หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 337 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (3)
ตอนที่ 337 ท่านอ๋องกล่าวคำขอโทษ (3)
“ข้าสั่งให้ทหารจิ่นหลินไปแล้ว และสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันตามหา โดยเว้นระยะห่างของแต่ละกลุ่มห้าสิบลี้” เฉิงอ๋องถอนหายใจแรงๆ อีกครั้ง “ทว่า ที่นี่เป็นพื้นที่ภูเขาทั้งหมด ธรณีสัณฐานของที่นี่ซับซ้อนยิ่งนัก ซ้ำตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเหมันต์ พวกสัตว์ป่าดุร้ายคงจะหิวโหยมานานแล้ว…นางเป็นเพียงสตรีตัวคนเดียว…เจ้าว่านางจะทำอย่างไร!”
หันซังเย่ว์รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก รู้สึกว่าอวิ๋นเหยาเป็นตัวปัญหาจริงๆ ทว่าคำพูดนี้ก็คงไม่อาจบอกเฉิงอ๋องได้ ด้วยเหตุนี้จึงปลอบโยนขึ้น “เสด็จน้าเจ็ดไม่ต้องเป็นห่วง เหยาเอ๋อร์เคยฝึกขี่ม้ายิงธนู ก่อนหน้านี้ก็เคยไปล่าสัตว์กับเหล่าทหารรักษาการณ์ สัตว์ป่าทั่วไปนางก็คงไม่กลัวหรอก สมัยนี้ก็มักจะมีครอบครัวนายพรานอาศัยอยู่กลางป่า ไม่น่าจะเกิดเรื่องอันตรายอยู่แล้ว”
และตอนนี้อวิ๋นเหยาก็หลุดพ้นจากอันตรายจริงๆ นางถูกทหารจิ่นหลินตามหาจนเจอ และกำลังถูกส่งไปที่เมืองกู้
ทหารจิ่นหลินตามหานางจนเจอในคืนที่สามของการที่นางถูกครอบครัวนายพรานจับกุมตัวไว้ ตอนนี้นางกำลังขี่ม้า เสื้อผ้าอยู่ในสภาพที่ฉีกขาด หน้าตาไม่เรียบร้อย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง อย่างกับผ่านมหันตภัยมรณะมา
แท้จริงแล้ว อวิ๋นเหยาได้ฝ่าฟันกับมหันตภัยมรณะมาจริงๆ
วันนั้นหลังจากที่นางสลบไป แม่เฒ่าและผู้เฒ่าก็ได้หารือกันแล้ว หลังจากที่นางฟื้น จะให้นางตกเป็นเมียของหู่โถวก่อน พอนางมีบุตรให้หู่โถวแล้ว ค่อยไปมีบุตรให้จูกวนเอ๋อร์ รอให้คลอดบุตรของจูกวนเอ๋อร์เสร็จ แล้วค่อยย้อนกลับไปมีบุตรกับหู่โถวต่อ นางต้องสลับไปมาเช่นนี้ จนกว่าจะคลอดบุตรตามที่พวกเขาต้องการจนครบ
คืนนั้น หู่โถวที่ออกไปล่าสัตว์ได้กระต่ายและกวางกลับมาอย่างละตัว มารดาของเขาจึงลากตัวสะใภ้ที่มีหน้าตางดงามไปตรงหน้าเขา
บุรุษอายุสามสิบที่ยังไม่ได้สร้างครอบครัวเห็นแม่นางรูปงาม ทันใดนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และต้องการทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน พอเขาบอกว่าต้องการทำพิธีนี้ บิดาของจูกวนเอ๋อร์รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
พิธีกราบไหว้ฟ้าดินก็คือพิธีวิวาห์ แล้วถ้าผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี ศพของแม่นางรูปงามคนนี้จะถูกฝังไว้ข้างศพหู่โถวกระนั้นหรือ เช่นนี้คงไม่ได้ หรือจะให้จูกวนเอ๋อร์อยู่อย่างโดดเดี่ยวจนตาย
ดังนั้นทั้งสองบ้านจึงถกเถียงกันอีกครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจว่า หากอนาคตไม่มีสตรีเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้อีก หนึ่งร้อยปีผ่านไป ศพของสตรีผู้นี้ต้องฝังอยู่กับพวกเขาทั้งสองคน และยังคงเป็นภรรยาของทั้งสอง
อวิ๋นเหยาฟื้นขึ้นมาในวันถัดไป กลับเห็นว่าตนเองถูกมัดไว้
ในสถานการณ์ที่จนปัญญา นางถูกลากตัวให้ไปเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน
พอเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อวิ๋นเหยากลับสงบสติลง ให้นางใช้ชีวิตอยู่กับบุรุษสองคนนี้ตลอดไป คงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว อีกอย่าง นางก็ไม่ใช่สตรีที่อ่อนปวกเปียกมากถึงขั้นนั้น
ดังนั้น นางจึงเก็บความไม่สบอารมณ์เอาไว้ พวกเขาให้ทำอะไรก็ทำตามอย่างเชื่อฟัง นางไม่ด่าและไม่โวยวายอีก และได้แอบซ่อนดาบสั้นที่เสียบไว้ในรองเท้าไว้ใต้หมอน รอจนถึงคืนที่เข้าเรือนหอ หู่โถวก็พุ่งทะยานเข้ามากระชากเสื้อผ้าของนางเหมือนเสือ
ตอนแรกนางไม่กล้าขยับไปเรื่อยเปื่อย จึงทนกับการถูกกระชากเสื้ออันน่าขยะแขยงนี้ จากนั้นถือโอกาสตอนที่บุรุษคนนั้นกำลังจะเสพสังวาสกับนาง นางจับดาบสั้นแล้วแทงเข้ากระดูกสันหลังของเขาอย่างเต็มแรง
บุรุษทอดถอนหายใจหนึ่งทีแล้วล้มลงไปทับเรือนร่างของอวิ๋นเหยา เวลานี้ แม่เฒ่าที่แอบฟังอยู่ข้างนอกกลับแอบหัวเราะแล้วเดินจากไป
อวิ๋นเหยารออีกสักพัก แล้วค่อยผลักร่างที่กดทับอยู่ด้านบนออก และใช้ผ้าห่มผืนเก่าห่มเขาไว้ พร้อมจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของตนเอง จากนั้นใช้ดาบฟันลายฉลุบนหน้าต่าง เพื่อแอบหนีออกไป
นางวิ่งจนตัวเองไม่มีแรง จึงยืนพิงต้นไม้ใหญ่แล้วเอามือยัดเข้าปาก เพื่อเป่าปากส่งเสียง
ไม่นาน ท่าฟงก็วิ่งออกมาจากที่มืด พอเห็นอวิ๋นเหยาจึงเข้ามาใกล้นางอย่างสนิทสนม
อวิ๋นเหยาตบหน้าท่าฟงเบาๆ แล้วปีนขึ้นหลังมันอย่างกินแรง พร้อมทั้งพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง “ท่าฟง รีบไป”
ท่าฟงพาอวิ๋นเหยาวิ่งตรงกลางป่าทั้งคืน ตามสัญญาตญาณของสัตว์ที่มีต่อสภาพแวดล้อม ท่าฟงเลยพาอวิ๋นเหยาไปถึงตรงริมลำธาร น้ำในลำธารแทบจะก่อตัวเป็นน้ำแข็งจนหมด ท่าฟงที่รู้สึกหิวกระหายน้ำ จึงยื่นลิ้นไปเลียตรงผิวน้ำแข็ง
จากนั้นท่าฟงก็พาอวิ๋นเหยาที่สลบหมดสติเดินอยู่บนลำธารไปหนึ่งวัน ตอนที่ฟ้าใกล้มืดก็ถูกทหารจิ่นหลินนามว่าเย่ว์หลันเห็นเข้า เย่ว์หลันไม่กล้าชักช้า จึงถอดเสื้อคลุมของตนเองคลุมบนเรือนร่างของอวิ๋นเหยา พลางอุ้มนางขึ้นมาบนม้าของตน แล้วส่งสารให้สหายด้วยวิธีลับของทหารจิ่นหลินโดยเฉพาะ ในขณะเดียวกัน เขาก็เร่งม้าวิ่งไปยังทิศทางทางไปเมืองกู้
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินว่ายาทาแผลเปื่อยของตนเองถูกเก็บไว้ลอบขายก็รู้สึกโมโหมาก ทว่าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ตนคงไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว นางเลยให้หันซังเย่ว์เป็นคนจัดการ หลังจากนั้นก็ได้ข่าวว่าเฉิงอ๋องมาเยือนอย่างกะทันหัน ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผลในการมาเยือน นางยังฟังคำสั่งของหันซังเย่ว์ ว่าให้อาศัยอยู่ในเมืองกู้อีกหนึ่งวัน
กลับนึกไม่ถึงว่าตอนกลางคืนที่เก็บของข้าวและกำลังจะนอน จู่ๆ ด้านนอกก็มีคนมาเคาะประตู
น้าตู้ซานขมวดคิ้วให้สาวใช้ชั้นล่างไปดูว่าใคร สาวใช้ชั้นล่างเดินไปดูแล้วก็รีบเปิดประตูวิ่งกลับมา แล้วพูดขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ แม่ทัพหันมาเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยังนึกว่ามีเรื่องอะไรอีก ตอนที่กำลังจะเอาเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกมาคลุมเรือนร่างแล้วลุกขึ้นมา ก็เห็นหันซังเย่ว์อุ้มสตรีที่คลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำเข้าประตูมาด้วยความเร่งรีบ “คุณหนูเหยา เร็วเข้า! ช่วยนางที!”
“นี่คือ…” เหยาเยี่ยอวี่เดินเข้าไป แล้วคลี่ผมอันยุ่งเหยิงออกก็เห็นใบหน้าของสตรีคนนั้น จึงรู้สึกสะดุ้งใจทันที “อวิ๋นเหยาจวิ้นจู่?”
เฉิงอ๋องเดินตามเข้าไปในประตู สีหน้าก็ดูหม่นหมองอย่างมาก พอเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ไม่สนฐานันดรศักดิ์ที่เป็นถึงท่านอ๋อง แค่ทำมือคารวะ “คุณหนูเหยา ได้โปรดช่วยเหยาเอ๋อร์ที”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันตอบกลับ “เพคะ”
หันซังเย่ว์อุ้มนางไปวางบนตั่งไม้ เหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปจับชีพจรให้อวิ๋นเหยา จึงรู้ว่านางแค่เหน็ดเหนื่อยเกินไป ขาดสารอาหารและตากลมหนาว ทำให้ไข้ขึ้นสูงจนสลบหมดสติไป อย่างอื่นไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงจึงบอกกล่าวเฉิงอ๋อง และให้เหล่าสาวใช้ล้างและเช็ดตามเรือนร่างของนางหน่อย แล้วเชิญให้ท่านอ๋องและแม่ทัพหันออกไปด้านนอกก่อน
เฉิงอ๋องได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ถึงจะรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เลยไปคอยด้านนอกกับหันซังเย่ว์
ตอนที่ชุ่ยเวยและคนอื่นๆ เช็ดตัวให้อวิ๋นเหยา ก็เห็นตรงซอกคอและหน้าอกเต็มไปด้วยรอยแดง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ ส่วนน้าตู้ซานก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
แน่นอนว่าเหยาเยี่ยนอวี่รู้ทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้จึงได้สั่งการพวกนาง “พวกเจ้าไม่รู้อะไร ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ห้ามเอาเรื่องนี้ไปนินทาจวิ้นจู่ ได้ยินหรือยัง!”
น้าตู้ซานจึงตอบกลับก่อน “เจ้าค่ะ คำพูดของคุณหนูบ่าวจดจำไว้แล้ว”
ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงติดตามเหยาเยี่ยนอวี่ตั้งแต่เด็ก จึงได้อุดอู้อยู่แต่ในจวนเหมือนเหยาเยี่ยนอวี่ตั้งแต่เด็ก ไม่ค่อยมีความรู้ด้านการเสพสังวาสระหว่างชายหญิง และไม่รู้ว่ารอยแดงพวกนี้คืออะไร แค่เห็นคุณหนูออกคำสั่งอย่างเด็ดขาด พวกนางก็ทำได้เพียงรับคำว่า “ใช่”
เหยาเยี่ยนอวี่ฝังเข็มขับพิษเย็นให้อวิ๋นเหยาเพื่อลดไข้ให้นาง จากนั้นตนก็ออกจากห้อง
นางไม่ใช่คนใจกว้าง พอนึกถึงหลายๆ เรื่องที่อวิ๋นเหยาทำกับนาง แล้วยังนึกถึงเรื่องที่นางเดินทางขึ้นเหนือโดยไม่คิดชีวิต ภายในใจก็รู้สึกตึงเครียดยิ่งนัก อย่างไรหลังจากฝังเข็มไปแล้วก็คงไม่เป็นอะไรมาก ดังนั้นจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรจะดีกว่า
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม อวิ๋นเหยาก็ฟื้นขึ้นมา พอเห็นน้าตู้ซานที่รับใช้อยู่ข้างๆ ยังนึกว่าตนเองกลับถึงจวน แล้วจึงขานเรียกอย่างไม่รู้ความ “เสด็จแม่” จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
น้าตู้ซานไม่ชอบจวิ้นจู่ที่มีจิตใจอำมหิตและไม่ว่าด้วยเหตุผลคนนี้ ทว่านางก็ไม่มีทางเลือก