หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 334 ขึ้นเหนือตามหาสามี (4)
ตอนที่ 334 ขึ้นเหนือตามหาสามี (4)
ณ ตอนนั้นนางก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ต่อให้ขวดใส่ยาจะโดนกระแทกจนเสีย ทว่ายาพวกนั้นไม่ใช่ยาชนิดน้ำ ไม่มีทางที่มันจะไหลออกมาจากหีบได้ อีกอย่างพวกนางปูกระดาษเคลือบน้ำมันที่กันน้ำในหีบไว้หนึ่งชั้น แล้วค่อยนำยาชั้นดีสี่ร้อยขวดใส่เข้าไปด้านใน ต่อให้ยาพวกนั้นได้รับความเสียหายจากแรงกระแทกจริง ทว่าก็ต้องเหลือขวดที่ดีอยู่หรือเปล่า วันนี้มาคิดดูแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสัยจริงๆ
ยาชั้นดีที่นายหญิงของนางปรุงออกมานี้ ฮ่องเต้ทรงเก็บไว้สองร้อยขวด เพื่อที่จะเป็นของกำนัลให้กับเหล่านางสนมวังในและเหล่าขุนนางอาวุโส เช่น เจิ้นกั๋วกง จงอี้กง ติ้งโหว อันอี้โหว และคนอื่นๆ พวกเขาไม่มีทางส่งไปขายในร้านยาแน่นอน
วันนี้เรื่องที่สาวใช้คนนี้บอกนี่มันเรื่องอะไรกันแน่
น้าตู้ซานเป็นคนของยุทธจักร จึงเป็นคนที่คิดอะไรก็มักจะมีไหวพริบ ขณะนั้นนางก็ให้สาวใช้คนนั้นไปเอาเทียบกับพ่อบ้านเลยทันที
ผ่านไปไม่นาน สาวใช้คนนั้นก็วิ่งกลับมา แล้วมาหาน้าตู้ซาน พร้อมพูดขึ้น “น้าตู้ ยาขวดนี้ของท่านเหมือนกับที่ข้าพูดเลย! นี่มันล้ำค่าเกินไปแล้ว ท่านเก็บไว้ใช้เองเถอะ พวกท่านยังต้องเดินทางขึ้นเหนืออีก ทางโน้นหนาวกว่าที่นี่ ต้องได้ใช้แน่นอน”
สาวใช้คนนี้ยังอายุน้อย ทว่ากลับรู้จักกาลเทศะอย่างมาก แค่รู้ว่าในจวนมีแขก ทว่ากลับไม่รู้ว่าผู้ที่มาเยือนคือใคร และยิ่งไม่รู้ว่ายาที่ให้ไปคือสตรีที่นอนอยู่ในเรือนเป็นคนคิดค้นสูตรออกมา
น้าตู้ซานยิ้มพลางรับยาของตัวเองไว้แล้วพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ได้ วันรุ่งขึ้นเจ้ามาหาข้า เพื่อมายาทาตัวนี้อีกครั้ง ไม่เช่นนั้นแผลของเจ้าก็คงไม่หายขาดแน่นอน”
“อืม ขอบคุณน้าตู้มากๆ” สาวใช้เด็กคนนั้นจึงน้อมคำนับให้น้าตู้ซานด้วยความเคารพ จากนั้นก็จากไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน
น้าตู้ซานอยากจะบอกเรื่องนี้กับเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าก็คิดว่าคุณหนูของนางเพิ่งจะหลับไป หลายวันมานี้เพราะว่ามัวแต่ยุ่งกับการเดินทาง นางต้องรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก หากนำเรื่องนี้ไปรบกวนการพักผ่อนของนายหญิงคงจะไม่ค่อยคุ้มค่า ดังนั้นนางจึงตามสาวใช้ชั้นล่างไม่ตงมา แล้วสั่งให้นางไปแอบตามฉังเหมามา
น้าตู้ซานจึงเล่าเรื่องนี้กับฉังเหมาอย่างเงียบๆ ฉังเหมาอดสบถหยาบออกมาไม่ได้ แล้วก็กัดฟันกรอด “ต้องเป็นพวกสุนัขโลภมากที่แอบขายยาตอนกลางทางแน่นอน!”
“ของพวกนี้ ขายในราคาสูงลิ่วในที่นี่ได้! ไม่รู้ว่าพวกเขาเอายาที่นายหญิงคิดค้นออกมาไปขายได้เงินเท่าไรกันเชียว!” น้าตู้ซานก็รู้สึกโมโห นางเป็นคนที่อยู่ในยุทธจักร ก็ย่อมเกลียดชังพวกขุนนางที่โลภมากและชอบทำเรื่องทุจริตที่สุด
น้าตู้ซานพยักหน้า “เช่นนี้ก็ดี เรื่องนี้อย่างไรก็อย่าให้คุณหนูของพวกเราต้องคอยกังวลใจไปเลย ตอนนี้คุณหนูเองก็ลำบากมากพอแล้ว”
ฉังเหมาจึงเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้ ดูจากเหล่าคุณหนูตระกูลชั้นสูงในเมืองหลวง มีคุณหนูคนไหนบ้างที่ทำเรื่องน่าภาคภูมิใจเช่นนี้ และมีความสามารถเช่นนี้เหมือนคุณหนูเหยาบ้าง ใครบ้างที่จะเปรียบกับความรู้สึกลึกซึ้งที่คุณหนูเหยามีต่อแม่ทัพของพวกเขาได้บ้าง
ยังไม่ต้องกล่าวถึงฉังเหมาที่กลับไปหลอกถามกับบ่าวไพร่ในจวนหยางอย่างไร แค่กล่าวถึงเรื่องของอวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ สตรีที่มี ‘ความรู้สึกลึกซึ้ง’ ต่อแม่ทัพเหยาเช่นกัน
วันนั้น อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่แอบเก็บห่อผ้าของตนเองแล้วพกเงินตำลึงและตั๋วเงินติดตัว พร้อมทั้งนำเสื้อผ้าตัวสะอาดหนึ่งชุดไว้เปลี่ยน จากนั้นก็เอาดาบสั้นที่อวิ๋นคุนให้นางเสียบเข้าไปในรองเท้า และเอาแส้ด้ายทองของตนเองไปที่คอกม้า จูงม้าที่ตนโปรดปรานออกมาพลางแอบขี่ม้าออกจากจวนเฉิงอ๋อง
พูดถึงเหล่าทหารรักษาการณ์ที่ติดตามนางในช่วงนี้มักจะเจอแต่เคราะห์ร้าย ดังนั้นเรื่องของจวิ้นจู่จึงฝังใจพวกเขาอย่างมาก พวกเขาพยายามพูดให้น้อย และพยายามไม่ยุ่งกับเรื่องของนางอีก
ตอนที่อวิ๋นเหยาออกจากคอกม้า ผู้ดูแลคอกม้าจึงเอ่ยถามขึ้น จวิ้นจู่จะไปไหนขอรับ จวิ้นจู่จึงสบถหยาบขึ้น เจ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ ยังกล้ามายุ่งเรื่องของข้าหรือ ข้าจะไปไหนก็ต้องรายงานเจ้าก่อนหรือ
ดังนั้น ตอนจวิ้นจู่ออกประตูไป จึงไม่มีบ่าวคนไหนกล้าขวางทางนางเลย
อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ออกจากประตูจวนเฉิงอ๋องแล้วปีนขึ้นหลังม้าทันที จากนั้นก็ใช้ถนนเงียบสงบเพื่อหลบเลี่ยงผู้คนโดยเฉพาะ แล้วหยุดรออยู่หน้าประตูเมืองหลวงสักพัก รอให้รถม้าของหันหมิงชั่นที่มาส่งหันซังเย่ว์และเหยาเยี่ยนอวี่กลับไป นางถึงจะถือโอกาสออกจากประตูเมืองหลวง และขี่ม้าไล่ตามรถม้าของตระกูลเหยาและหันไปตลอดทาง
แต่หลังจากนี้ เหยาเยี่ยนอวี่และคนอื่นๆ เข้าพักในหมู่บ้านกลางหุบเขา อวิ๋นเหยาก็แซงหน้าคนกลุ่มนี้ไป นางนึกว่าตนเองมีเงินก็คงไม่ต้องกลัวอะไร แต่หลังจากออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ก็หลงทาง
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร เพราะว่าฟ้ามืดและลมแรงเช่นนี้ นางที่เป็นเพียงสตรีอ่อนปวกเปียกที่เติบโตมาโดยที่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติดูแลอย่างรอบด้านตั้งแต่เด็กเช่นนี้ แล้วจะไม่หลงทางได้อย่างไร
ทว่าอย่างไรนางก็ไม่ได้โง่เกินไป พอรู้ว่าตนเองหาที่ค้างแรมไม่ได้ จึงหาพุ่มหญ้าที่อยู่กลางหุบเขาบังลมได้ แล้วพักผ่อนอยู่ที่นั่นตามลำพัง
คืนนี้นางนอนหลับไปอย่างทรมานมาก ทั้งรู้สึกหนาวและหิว แต่ยังดีที่มีม้าคอยอยู่เป็นเพื่อนตนเอง
ม้าตัวนี้ของอวิ๋นเหยาเป็นม้าที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ตอนกลางคืนมันฟุบอยู่ข้างกายอวิ๋นเหยา อวิ๋นเหยาพิงอยู่บนตัวม้าเพื่อให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน จากนั้นเช้าวันต่อมา พวกเขาก็ถูกแสงแดดยามเช้าปลุกให้ตื่น พอลืมตามองไปรอบๆ กลับเห็นว่าเป็นผืนป่าที่ไม่มีแม้แต่ถนนทางเดิน
แต่ช่วยไม่ได้ อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่ทำได้เพียงขึ้นม้าอีกครั้งแล้วไปตามทิศทางที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นหลัก เพื่อแน่ใจว่าทิศเหนือไปฝั่งไหน จากนั้นนางก็เดินทางไปทางทิศเหนือ ว่าไปก็ถือว่าค่อนข้างโชคดี ตอนที่เดินทางจนถึงตอนเที่ยง สุดท้ายก็เจอบ้านของชาวบ้านอยู่สองหลัง ดังนั้นนางจึงรีบไปเคาะประตู
บ้านสองหลังนั้นคือชาวบ้านที่คอยล่าสัตว์กลางป่า หนึ่งบ้านเป็นคู่แม่ลูก ส่วนอีกบ้านคือคู่พ่อลูก พวกเขาล้วนเป็นผู้อพยพ พอไม่มีแรงไปต่อจึงตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ และใช้วิธีการล่าสัตว์ในการเลี้ยงชีพเท่านั้น
บ้านที่อวิ๋นเหยาเคาะประตูคือบ้านที่มีคู่สองแม่ลูกอาศัยอยู่ แม่เฒ่าคนนี้เห็นว่านางสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี ทว่าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ยังนึกว่าเป็นคุณหนูตระกูลชั้นสูงถูกไล่ล่า จึงได้ให้นางเข้ามา แล้วตักน้ำมาให้นางล้างหน้าทำความสะอาดเสียหน่อย แล้วยกข้าวต้มเปล่ามาให้นางกินหนึ่งถ้วย
ต้องพูดถึงอวิ๋นเหยาที่เติบโตมาขนาดนี้ อาหารทุกอย่างที่เคยกินล้วนเป็นอาหารเลิศรสและอุดมสมบูรณ์ แล้วจะเคยกินข้าวต้มเปล่าที่ต้มจากข้าวราคาถูกได้อย่างไร ทว่าคำโบร่ำโบราณกล่าวถูก ตอนหิวแค่ได้กินน้ำตาลก็ยังรู้สึกเหมือนได้กินน้ำผึ้ง
อวิ๋นเหยาไม่ได้กินอาหารมาหนึ่งวันหนึ่งคืน ตอนนี้จึงรู้สึกหิวมาก นางกินข้าวต้มไปกี่คำก็กินจนหมดถ้วยทันที จากนั้นก็ขอกับแม่เฒ่าคนนั้นอีก “ยังมีอีกไหม”
แม่เฒ่าคนนั้นเห็นนางหิวมากเช่นนี้ จึงอดเอ็นดูไม่ได้ ด้วยเหตุจึงรีบพูดขึ้น “มี ยังมี”
ดังนั้น อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่จึงกินข้าวต้มไปสามถ้วย
ตอนที่นางกำลังกินข้าวต้มสามถ้วยนี้ แม่เฒ่าคนนี้ก็ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่ายัยหนูคนนี้มีหน้าตาที่งดงามจริงๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกโปรดปราน แล้วคิดว่าตอนนี้บุตรชายของตนมีอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับยังไม่ได้ภรรยา อีกอย่างในกลางป่าลึกเช่นนี้ ระยะทางห่างไกลนับแปดเก้าลี้ ไม่มีคนอาศัยอยู่แม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีสตรีงดงามเช่นนี้
อวิ๋นเหยากินเสร็จสักที จึงหันไปยิ้มให้กับแม่เฒ่า แล้วพูดขึ้น “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าต้องการเงินเท่าไร” พูดไป นางก็ยื่นมือไปจับถุงบุหงา