หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 335 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (1)
ตอนที่ 335 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (1)
“เงิน?” แม่เฒ่าตะลึงงัน แล้วแย้มยิ้มต่อ “แม่นางกำลังพูดอะไรอยู่ ข้าไม่เก็บเงินอะไรหรอก”
ในกลางป่าลึกเช่นนี้ ต่อให้มีเงินแล้วจะไปใช้ที่ไหนได้ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่แล้วปลูกผักและล่าสัตว์กินเอง หนึ่งปีจะเข้าไปในหมู่บ้านที่ไกลหลายสิบลี้เพื่อเอาสัตว์ป่าไปแลกเกลือกลับมา ดังนั้นจะเอาเงินไปทำอะไร
อีกอย่าง หากเอายัยหนูคนนี้มาเป็นภรรยาของบุตรชายตนเอง เงินที่นางพกติดตัวและม้าตัวนี้ก็คือสินเดิมเจ้าสาว! แล้วมีอะไรบ้างที่จะไม่ตกเป็นของตัวเอง
“ไม่เก็บเงิน?” อวิ๋นเหยานิ่งงัน แล้วยิ้มอย่างรื่นเริง “ก็ได้ เช่นนั้นก็ขอบใจมากๆ”
กล่าวจบ นางก็หิ้วห่อผ้าพลางหันหลังเดินจากไป ขณะที่เดินไปด้วยก็พึมพำไปด้วย “ประเพณีพื้นบ้านของต้าอวิ๋นเราเรียบง่ายอย่างที่คาดไว้จริงๆ อารยธรรมหลากหลายในแต่ละพื้นที่ที่เสด็จลุงทรงสร้างไว้ ทำให้แม้กระทั่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่กลางหุบเขาก็ยังมีจิตใจที่งดงาม”
อวิ๋นเหยาเอาห่อผ้าไปวางทาบบนไหล่ แล้วหันหลังกำลังจะจากไป แม่เฒ่าคนนั้นกลับรีบเดินหน้ามาขวางทางของนางไว้
“เอ๊ะ? เจ้าจะทำอะไร” อวิ๋นเหยามองแม่เฒ่าด้วยความแปลกใจ ไม่เก็บเงินไม่ใช่หรือไร เหตุใดถึงมาขวางทางอีกล่ะ
“แม่นาง เจ้าจะไปไหน” แม่เฒ่าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มรื่นเริง
อวิ๋นเหยาขมวดคิ้วมองรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่เฒ่า จึงค่อนข้างไม่เข้าใจในความหมายของนาง ดังนั้นจึงยิ่งไม่อยากบอกความจริงให้นาง “ข้าจะไปไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ระยะทางที่ห่างจากไปหลายสิบลี้ไม่มีชาวบ้านอยู่ แม่นางไม่กลัวว่าจะหลงหรือ”
อวิ๋นเหยานิ่งงัน ภายในใจก็คิดเช่นนี้จริงๆ ตนเองออกไปก็คงจะหลงทางเหมือนเดิม แต่ต่อให้หลงทางก็ต้องเดินทาง
แม่เฒ่าพูดยิ้มๆ อีกครั้ง “บุตรชายของข้าไปล่าสัตว์ เขาล่าสัตว์กลับมาแล้วจะเอาลงไปขายที่หมู่บ้าน หากแม่นางอยากกลับไป มิเช่นนี้ก็รอบุตรชายของข้ากลับมาแล้วส่งแม่นางออกไป ดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก ข้ามีธุระเร่งด่วน” อวิ๋นเหยาขมวดคิ้ว นางแค่อยากเดินไปทางทิศเหนือ แค่มีดวงอาทิตย์ ก็ไม่กลัวว่าจะหลงทาง ม้าของนางเป็นม้าพันธุ์ดี แม้จะไม่สามารถเดินนับพันลี้ ทว่าหากให้เดินในผืนป่านี้ทั้งวันก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร
“เหอะๆ…” แม่เฒ่าเห็นอวิ๋นเหยาดื้อดึงจะกลับ จึงรีบกางแขนขวางไว้ “เจ้าห้ามไป”
“อะไรนะ” อวิ๋นเหยาเริ่มรู้สึกรำคาญ แม่เฒ่าคนนี้ ก็แค่กินข้าวต้มของนางไปไม่กี่ถ้วย ให้เงินก็ไม่ยอมเอา แล้วจะยุ่งเกี่ยวกับตนไปไย
“แม่นาง ไม่ใช่ว่าข้าอยากให้พูดให้เจ้ากลัว ป่าผืนนี้มาหมาป่านะ!”
“ข้าไม่กลัวหมาป่า” อวิ๋นเหยายิ้มจางๆ หมาป่าหรือ ข้าใช่ว่าไม่เคยฆ่ามันเสียหน่อย นางเป็นถึงจวิ้นจู่ของแคว้นต้าอวิ๋น เรื่องขี่ม้ายิงธนู ก็ได้ฝึกฝนผ่านจากทหารองครักษ์มาแล้ว
“เจ้าห้ามไป!” แม่เฒ่าเห็นว่าทำให้นางหวาดกลัวไม่ได้จึงชักสีหน้าทันที
อวิ๋นเหยาเห็นว่าแม่เฒ่าคนนี้ชักสีหน้า จึงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เจ้าอยากทำอะไรกันแน่ จะเอาเงินหรือ ข้าให้เจ้าแล้วนี่”
แม่เฒ่าหันไปเอาอาวุธแหลมคมที่ซ่อนอยู่หลงประตู แล้วเฝ้าประตูไว้ด้วยท่าทางที่น่าเกรงขาม พร้อมทั้งพูดขึ้น “เจ้าเข้าบ้านของข้า กินข้าวต้มของข้า นั่นก็คือคนของที่บ้านข้า ข้าบอกว่าเจ้าห้ามไป เจ้าก็ต้องห้ามไป”
อวิ๋นเหยามองแม่เฒ่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยถาม “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
“แม่นาง ไม่ใช่ว่าข้าต้องการพูดให้เจ้าหวาดกลัว เจ้าออกจากที่นี่ คงจะโดนหมาป่ากินแน่นอน เจ้าอยู่ที่นี่ต่อแล้วมาเป็นสะใภ้ของบุตรชายข้า บุตรชายของข้ามีกำลังแข็งแกร่ง ต้องปกป้องเจ้าได้แน่นอน” แม่เฒ่าพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน
“พรวด…” อวิ๋นเหยาหลุดหัวเราะออกมา หลังจากหัวเราะก็โมโหขึ้นมาทันที แล้วฟาดแส้ในมือพร้อมพูดด้วยความเย็นชา “ข้าจะย้ำอีกรอบ รีบถอยไป มิเช่นนั้นแส้ในมือของข้าคงจะฟาดคนไปมั่ว”
แม่เฒ่าคนนั้นเห็นแส้ในมือของอวิ๋นเหยา นัยน์ตาเป็นประกาย ทว่ากลับยิ้มอย่างไม่สนใจ แม่นางคนนี้ดูอ่อนเปียกปวกเช่นนี้ เหมือนเป็นรูปปั้นของเล่น แค่แตะก็อาจจะแตกได้ แล้วยังคิดจะเอาแส้มาข่มขู่คนอื่นอีกหรือ
“ถอยไป!” อวิ๋นเหยามองเห็นว่าแม่เฒ่าไม่ยอมถอย จึงตวาดด้วยเสียงโมโห
“ข้าไม่ถอย เจ้าเข้าประตูบ้านข้า กินข้าวของข้าก็คือสะใภ้ของข้า”
คิดว่าแม่เฒ่าคงบ้าไปแล้ว บุตรชายอายุสามสิบยังไม่มีภรรยา หลักๆ แล้วผืนป่าแห่งนี้นอกจากตนที่เป็นแม่เฒ่าที่เป็นสตรีแล้ว ก็ไม่มีสตรีอื่นใดอีก ครั้งนี้อย่าว่าแต่สตรีที่อ่อนปวกเปียกเลย แค่เป็นสตรี นางก็จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
เพื่อบุตรชาย เพื่อทายาท นางจะพยายามสู้ให้ถึงที่สุด
แน่นอนว่าอวิ๋นเหยาไม่ใช่คนนิสัยดีจึงตวาดใส่อีก พอเห็นแม่เฒ่าไม่ยอมถอย นางจึงสะบัดแส้
“ช่วยด้วย! มีคนกำลังจะฆ่าคน…” แม่เฒ่าจึงตะโกนขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันนางก็หันอาวุธแหลมคมกันแส้ที่กำลังฟาดเข้าใส่ตนเอง “จูกวนเอ๋อร์รีบมา! จูกวนเอ๋อร์…รีบมา! มีคนจะฆ่าข้า…”
จากนั้นก็มีคนที่อยู่ในบ้านหญ้าคาเล็กๆ รีบตอบกลับ “แม่เฒ่าคนนี้บ้าไปแล้ว! นี่มันกลางวันแสกๆ ใครจะไปฆ่าเจ้าได้เล่า!” ขณะที่พูดก็มีผู้เฒ่าอายุราวๆ ห้าหกสิบปีนกำแพงหินเตี้ยมาดู ก็เห็นสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีแต่เปรอะเปื้อน กำลังจะเอาแส้เฆี่ยนตีอีกฝ่าย ดังนั้นจึงรีบตะโกนขึ้นมาทันที “จูกวนเอ๋อร์รีบมา! รีบมา…”
อวิ๋นเหยาไม่สนใจ แส้ในมือของมือจึงยิ่งฟาดลงมาแรงกว่าเดิม ไอ้ชาวบ้านยากจนพวกนี้ช่างบังอาจเกินไปแล้ว! กล้าข่มเหงจวิ้นจู่อย่างข้า ไม่เห็นฮ่องเต้ในสายตา! เฆี่ยนนางให้ตายก็ถือเป็นการลงโทษที่เบาที่สุดแล้ว!
นางเฆี่ยนลงไปหนักๆ เช่นนี้ แม่เฒ่าคนนั้นก็ต้านไม่อยู่อีกต่อไป เรือนร่างจึงถูกเฆี่ยนไปไม่กี่ที ทำเอาเสื้อผ้าตัวเก่ามีรอยขาด เห็นถึงรอยเลือดที่ซึมออกมาจากผิวหนัง จากนั้นก็โดนหน้าไปหนึ่งที ทำให้มีรอยเลือดสีแดงสดประทับอยู่ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นถึงกับทุกข์ทนและกรีดร้องออกมาอย่างทรมาน
จู่ๆ ก็มีบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งพุ่งออกมาจากมุมของกำแพง
อวิ๋นเหยาตะลึงงันจนรีบหลบไป
บุรุษร่างกำยำคนนั้นมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้เขาจะไม่มีวรยุทธ์อะไร ทว่ากลับมีกำลังอย่างมาก
ถึงแม้อวิ๋นเหยาจะเคยฝึกวิชาการต่อสู้กับเหล่าทหารองครักษ์ แต่ร่างกายก็ยังเปราะบาง บุรุษร่างกำยำคนนี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในผืนป่าแล้วยังล่าสัตว์เพื่อหาเลี้ยงชีพ ยิ่งไปกว่านั้น บุรุษคนนี้ไม่กลัวตาย แส้ที่เฆี่ยนไปกลับไม่ยอมหลบ เขาวิ่งพุ่งมาอย่างบ้าคลั่ง ดังนั้นแค่ท่วงท่าต่อสู้กับนางเพียงสามสี่ครั้ง ก็แย่งแส้ม้าในมือของอวิ๋นเหยาไปได้
อวิ๋นเหยาถูกบุรุษร่างกำยำกดร่างไว้ แม่เฒ่าคนนั้นเดินหน้ามาตบหน้านางไปสองที พร้อมทั้งสบถหยาบขึ้น “ยัยงูพิษที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี! กลับกล้ามาทำร้ายข้า! หนอยแน่ เดี๋ยวข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายไปเลย!”
จูกวนเอ๋อร์อดร่างอวิ๋นเหยาไว้ในอ้อมกอด แค่รู้สึกได้ถึงผิวพรรณที่นุ่มนวลยิ่งกว่าผ้านวล ทันใดนั้นก็รู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมา เขาจึงบิดร่างของตนแรงๆ ไปสองที แล้วเอ่ยถามแม่เฒ่าคนนั้นด้วยรอยยิ้มชื่นบาน “ป้า แม่นางผู้นี้มาจากไหน”
“ข้าจะไปรู้หรือ นางมาขอข้าวกินตั้งแต่เช้า พอกินข้าวเสร็จก็ไม่ยอมเป็นสะใภ้ของบุตรชายข้า! ถุย! ยังคิดจะหนีอีกกระนั้นหรือ เข้าบ้านข้าแล้วก็อย่าคิดว่าจะหนีออกไปอีก!” แม่เฒ่าถ่มน้ำลายไปหนึ่งที จากนั้นก็หันไปจูงม้าตัวนั้นของอวิ๋นเหยา
อวิ๋นเหยาถูกตบหน้าอย่างแรงไปสองทีจนทำให้นางวิงเวียนศีรษะจนใกล้จะเป็นลม พอเห็นแม่เฒ่าคนนั้นจูงม้าของตนเองก็โมโหเดือดดาล ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ด้วยเหตุนี้นางตะโกนด้วยเสียงดัง “ท่าฟงรีบหนีไป!”
ท่าฟง ก็คือม้าที่อวิ๋นเหยาโปรดปราน
ม้าพันธุ์ดีที่เอ่ยถึงนั้นฉลาดหลักแหลมจริงๆ พอท่าฟงได้ยินเสียงตวาดของเจ้าของจึงหันไปมอง ก็แม่เฒ่าคนนั้นกำลังจะมาคว้าบังเหียนม้า จู่ๆ มันก็หันหลัง แล้วยกกีบม้าถีบท้องของแม่เฒ่าไปหนึ่งที