หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 339 พบกันใหม่ที่เมืองเฟิ่ง (2)
ตอนที่ 339 พบกันใหม่ที่เมืองเฟิ่ง (2)
การมีความกล้าที่จะไปแก่งแย่งบุรุษที่หมายปอง แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ทว่านางกลับตาบอดเกินไปแล้ว
โง่เขลาเกินไปแล้ว
สุดท้าย เหยาเยี่ยนอวี่ก็ทนไม่ไหว จึงมองตาของอวิ๋นเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเอ่ยถาม “จวิ้นจู่ ข้าขอเตือนอะไรท่านหน่อย ท่านยอมรับฟังไหม”
อวิ๋นเหยามองนางกลับด้วยแววตาพร่ามัว พร้อมพูดขึ้น “เจ้าว่ามา”
“การที่หมายปองคนคนหนึ่งนั้นไม่ผิด ทว่าสิ่งที่ควรทำก็คือรักและเห็นคุณค่าให้ตนเอง การรักใครสักคนจนไม่หลงเหลือความเป็นตัวของตัวเอง ความรักที่ตาบอดเช่นนั้น สุดท้ายคนที่ได้รับบาดเจ็บก็คือตนเอง”
อวิ๋นเหยาได้ยินคำพูดนี้ก็ครุ่นคิดด้วยความจริงจังไปสักพัก จากนั้นก็ยิ้มขึ้นทันที “เหยาเยี่ยนอวี่ จริงๆ เจ้าก็คิดไปเองเก่งเหมือนกันนะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางหันหลังไปเก็บตำราสองสามเล่มที่ตนเองอ่านเมื่อครู่นี้เข้าไปในหีบ
“ข้าไปแล้ว ขอบใจเจ้าที่รักษาอาการของข้า แล้วยังมี…เสื้อผ้าของเจ้าด้วย” กล่าวจบ อวิ๋นเหยาหันหลังเดินออกไป
หันซังเย่ว์เล่าเรื่องที่ยาทาแผลเปื่อยถูกยึดไว้ลอบจำหน่ายด้วยราคาสูงลิ่วให้เฉิงอ๋องฟัง เฉิงอ๋องจึงลากตัวเจ้าของร้านยาในเมืองกู้กลับไปที่เมืองหลวงด้วย เหยาเยี่ยนอวี่และคนอื่นๆ ก็เก็บสัมภาระแล้วออกจากเมืองกู้เพื่อเดินทางต่อ
ระหว่างทางกลับเมืองหลวงของพวกอวิ๋นเหยา นางพาทหารจิ่นหลินตามหาหู่โถวและจูกวนเอ๋อร์อีกครั้งจนเจอ จึงขุดศพของหู่โถวออกมาแล้วใช้แส้ตี แล้วยังสั่งให้คนไปลากตัวแม่เฒ่า จูกวนเอ๋อร์และบิดาของเขามาจับกุมตัวไว้จนหมด จากนั้นก็แขวนพวกเขาไว้บนต้นไม้และยิงธนูใส่พวกเขา พวกเขาจึงตายคาต้นไม้ทันที
ส่วนทางฝั่งของหันซังเย่ว์ที่นำทหารยอดฝีมือสองพันนายส่งเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมทั้งยารักษาแผลเปื่อยสิบกว่าคัน พวกเขากินกลางดินนอนกลางทรายอีกห้าหกวัน เดินทางผ่านเป่ยหยวน เดินอ้อมลำธารระหว่างหุบเขา ท้ายที่สุดก็ไปถึงเขตแดนกันโจว
กันโจวได้รับผลกระทบการศึกสงครามครั้งนี้ ดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยต้นไม้ที่ไหม้เกรียม อีการ้องครวญครางและบินผ่านไปเป็นฝูง แล้วยังกลิ่นไม่พึงประสงค์ของควันสงคราม หรือแม้กระทั่งยังมีกลิ่นเน่าเสียของศพ
กระแสลมทิศเหนืออันหนาวสะท้าน ทำให้ผู้คนที่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นหนายังจนถึงกระดูก มือของเหยาเยี่ยนอวี่ที่จับบังเหียนม้าแข็งจนไร้ความรู้สึก หันซังเย่ว์กลัวว่ามือและเท้าของนางจะแข็งจนเป็นแผล จึงโน้มน้าวให้นางกลับไปในรถม้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่านางกลับไม่ยอมกลับไป และพูดด้วยความรื่นเริง “ท่านแม่ทัพเซ่าไม่เชื่อยาที่ข้าปรุงว่าใช้ได้ผลจริงหรือ”
หันซังเย่ว์พลันพูดขึ้นยิ้มๆ “ข้ามิบังอาจ ต่อให้ข้าไม่เชื่อสรรพสิ่งใดในใต้หล้านี้ ก็ไม่มีทางไม่เชื่อยาที่คุณหนูเหยาคิดค้นอยู่แล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างชื่นบานแล้วกวาดสายตามองไปยังผืนป่าที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็ยกแส้ม้าขึ้น แล้วพูดว่า “แม่ทัพเซ่า พวกเราแข่งกันอีกเสียรอบเถอะ”
“ได้” หันซังเย่ว์ก็ยิ้มอย่างดีใจ ตลอดทั้งทางที่เดินทางมากับนางเป็นการเดินทางที่มีความสุขมาก ต่อให้อากาศจะหนาว หรือต้องกินกลางดินนอนกลางทรายอย่างไร ก็ถือเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินอย่างหนึ่ง
“ไป!” ตอนนี้ฝีมือการขี่ม้าของเหยาเยี่ยนอวี่ยอดเยี่ยมมากแล้ว นางฟาดบังเหียนม้าลงแล้วเร่งม้าวิ่งอย่างเร็วด้วยความมั่นใจ
หันซังเย่ว์ช้ากว่านางไปหนึ่งก้าว พอเห็นเสื้อคลุมสีขาวนวลจันทร์ลอยขึ้นกลางอากาศ เขาจึงยิ้มอย่างดีใจ จากนั้นถึงจะเร่งม้าตามไป
พ่อบ้านฉังเหมาแค่นเสียงเศร้าและถอนหายใจด้วยความกังวล พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “หัวหน้าพ่อบ้าน พวกเรามาถึงกันโจวแล้ว แล้วท่านยังจะถอนหายใจไปไยกัน”
“โชคดีที่พวกเรามีถึงกันโจวแล้ว! หากยังมาไม่ถึงอีก ใจของข้าก็คงขาดไปพอดี!” ฉังเหมาถอนหายใจลากยาวอีกครั้ง
“ท่านกำลังเป็นห่วงแม่ทัพของพวเราหรือ วางใจเถอะ ข้าได้ยินบ่าวคนสนิทของคุณหนูเหยาบอกแล้ว ท่านแม่ทัพไม่เป็นอะไร”
คำพูดนี้ฉังเหมาได้ยินมาแล้ว ตั้งแต่วันนั้นตอนอยู่เมืองกู้ หลังจากที่เฉิงอ๋องพบปะกับคุณหนูเหยา นางก็ดูรื่นเริงมากขึ้น ก่อนหน้านี้นางดูเศร้ารันทดและดูกังวลใจอย่างมาก พอแอบไปสืบหาเรื่องนี้ ก็ได้ยินมาว่าเฉิงอ๋องทรงบอกข่าวคราวอะไรบางอย่างกับคุณหนูเหยา บอกว่าท่านแม่ทัพไม่เป็นอะไร
ทว่า ท่านแม่ทัพไม่เป็นอะไร ทว่าฮูหยินกลับเป็นอะไรขึ้นมาเสียแล้ว! ดูจากสภาพในตอนนี้ ไม่นานแม่ทัพเซ่าหันคงจะค่อยๆ เดินเข้าไปอยู่ในใจของฮูหยิน!
หัวหน้าพ่อบ้านฉังเหมาจึงเศร้าใจยิ่งนัก
ในยามสายัณห์ เมืองเฟิ่งยังคงอยู่ห่างไกลจากที่นี่
ลมเหนือแผดเสียง แสงสีทองยามเย็นสอดส่องไปทั่วทุ่งหิมะ เหยาเยี่ยนอวี่ดึงบังเหียนม้าและหรี่ตามองที่ไกลๆ แค่รู้สึกว่าเมืองที่ถูกทำลายจากสงครามนั้นรกร้างอย่างยิ่ง
หันซังเย่ว์หยุดม้าอยู่ด้านข้างนาง แล้วมองกำแพงเมืองด้านหน้าที่ยังไม่ได้ผ่านการซ่อมแซมพร้อมถอนหายใจด้วยเสียงเบา “คนชาวหูช่างน่ารังเกียจริงๆ!”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหัวอย่างประหม่า
ประวัติศาสตร์ของแคว้นใดบ้างที่ไม่มีประวัติศาสตร์ด้านสงคราม ผู้อ่อนแอเป็นเนื้อ ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ได้กินเนื้อก้อนนั้น กฎแห่งธรรมชาติก็เป็นเช่นนี้ สรรพสิ่งในใต้หล้านี้ย่อมหนีไม่พ้นเช่นกัน
อยากให้ใต้หล้านี้ไม่มีศึกสงครามตลอดไปกระนั้นหรือ แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร เจ้ายินยอมแต่คนอื่นคงไม่ยอม ดังนั้น แม่ทัพ กองทัพ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญของการที่แคว้นแคว้นหนึ่งมีอิทธิพลและอำนาจอันยิ่งใหญ่
ตอนที่นางกำลังพร่ำบ่นในใจ จู่ๆ ก็เห็นประตูเมืองเฟิ่งเปิดออก มีทหารกลุ่มหนึ่งขี่ม้าออกจากประตูโดยเร็ว หันซังเย่ว์จึงพูดขึ้นอย่างดีใจ “พวกเขามารับพวกเราแล้ว ไป! เร็ว…รถม้าด้านหลังตามมาให้ทัน!”
เหยาเยี่ยนอวี่เป็นคนที่สายตาดีเป็นพิเศษ นางมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือใคร
ชุดออกรบสีน้ำตาลของบุรุษกำลังถูกลมพัดพลิ้วไหว เขายังสวมหมวกเงินและชุดเกราะทองสัมฤทธิ์ ม้าสีนิลใต้ร่างนั้นกำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว นั่นไม่ใช่เป็นบุรุษที่ตนเองสาบานไว้ว่าจะให้เขาเจอดีหรือไร
บุรุษที่องอาจผึ่งผายตลอดมา วันนี้ พอดูๆ แล้วกลับ…กลายเป็นบุรุษที่ค่อนข้างเงียบสงบ ตอนนี้แสงสีทองยามเย็นกระทบลงบนร่างเขา ราวกับเป็นวิหารทองคำและไฟที่ลุกโชน ซ้ำยังมีความป่าเถื่อนและความพร่างพรายแผ่ซ่านออกมาตัวเขา
เมื่อลมเหนือพัดผ่าน จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกแสบตาและแสบจมูกขึ้นมา ภายในใจเกิดความรู้สึกที่มิอาจบรรยาย ดังนั้นนางจึงหันข้างเพื่อหลบกระแสลม แล้วชะลอความเร็วของม้า
เมื่อเห็นหันซังเย่ว์เร่งม้าไปด้านหน้า แล้วยกง้าวเหล็กพลางแตะปืนยาวในมือของเว่ยจางเบาๆ ทั้งสองกำลังหัวเราะกันอย่างมีความสุข ทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่ก็อดสบถหยาบในใจไม่ได้ มารดาเจ้าน่ะสิ! ข้าฝ่าฟันอากาศที่เหน็บหนาวและเดินทางอย่างลำบากมาสิบกว่ากว่าวัน ซ้ำยังต้องนอนกลางดินกินกลางทราย กลางคืนยังต้องเร่งเดินทาง เพื่อที่จะมาเจอหน้าเจ้าสารเลวนี่!
ขบวนรถม้าเร่งความเร็ว และค่อยๆ ไปรวมตัวกับกองกำลังของเว่ยจาง
แววตาเย็นชาของเว่ยจางกวาดไปยังรถม้าหลายสิบคัน จึงเห็นหน้าฉังเหมาและเหล่าบ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพ และยังเห็นชุ่ยเวยและสาวใช้คนอื่นๆ ที่โผล่หัวออกมานอกหน้าต่างด้วยสีหน้าที่เคล้าด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับไม่เห็นหน้าเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่มองบุรุษด้วยสีหน้าเคล้าด้วยความคะนึง ความรู้สึกด้านลบในหลากหลายรูปแบบก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที
เจ้ามันสารเลว! กลับไม่มองข้าแม้แต่น้อย!
ท่ามกลางเสียงอันวุ่นวะวุ่นวายของผู้คนและรถม้า รถม้าหลายสิบคันและทหารสามพันกว่านาย กำลังคุ้มกันกลุ่มคนที่มีทั้งชายและหญิงเข้าไปในเมืองเฟิ่ง
ตอนนี้กองพันของเมืองเฟิ่งก็คือบุตรชายคนโตของกันโจวหลี่อี้หรง เมื่อเขาได้ข่าวว่าฮ่องเต้ทรงรับสั่งให้หมอหลวงเหยาและหมอหญิงอีกยี่สิบกว่าคนมาที่นี่เพื่อนำยาชั้นดีรักษาเหล่าทหาร เขาก็สั่งให้สาวใช้ในจวนของตนมาต้อนรับ หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่เข้าเมือง ก็แยกย้ายกับหันซังเย่ว์ แล้วติดตามผัวจื่อที่หลี่อี้หรงส่งมาไปถึงจวนของกองพัน
เหยาเยี่ยนอวี่กำลังพร่ำบ่นถึงกฎระเบียบของสังคมสมัยก่อนที่ชายและหญิงมีความแตกต่างกันไปด้วย ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปในจวนที่อบอุ่น จากนั้นก็บอกกับสาวใช้ที่ใต้เท้าหลี่ส่งมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เกรงใจว่าให้เตรียมน้ำร้อน นางจะอาบน้ำ
หลี่อี้หรงรู้ดีว่าหมอหลวงเหยานั้นเป็นหมอเซียน ทั้งยังรู้ว่านางเป็นว่าที่ภรรยาของแม่ทัพเว่ย เหตุเพราะศึกสงครามครั้งนี้ทำให้งานสมรสต้องเลื่อนไปก่อน มิเช่นนั้นนางคงกลายเป็นฮูหยินแม่ทัพไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงสั่งให้เหล่าสาวใช้ปรนนิบัตินางเป็นอย่างดี หมอหลวงเหยาต้องการสาวใช้หนึ่งคน เขาต้องเตรียมให้สิบคน บุคคลท่านนี้มิอาจละเลยได้