเขาพากองกำลังทหารไปบุกค่ายข้าศึก จากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรกระนั้นหรือ”