หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 329 สั่งสอนคนชั่ว (3)
ตอนที่ 329 สั่งสอนคนชั่ว (3)
นางต้องเขียนเหตุผลที่ถูกต้องและเด็ดเดี่ยว หลังจากที่ฮ่องเต้ทรงพระอักษร จะได้ไม่หาเหตุผลอะไรมาขัดแย้ง ดังนั้นนางต้องตั้งใจเขียนเป็นอย่างมาก
นางเขียนไปหลายสิบตัวอักษร กลับมาเรียบเรียงแล้วเขียนแผ่นใหม่ จากนั้นก็เขียนไปสองร้อยกว่าตัวอักษรเพียงลมหายใจเดียว และยังกลับมาแก้อีกสองครั้ง นางแก้ไขไปมาประมาณชั่วยามกว่า จึงเขียนสาส์นกราบทูลที่มีตัวอักษรสามร้อยกว่าตัว
“ใต้เท้าเหยา” ด้านนอกมีคนขานเรียกขึ้น
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไร”
“มีคุณชายท่านหนึ่งเอาตำราโอสถโบราณสองสามเล่มมามอบสำนักแพทย์ขอรับ ใต้เท้าได้โปรดไปเสวนากับเขาทีเถอะขอรับ”
“อ้อ เชิญเขาไปคอยที่ห้องโถงหน้าได้เลย ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เหยาเยี่ยนอวี่วางพู่กันจีนในมือลง แล้วเอาสาส์นกราบทูลขึ้นมาอ่าน จากนั้นก็เป่าหมึกให้แห้ง พับใส่แขนเสื้อของตนเอง แล้วเดินออกจากห้องอักษร
ตั้งแต่สำนักแพทย์บอกว่าจะรับซื้อตำราโอสถโบราณ ก็มีคนไม่น้อยเอาวิชาการแพทย์ที่สืบทอดประจำตระกูลมาจำหน่าย ทว่าสูตรยาหรือวิธีรักษากลับไม่ได้อิงตามวิทยาศาสตร์ จึงแทบจะเป็นความรู้ที่ใช้ไม่ได้ผล หากนำมาใช้จริงก็อาจทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงชีวิต แต่เหยาเยี่ยนอวี่ก็เคยชินกับเรื่องเช่นนี้ และเคยชินกับทักษะความรู้ของคนในยุคสมัยนี้
แต่ครั้งนี้ พอเหยาเยี่ยนอวี่เห็นบุรุษชุดเขียวอ่อนที่กำลังยืนอยู่ในห้องโถงหน้าจึงนิ่งงันไปทันที
ซูอวี้เสียง? เขามาทำอะไร
จวนติ้งโหวมีวิชาความรู้ด้านการแพทย์ประจำตระกูลด้วยหรือ แต่ต่อให้มีก็ไม่ควรเป็นเขาที่มาเยือนที่นี่หรือเปล่า
เดิมทีเหยาจู่ปั๋วที่ไม่สบอารมณ์อยู่แล้ว พอเห็นหน้าซูอวี้เสียงก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม
เรื่องของเหยาเฟิ่งเกอ นางไม่คิดจะยุ่งอยู่แล้ว พวกเขาสองสามีภรรยามีบุตรีไปแล้ว คนนอกคงไม่ควรไปยุ่งเรื่องเช่นนั้น ทว่าก็อย่ามาสร้างปัญหาให้นางก็พอ นางก็ไม่ใช่เด็กอมมือที่จะยอมให้ใครเล่นงานง่ายๆ
คุณหนูเหยาเข้าประตูห้องโถงหน้า แล้วกระแอมแกนๆ ไปหนึ่งที
ตอนนี้อยู่ในห้องโถงหน้าของสถานราชการ นางเป็นจู่ปั๋วขั้นห้า ส่วนซูอวี้เสียงเป็นเพียงขุนนางขั้นหกที่มามอบตำราโอสถโบราณเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องน้อมคำนับให้เขาก่อน
ซูอวี้เสียงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันไปมอง พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ก็คลี่ยิ้มจางๆ จากนั้นทำมือคารวะ “คารวะใต้เท้าเหยา”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของคนผู้นี้ก็เคร่งเครียดยิ่งนัก เจ้ายิ้มอย่างมีเลศนัยเช่นนี้ เจ้ากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของข้าอยู่หรือ
แน่นอนว่าถ้าหากซูอวี้เสียงทำดีกับเหยาเฟิ่งเกอ นางก็คงเห็นเขาเป็นพี่เขยอยู่ ผู้ที่มีฐานะเป็นน้องสาวอย่างนางก็ควรทำความเคารพพี่เขยก่อน ทว่าตอนนี้เขาไม่เห็นพี่สาวตนเองในสายตา นางจะเห็นเขาเป็นพี่เขยได้อย่างไร
ดังนั้นเหยาจู่ปั๋วมองซูอวี้เสียงด้วยแววตาเฉยเมย แล้วหันไปนั่งลงพร้อมเอ่ยถาม “ใต้เท้าซูกลับเป็นแขกเหรื่อคนสำคัญต่างหาก วันนี้นึกไม่ถึงว่าจะให้เกียรติมาเยือนที่นี่ได้ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ อยากจะขอยาไปรักษาอาการป่วยอะไรหรือ”
ซูอวี้เสียงตะลึงงัน แล้วค่อยๆ ยืนตัวตรงพร้อมมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยสีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นก็ค่อยๆ เดินหน้ามาสองก้าว แล้วพูดขึ้น “ใต้เท้าเหยาเหมือนจะไม่สบอารมณ์อย่างมาก”
เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามองเขา แล้วพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย “ใต้เท้าซูถือว่าตาดีจริงๆ ”
ซูอวี้เสียงไม่พูดไม่จา แค่มองนางอยู่อย่างนั้น
ครั้งแรกที่เจอสตรีตรงหน้า นางเหมือนกระต่ายน้อยที่ระมัดระวังตัวอย่างมาก แม้แต่มองหน้าตนเองยังไม่กล้า แค่ชอบหลบหน้าตนเองตลอดเวลา วันนี้นางกลับกลายเป็นขุนนางขั้นห้า เป็นหมอเซียนที่ทุกคนต่างยกย่อง และยังเป็นบุคคลโด่งดังที่ทุกคนล้วนอยากตีสนิท
พอนึกถึงตอนแรก เขาแค่รู้สึกว่านางมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่งดงามเท่าพี่สาวนาง แต่ถือเป็นสตรีที่มีหน้าตาสะอาดสะอ้านและสุภาพเรียบร้อย ทั้งยังทำงานอย่างระมัดระวัง เป็นสตรีที่อยู่ในกรอบ ตอนนี้นางสวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง กลับสง่าผ่าเผยและโดดเด่น แล้วยังกล้าใช้หางตามองตนเอง แม้กระทั่งยังแสดงท่าทีท่าดูหมิ่นตนเอง
เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปีครึ่งเท่านั้น! นางกลับเปลี่ยนแปลงไวถึงขั้นนี้
ไวจนทำให้ใจของเขากระสับกระส่าย ต่อให้ตอนนี้นางจะใช้สายตาที่ดูหมิ่นตนเอง แต่ตนไม่ได้รู้สึกเกลียดแค้นนาง แม้กระทั่งยังอยากดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด และรักใคร่นางให้มากๆ หรือพูดได้ว่าอยากจะเอาชนะใจนางให้ได้
ซูอวี้เสียงมองนางไปสักพัก แล้วถอนหายใจด้วยเสียงเบา “ข้าได้ข่าวว่าแม่ทัพเว่ยเกิดเรื่อง น้องสาวยังสบายดีหรือไม่”
“ลำบากใต้เท้าซูที่คอยเป็นห่วงแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พูดด้วยเสียงเรียบ “หรือท่านอยากจะไปตามหาเขาที่เขตชายแดนตอนเหนือแทนข้า”
“ฮ่า! ข้าคงไม่มีปัญญาหรอก ทว่าน้องสาวก็ไม่ต้องกังวลใจไป ยังดีที่ส่งแค่สินเดิมเจ้าสาวไป แต่ยังไม่ทันได้ออกเรือน” ซูอวี้เสียงเปรยด้วยความน่าเสียดาย “แต่อย่างไรก็เป็นงานสมรสพระราชทาน น้องสาวยังต้องไว้อาลัยเขาหนึ่งปี”
ไว้อาลัยอะไร ไว้อาลัยกับผีน่ะสิ! เหยาเยี่ยนอวี่ถลึงตามองเขาเพียงพริบตาเดียว แล้วรอให้เขาเอ่ยคำพูดต่อไป นางกลับอยากรอดูว่าไอ้สารเลวนี่มาทำอะไรที่นี่กันแน่
“แต่ว่าน้องสาวก็อย่ากลัวเลย เว่ยจางสิ้นไปแล้ว ยังมีข้าอยู่” ซูอวี้เสียงมองเหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา จึงยิ่งกล้าพูดมากกว่าเดิม เขาเลยพูดด้วยเสียงต่ำต่อ “ว่าไปแล้วนี่ก็คงเป็นโชคชะตาระหว่างเราสองคน ตอนนั้นบิดามารดาของพวกเจ้าส่งเจ้ามาที่จวนของข้า ตามหลักแล้วเจ้าก็คือคนของข้า ต่อให้พี่สาวเจ้าไม่สิ้นใจ เจ้าก็ยังเป็นคนของตระกูลซู ไม่ว่าจะเป็นอนุภรรยา หรือจะเป็นจี้ซื่อ พวกเจ้าสองพี่น้องก็เป็นเหมือนเรื่องเล่าขององค์หญิงเอ๋อร์หวงกับหนู่ยิง ข้าเอาเรื่องเล่านี้มาเปรียบเปรยพวกเจ้าก็ถือว่าไม่เลวจริงๆ”
เหยาเยี่ยนอวี่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟกับคำพูดของเขาขึ้นมาทันที อยากจะเอามีดไปปาดกล่องเสียงของเขาให้ขาดจวนใจจะขาด
ทว่าอย่างไรนางก็ยังมีสติมากพอ
ที่นี่เป็นสำนักแพทย์ ข้างๆ ยังมีหมอยืนอยู่สองคน ทั้งด้านนอกยังมีหมอหญิงฝึกหัดและบ่าวไพร่อีกมากมาย ไม่ว่านางจะตบหน้าเขา หรือจะสบถหยาบใส่เขา ก็ย่อมกลายเป็นที่นินทาของชาวบ้าน อย่างไรเขาเป็นถึงพี่เขยของนาง เหยาเฟิ่งเกอยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนติ้งโหว
พอนึกถึงเช่นนี้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่โมโห แต่กลับแย้มยิ้ม แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น พร้อมทั้งจัดแขนเสื้อกว้างพูดขึ้น “โอกาสหายากที่ใต้เท้าซูจะมาเยือนที่นี่ มิเช่นนั้นก็อยู่กินข้าวกันเถอะ ข้าอยากให้ท่านลิ้มลองอาหารที่ดีต่อสุขภาพเสียหน่อย”
นางยิ้มอย่างเบิกบานประดุจท้องฟ้าโปร่งใสในเหมันตฤดู ทำให้คนมองถึงกับลุ่มหลง
ซูอวี้เสียงรู้สึกชื่นบานในใจ “ได้ แต่ไม่รู้ว่าจะมีบุญปากได้กินอาหารที่ใต้เท้าเหยาทำเองหรือไม่”
“นี่จะไปยากอะไร” เหยาเยี่ยนอวี่รอให้เขาพูดคำพูดอยู่ “มิเช่นนั้นพี่เขยก็ไปดูว่าที่โรงครัวมีอะไรน่ากินกับข้าเถอะ”
“ได้” ตอนนี้เขาหลงนางจนขาดสติ เขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเบิกบานโดยไม่ผ่านกระบวนการคิด
เหยาเยี่ยนอวี่หันหลังเดินออกจากประตู แล้วสั่งหมอหญิงที่อยู่ตรงประตู “ไปตามชุ่ยผิงมาเป็นลูกมือข้าหน่อยเถอะ”
หมอหญิงตรงประตูรับคำแล้วออกไปตามคนทันที เหยาเยี่ยนอวี่จึงพาซูอวี้เสียงมุ่งหน้าไปยังโรงครัวที่อยู่เรือนข้างตรงเรือนหลังสำนักแพทย์
โรงครัวขนาดใหญ่ของที่นี่ถูกซ่อมแซมมาอีกที ที่นี่เป็นเตาหม้ออยู่สามสิบกว่าหม้อ มีไว้สำหรับให้หมอหญิงฝึกคั่วและต้มสมุนไพร ทั้งยังทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพกับมือ
ตอนนี้เหล่าหมอหญิงกำลังฟังชุ่ยเวยอธิบายเกี่ยวกับเส้นเอ็นและเส้นลมปราณอยู่ ดังนั้นในโรงครัวจึงมีเพียงแม่ครัวและบ่าวที่กำลังเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ตรงมุมโรงครัวยังมีแพะสองสามตัวถูกมัดอยู่ หลายวันก่อน เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนสั่งให้คนเตรียมไว้เพื่อให้ความรู้เรื่องอาหารการกินแก่เหล่าหมอหญิงได้เรียนรู้
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่กลางโรงครัวพลางกวาดสายตามองไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ยกมือชี้ไปยังแพะหนึ่งในนั้น แล้วสั่งแม่ครัว “จูงแพะตัวนั้นมาที”
แม่ครัวรับคำแล้วจูงแพะที่อ้วนท้วนตัวนั้นมา