หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 336 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (2)
ตอนที่ 336 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (2)
“โอ๊ย!” แม่เฒ่าล้มหงายหลังทันที
ท่าฟงทำเสียงฮึดฮัดในจมูก แล้วร้องคำรามพลางวิ่งหนีไปแต่โดยเร็ว
แม่เฒ่าคนนั้นถูกเจ้าท่าฟงถีบจนวิงเวียนศีรษะ ผ่านไปสักพักใหญ่ถึงจะลุกขึ้นจากพื้น หลังจากนั้นก็วิ่งกลับไปตบหน้าอวิ๋นเหยา
“ป้า” จูกวนเอ๋อร์ยกมือจับข้อมือของแม่เฒ่าคนนั้นไว้แล้วยิ้มอย่างขมขื่น “อย่าตบเลย ป้าดูสิ หน้าของนางบวมหมดแล้ว”
“เจ้ายังคิดจะเห็นใจนางงูพิษคนนั้นอีกหรือ!” แม่เฒ่าโมโหจนขาดสติจึงยกเท้าขึ้นถีบจูกวนเอ๋อร์
จูกวนเอ๋อร์เป็นบุรุษร่างกำยำ แค่ถูกถีบหน่อยก็คงไม่ทำให้รู้สึกเจ็บหรอก ทว่าเขากลับคลี่ยิ้ม “ป้า แม่นางคนนี้ดูไม่เลว ข้าจะให้หนังสัตว์ยี่สิบแผ่นและข้าวสารสองกระสอบกับป้า ป้ายกนางให้ข้าเถอะ”
“ฝันไปเถอะ!” แม่เฒ่าโมโหยิ่งขึ้น “นางเป็นสะใภ้ของหู่โถว”
“ป้า เช่นนั้นข้าจะเพิ่มหนังสัตว์ให้อีกสิบแผ่น ข้าวสารอีกห้ากระสอบ ว่าอย่างไรบ้าง”
“ไม่ได้!” แม่เฒ่ายื่นมือไปดึงอวิ๋นเหยาไว้
จูกวนเอ๋อร์หมุนตัวเพื่อไม่ให้นางมาลากตัวอวิ๋นเหยาที่อยู่ในอ้อมกอดของตนเองไป “ป้า หากไม่ใช่เพราะข้าออกมา เกรงว่าป้าคงจะถูกนางเฆี่ยนจนตายไปแล้ว นางถือว่าเป็นคนที่ข้าจับได้ ตามหลักแล้วนางต้องตกเป็นของข้าสิ”
“ฝันไปเเถอะ! นี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าสบถหยาบขึ้น “ปล่อยนางมาให้ข้า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวตอนหู่โถวกลับมาข้าจะให้เขากระทืบเจ้าให้ตายไปเลย!”
อวิ๋นเหยาได้ยินพวกเขากำลังเห็นว่าตนเหมือนหมูเหมือนหมาก็โมโหมาก ดังนั้นนางเลยถือโอกาสตอนที่จูกวนเอ๋อร์ทะเลาะถกเถียงกับแม่เฒ่าคนนั้น จู่ๆ ก็เงยหน้ากัดคอของจูกวนเอ๋อร์แรงๆ หนึ่งที
“โอ๊ย…” จูกวนเอ๋อร์เจ็บจนปล่อยมือ
อวิ๋นเหยาผลักเขาออกแล้ววิ่งหนีไป
“ยังกล้าหนีอีก!” แม่เฒ่าเห็นอวิ๋นเหยาหนี จึงไล่ตามไป
จูกวนเอ๋อร์ยกมือลูบบริเวณคอของตนเอง แล้วเห็นกลางฝ่ามือมีเลือดแดงสดติดมาด้วย ดังนั้นจึงสบถหยาบทว่าไม่โกรธเกรี้ยว “นางนี่!” จากนั้นก็ไล่ตามไปทันที
อวิ๋นเหยาวิ่งออกจากประตูอย่างไม่คิดชีวิต และไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะวิ่งไปทางไหน เพราะวิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือจึงไปวิ่งชนกับคนคนหนึ่ง
“โอ๊ย!” อวิ๋นเหยาจึงทรงตัวไม่อยู่ จนเกือบจะล้มลงบนพื้น ตอนที่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งจับไม้กวาดขวางทางไปของนาง “สาวน้อย ข้าขอเตือนให้เจ้าอยู่เป็นสะใภ้ของบุตรชายข้าที่นี่ดีๆ เถอะ”
อวิ๋นเหยาโมโหเลือดขึ้นหน้า จึงใช้กำปั้นชกเขา
กลับนึกไม่ถึงว่าบุรุษร่างกำยำตามมาทัน จับแขนของนางแล้วดึงเข้าไปในอ้อมกอด บุรุษหัวเราะแหะๆ แล้วก้มหน้าลงไปกัดหน้าของอ่อนเยาว์เหมือนเต้าหู้หนึ่งที “แม่นางคนนี้ดื้อจริงๆ เลย กัดคอของข้าจนเลือดไหลเลยนะ”
“โอ๊ยๆๆ…ไอ้สัตว์เดรัจฉานที่สมควรตาย! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” อวิ๋นเหยาที่ถูกกัดแก้มยังคงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“ให้ตายเถอะ! นี่เป็นสะใภ้ของหู่โถว ไม่ใช่ของพวกเจ้า!” แม่เฒ่าเอาอาวุธแหลมคมแล้ววิ่งพุ่งมา จากนั้นก็ตีไปที่ศีรษะของจูกวนเอ๋อร์
ผู้เฒ่าคนนั้นยกไม้กวาดมาบังไว้ก่อน พร้อมพูดด้วยความหน้าด้าน “แม่นาง ระหว่างพวกเราทั้งสองบ้าน ใครเลือกใครดี! เช่นนั้นก็ให้นางตามจูกวนเอ๋อร์ไปก่อน รอให้มีบุตรแล้ว ก็ค่อยให้นางตามหู่โถว อย่างไรนางก็ต้องอาศัยอยู่กลางหุบเขานี้ ไม่มีทางไปไหนได้อยู่แล้ว พวกเขาสองพี่น้องได้เมียคนเดียวกันก็ถือเป็นเรื่องดี เจ้ารู้สึกว่าเช่นนี้ดีไหมล่ะ”
“มารดาเจ้าสิ!” ก่อนหน้าอวิ๋นเหยาจะเครียดจนหมดสติไป จึงได้ทิ้งท้ายคำพูดสบถหยาบเช่นนี้
อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่หนีออกจากบ้าน ทำเอาจวนเฉิงอ๋องตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายขึ้นมาทันที
หลังจากเฉิงอ๋องได้รับข่าวก็กลับจวนทันที ตอนนี้เฉิงหวังเฟยก็ได้สติกลับมา ทว่านางกลับร้องไห้จนหน้ามืดตามัว ต่อให้ปกติเฉิงอ๋องจะรู้สึกเครียดที่บุตรีชอบสร้างเรื่องสร้างปัญหามากเพียงใด ทว่าตอนนี้เขาก็รู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก จึงรีบสั่งให้ทหารรักษาการณ์มารวมตัวกัน แม้กระทั่งยังใช้ทหารจิ่นหลินโดยไม่ลังเล เขาเป็นคนนำทัพทหารเดินทางขึ้นเหนืออย่างเร่งด่วนด้วยตัวเอง
แต่ว่าม้าของเฉิงอ๋องจะเร็วมากเพียงใด เวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งวันแล้ว ตลอดทางเขาพยายามไล่ตามอวิ๋นเหยาให้ทัน แต่สุดท้ายฟ้าก็มืดมัวลงแล้ว
ตอนนั้น เฉิงอ๋องยืนอยู่ในถิ่นทุรกันดารที่เห็นแค่เพียงภูเขาและพุ่มหญ้า เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ บุตรีของตนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด เกรงว่าคงไม่มีทางทนอาศัยอยู่ในนี้แน่นอน
ดังนั้น เฉิงอ๋องจึงสั่งทหารจิ่นหลินและทหารรักษาการณ์ของจวนอ๋องที่อยู่ด้านหลัง “พวกเราแยกย้ายกันตามหาเถอะ จากที่นี่ไปเขตตอนเหนือ ตามหาทั่วทุกที่ด้วย แม้กระทั่งถนนคับแคบที่อยู่กลางหุบเขาก็อย่ามองข้าม จวิ้นจู่ไม่เคยออกไปไหนมาไหน ไม่แน่อาจจะหลงทางตั้งนานแล้ว”
หัวหน้าทหารจิ่นหลินคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จึงเกลี้ยกล่อม “ท่านอ๋องอย่าได้กังวลใจเลยพ่ะย่ะค่ะ เวลาจวิ้นจู่ออกมาจากจวน ก็คือเวลาเดียวกับที่แม่ทัพหันและหมอหลวงเหยาออกเดินทาง ไม่แน่นางอาจจะตามพวกเขาจนทันและเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอ๋องยิ้มอย่างขมขื่น “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ทว่าเขากลับรู้สึกว่าเหมือนไม่มีความหวังมากขนาดนั้น เหตุเพราะเฉิงอ๋องรู้ว่าหากอวิ๋นเหยาตามหันซังเย่ว์ทัน หันซังเย่ว์ต้องสั่งให้คนส่งสารมาให้ตนเอง ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เขายังคงไม่ได้รับข่าวสารอะไร แสดงว่าบุตรีต้องไม่อยู่กับคนพวกนั้น
พอนึกถึงเช่นนี้ เฉิงอ๋องจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญาอีกครั้ง ตามนิสัยของอวิ๋นเหยาแล้ว นางจะยอมเดินทางไปพร้อมกับเหยาเยี่ยนอวี่ได้อย่างไร
ช่วงเช้าหลังจากที่ผ่านไปสี่วัน เฉิงอ๋องพาทหารรักษาการณ์ตามไปถึงเมืองกู้เสียที ตอนนี้ เขายังคงไม่ได้ข่าวคราวใดๆ ของอวิ๋นเหยา
แม่ทัพหยางซือเยี่ยที่เฝ้าประตูเมืองกู้ได้ยินว่าท่านอ๋องเสด็จมา จึงสั่งให้รองแม่ทัพที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาออกนอกเมืองไปต้อนรับ
เฉิงอ๋องเดินทางอย่างเร่งรีบไปหลายวัน เสื้อผ้าจึงสกปรกมอมแมม พอเจอหน้าหยางซือเยี่ย เขาก็ไม่พูดอะไรทั้งนั้นแค่เอ่ยถาม “แม่ทัพเซ่าหันและหมอหลวงเหยาเคยผ่านที่นี่ไหม ตอนนี้ออกจากที่นี่หรือยัง”
หยางซือเยี่ยค้อมตัวตอบกลับ “ทูลท่านอ๋อง แม่ทัพหันมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุเพราะเร่งรีบในการเดินทางมาหลายวัน เหล่าสตรีจึงเหน็ดเหนื่อยเกินไป ดังนั้นเลยอยู่ค้างแรมที่จวนของกระหม่อมหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นจะรีบออกเดินทางพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงอ๋องได้ยินคำว่า ‘เหล่าสตรี’ ภายในใจมีความหวังขึ้นมา จึงพลันพูดขึ้น “พวกเขาอยู่ที่ใด รีบไปตามพวกเขามาพบเปิ่นอ๋อง”
หยางซือเยี่ยรีบหันกลับไปสั่งคนข้างๆ “ไปเชิญแม่ทัพเซ่ามาเร็ว”
คนๆ นั้นรับคำแล้วจากไป ไม่นานก็พาหันซังเย่ว์มาเจอเฉิงอ๋อง
เฉิงอ๋องหันไปมองหันซังเย่ว์ ก็ไม่รอให้เขาน้อมคำนับตนเอง แต่กลับเอ่ยถามด้วยความใจร้อน “ชิงจือ ตลอดทางเจ้าได้เจอกับเหยาเอ๋อร์หรือไม่”
“เหยาเอ๋อร์?!” หันซังเย่ว์นิ่งงัน แล้วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เสด็จน้าเจ็ด หลานจะเจอกับเหยาเอ๋อร์ได้อย่างไร”
เฉิงอ๋องรู้สึกผิดหวังอย่างมาก จึงหลับตาลงด้วยความประหม่าพร้อมทอดถอนหายใจ “เหยาเอ๋อร์แอบหนีออกจาจวนตั้งแต่วันที่พวกเจ้าออกเดินทางมาที่นี่ แล้วทิ้งจดหมายไว้ว่าจะไปกันโจว…จนถึงตอนนี้ ข้ายังหานางไม่พบเลย”
หันซังเย่ว์ตะลึงงันทันที ผ่านไปสักพักถึงจะถอนหายใจ แล้วพูดด้วยความประหม่า “นี่…นี่มันเหลวไหลไปกันใหญ่แล้ว!”
ตอนนี้เฉิงอ๋องแทบจะรู้สึกว่าไม่มีความหวังใดแล้ว เขารู้สึกว่าบุตรีของตนต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดแน่นอน ดังนั้นจึงผายมือด้วยความทรมานใจแล้วลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดออกมา
หันซังเย่ว์มองสีหน้ากระวนกระวายของเฉิงอ๋องจึงรีบเกลี้ยกล่อมขึ้น “เสด็จน้าเจ็ดอย่ากังวลใจไปเลย นี่ก็ผ่านไปสี่วันเท่านั้น นางเป็นสตรีตัวคนเดียว จึงไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกลหรอก อีกอย่าง หลานคิดว่านางต้องหลงทางแน่นอน ตอนนี้แค่ต้องให้คนกลับไปตามหาต่อ และขยายขอบเขตในการค้นหากว้างขึ้น ไม่ว่าในหมู่บ้านหรือกลางป่า ก็ต้องตามหาอย่างละเอียด น่าจะได้เบาะแสอะไรเกี่ยวกับเหยาเอ๋อร์บ้างอยู่แล้ว”