หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 342 ทำการรักษาในค่ายทหาร (1)
ตอนที่ 342 ทำการรักษาในค่ายทหาร (1)
เหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกคับอกคับใจอย่างมาก “เจ้ารู้หรือไม่ มีคนในจวนมากเพียงใดที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน พวกเขาต่างก็เป็นห่วงเจ้าอยู่จวนตาย! ฉังเหมาก็มาร้องห่มร้องไห้กับข้ามาหลายครั้ง”
แม่ทัพเว่ยยกมือไปจับแก้มที่แดงก่ำของนางแล้วเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “มีเพียงพวกเขาที่กังวลใจกระนั้นหรือ แล้วเจ้าล่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าเคร่งเครียด จ้องหน้าเขาไม่พูดไม่จา
“คุณหนูเหยาของพวกบ่าวต้องกังวลใจอยู่แล้วเจ้าค่ะ มิเช่นนั้นจะเดินทางมาไกลถึงที่นี่ไปไยกัน” ชุ่ยเวยที่อยู่ข้างๆ เปรยด้วยเสียงเบา นางทำแผลเสร็จ ก็เอายาห้ามเลือดที่มีส่วนผสมของดักแด้ทองโรยลงบนแผลของแม่ทัพเว่ย ยาพวกนี้ เมื่อเทียบกับยาก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ไม่รู้ว่าดีกว่ากี่เท่า
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นว่าชุ่ยเวยเริ่มเอาผ้าปิดแผล จึงยกมือดึงเข็มเงินออก แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ “ยังมีแผลตรงส่วนอื่นอีกไหม”
เว่ยจางส่ายหน้า “ไม่มี”
“แผลโดนน้ำไม่ได้ เรื่องนี้เจ้าไม่รู้หรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความโกรธ
เว่ยจางไม่อยากทำให้นางไม่สบอารมณ์ จึงรีบอธิบายขึ้น “ข้ารู้ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ตอนนั้นพวกเราซุกซ่อนตัวอยู่ในน้ำ นี่ก็เป็นเพียงเหตุสุดวิสัยเท่านั้น”
“อากาศเช่นนี้ พวกเจ้ายังซุกซ่อนตัวอยู่ในน้ำ?!” เหยาเยี่ยนอวี่เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “มีแม่น้ำที่ใดบ้างที่ไม่ก่อตัวเป็นน้ำแข็งหรือ”
“ไม่ได้ซ่อนอยู่ในแม่น้ำ แต่เป็นทะเลสาบเซียนหนู่ต่างหาก ในฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบเซียนหนู่จะไม่ก่อตัวเป็นน้ำแข็ง ทิวทัศน์งดงามยิ่ง รอให้ข้าขับไล่พวกเกาหลีออกไปจนหมด ข้าจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ อากาศเช่นนี้ในตอนนี้ ดอกไม้ริมทะเลสาบกำลังเบ่งบานอย่างงดงามพอดี นับว่าเป็นสวรรค์บนดินเลย”
พอพูดถึงเช่นนี้ จู่ๆ เว่ยจางก็นึกถึงเรื่องที่สำคัญอย่างมาก “พวกเขาบอกว่าที่นั่นมีหญ้าอายุวัฒนะด้วย ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ เจ้ารู้เรื่องยาสมุนไพร ถึงเวลาพวกเราอาจจะได้หญ้าอายุวัฒนะกลับมาก็ได้”
“แค่สิ่งที่คนร่ำลือ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าอย่างขบขัน อะไรคือหญ้าอายุวัฒนะ อย่างกับเป็นหญ้าที่กินแล้วมีชีวิตชั่วนิรันดร์อยู่ค้าฟ้าแน่ะ
ชุ่ยเวยทำแผลให้เว่ยจางเสร็จก็เกลี้ยกล่อม “แม่ทัพต้องเชื่อฟังสิ่งที่คุณหนูของพวกบ่าวพูดด้วยเจ้าค่ะ แผลนี้โดนน้ำอีกไม่ได้ หลายวันมานี้ท่านต้องรักษาความอบอุ่นของร่างกายให้มาก อย่าทำให้ร่างกายหนาวสะท้านเด็ดขาด”
เว่ยจางไม่พูดไม่จา แค่มองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วอมยิ้ม
“นางกำลังคุยกับเจ้าอยู่ มิได้ยินหรือไร” เหยาเยี่ยนอวี่ขึงตามองเขา
“อืม” เว่ยจางพยักหน้า “มียาวิเศษของเจ้า แผลเล็กๆ เช่นนี้สบายอยู่แล้ว”
“ช่วยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หน่อย!” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงอดเตือนเขาไม่ได้ “เจ้ารู้ไหม ผู้ที่มีเป็นหมอเบื่อผู้ป่วยที่ไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายของตนเองที่สุด รู้ไหม ทำไมเขาถึงเรียกว่าพักฟื้น ผู้ที่มีอาการป่วยแล้วก็ต้องรู้จักพักฟื้นร่างกาย! พวกเจ้าไม่ให้ความสำคัญกับร่างกายตัวเอง ไม่ว่าพวกเราจะปรุงยาอะไรออกมาหรือปรุงออกมามากเท่าใด ก็เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้ว” เว่ยจางมองดวงหน้าเรียวเล็กที่ตึงเครียดตอนสั่งสอนคนจึงอดยิ้มไม่ได้ จากนั้นยกมือบีบแก้มของนาง พอเห็นชุ่ยเวยเอากล่องยาเดินจากไป จึงก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูของนางด้วยเสียงเบา
จู่ๆ เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือผลักเขาหนึ่งที แล้วพึมพำด้วยเสียงต่ำ “ไสหัวไป ข้าจะนอนแล้ว”
แม่ทัยพเว่ยเห็นนางเขินอายจนหน้าแดง จึงหัวเราะออกมาแล้วจากไปอย่างดีอกดีใจ
ชุ่ยเวยวางกล่องยาแล้วหันกลับมาก็คลี่ยิ้มหยอกล้อ “คุณหนูเจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าท่านแม่ทัพดูค่อนข้างกลัวคุณหนูอยู่เหมือนกัน”
เหยาเยี่ยนอวี่เบะปาก “ค่อนข้าง? กลัวข้า?”
“สายตาที่แม่ทัพมองคุณหนูนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง อั๊ยโย บ่าวก็กล่าวไม่ถูกเช่นกัน แต่ถึงอย่างไร…อ้อ ก็เป็นเหมือนคำพูดที่คุณหนูสามซูเคยกล่าว นั่นก็คือ ‘อ่อนโยนประดุจผืนน้ำ’”
“เหอะ! นี่ยังเรียกว่า ‘อ่อนโยนประดุจผืนน้ำ’? ประดุจน้ำป่าไหลหลากหรือเปล่า”
ชุ่ยเวยเกือบจะหลุดหัวเราะ นางรีบยกมือไปปิดปาก คุณหนูเหยาปิดปากที่กำลังหาว แล้วเปรยขึ้น “พอเถอะ เหนื่อยจะตายแล้ว รีบเก็บกวาดแล้วกลับไปนอนเถอะ วันรุ่งขึ้นพวกเรายังต้องไปรักษาเหล่าทหารในค่ายอีก”
“เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยพลันตอบกลับและเดินเข้ามาปรนนิบัตินาง
รุ่งเช้าวันถัดไป เหยาเยี่ยนอวี่แต่งกายเสร็จก็พาชุ่ยเวย ชุ่ยผิง และหมอหญิงที่คัดเลือกมาจากสำนักแพทย์นั่งรถม้าไปรักษาเหล่าทหารที่ค่ายรองรับทหารบาดเจ็บ
ค่ายรองรับทหารได้รับบาดเจ็บที่กล่าวถึง ไม่ใช่ค่ายทหารที่สร้างขึ้นชั่วคราว แต่เป็นเรือนชาวบ้านที่หลี่อี้หรงสั่งให้คนไปเก็บกวาด ก่อนหน้านี้คนชาวหูเข้ามาปล้นและทำลายร้างเมืองเฟิ่ง ชาวบ้านหนึ่งในสามต่างก็ประสบกับภัยครั้งนี้ ดังนั้นเรือนที่ว่างเว้นในเมืองก็พอมีหลงเหลืออยู่บ้าง
อีกอย่าง ที่นี่มีอากาศทั้งชื้นและเหน็บหนาว ทหารที่ได้รับบาดเจ็บไม่สะดวกพักฟื้นร่างกายในค่าย ต่อให้ของที่นี่จะเก่ามากเพียงใด อย่างน้อยทุกบ้านก็มีเตาไฟ แค่นำฟืนมาเผาในเตาอุ่น ก็จะทำให้เรือนอบอุ่นขึ้นได้
ตั้งแต่ที่เว่ยจางพาทหารยอดฝีมือนับห้าหมื่นนายมาสู้ศึกกับศัตรูก่อนกองทัพอื่นที่กันโจว จวบจนถึงตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาสองเดือนแล้ว พวกเขาทำศึกสงครามกับข้าศึกที่กันโจวยี่สิบกว่าครั้ง ดังนั้นจึงยึดแผ่นดินนับสิบเจ็ดเทศมณฑลกลับมาจากคนชาวหูและเกาหลี จากนั้นก็ไล่คนพวกนั้นไปแม่น้ำถูหมู่ที่อยู่ห่างจากออกไปนับสามร้อยกว่าลี้
และหลังจากที่รบกับข้าศึกมายี่สิบกว่าครั้ง ไม่นับเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แค่นับทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสก็มีนับพันกว่านายแล้ว
หลี่อี้หรงสั่งให้คนเก็บกวาดเรือนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเฟิ่ง แล้วให้เงินกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเรือนพวกนั้นให้ย้ายออกไปที่อื่น จากนั้นก็ตั้งที่นั่นให้เป็นสถานที่พักฟื้นร่างกายสำหรับเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนึ่งพันกว่านายนี้
วันนี้เว่ยจาง หันซังเกอ หันซังเย่ว์ และอวิ๋นคุนปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับสถานภาพของกองกำลังตอนนี้ จึงไปค่ายทหารพักฟื้นเป็นเพื่อนเหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้ เขาจึงสั่งให้ถังเซียวอี้ไปเป็นเพื่อนนาง
การโจรกรรมครั้งนี้ เว่ยจางพาทหารยอดฝีมือสี่สิบนายติดตามไปเพื่อไปจู่โจมและทำลายการเจรจาทางการค้าขายกับคนเกาหลีและคนตงไอ่
เฮ่อซีและถังเซียวอี้ต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เฮ่อซีพาทหารม้าพร้อมธงของเว่ยจาง ค่อยๆ บุกเข้าไปในฐานซ่อนตัวของคนเกาหลี
ส่วนทางฝั่งของถังเซียวอี้ก็พาทหารม้าไปลอบดักคนเกาหลีอยู่รอบนอก ทั้งรองแม่ทัพถังและรองแม่ทัพเฮ่อดักข้าศึกด้านนอกด้านใน คนเกาหลีมีทั้งหมดสองพันกว่าคน และไม่ได้รอดชีวิตออกมาแม้แต่คนเดียว
วันนี้ รองแม่ทัพถังก็ได้เลื่อนตำแหน่งตามเว่ยจาง เขาได้รับผลพลอยได้ไปด้วย จึงได้เลื่อนขั้นจากเก้าอุ้ยขั้นที่หกไปเป็นเซวียนฝูสื่อขั้นที่ห้าของเขตปกครองตอนเหนือ
เหตุเพราะเหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางพลางขี่ม้า ถังเซียวอี้จึงขี่ม้าเสวนาอยู่ข้างๆ นางตลอดทาง
พวกเขาสองคนไม่มีทางพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทางการทหารอยู่แล้ว ส่วนมากที่คุยก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับเว่ยจาง
ตอนแม่ทัพออกรบสังหารข้าศัตรูไปกี่คน แม่ทัพวางแผนลอบจับโจรพวกนั้นอย่างไร หลังจากสู้รบ แม่ทัพมองเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บด้วยแววตาที่ไม่สบอารมณ์มากเพียงใด ทุกอย่างที่เสวนา ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแม่ทัพเว่ย
เหยาเยี่ยนอวี่แค่ฟัง บางครั้งก็ขมวดคิ้ว บางครั้งก็แย้มยิ้ม สุดท้ายรอให้รองแม่ทัพถังหยุดพูด นางถึงจะพูดขึ้น “ข้ามาที่นี่ กลัวว่าไม่มีใครดูแลเจ้าหมาป่าของเจ้า ข้าเลยส่งไปให้สหายคนหนึ่งของเจ้าช่วยดูแล”
“อ๋า?” ถังเซียวอี้ตะลึงงันแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดพี่สะใภ้ถึงไม่พามันมาด้วยเล่า! ว่าไปก็ไม่ได้เจอเจ้าหมาป่านั่นนานแล้ว รู้สึกเฝ้าคะนึงถึงมันมาก”
เหยาเยี่ยนอวี่ตกตะลึงกับการถูกเรียก ‘พี่สะใภ้’ มานานแล้ว เมื่อครู่มีทหารหลายคนเรียกนางหลายสิบรอบ หากทุกครั้งทุกคนขานเรียกนางเช่นนี้จากใจจริงเหมือนเขา เช่นนั้นนางก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไปแล้ว ดังนั้นนางจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะให้ผู้คนเรียกเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงพูดขึ้นยิ้มๆ “พามันมาที่นี่? ข้าต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย แม้กระทั่งตนเองยังดูแลไม่ไหว แล้วจะมีอารมณ์ไปดูแลมันได้อย่างไร อีกอย่าง เจ้าของใหม่ของเจ้าดีมากเพียงใด ดูเจ้าลูกหมาป่าตอนนี้คงกลายเป็นหมูตัวน้อยไปแล้ว”
“ไม่ใช่กระมัง!” ถังเซียวอี้ยกมือตบหน้าผากตนเอง “นั่นเป็นหมาป่า! จะเลี้ยงเหมือนแมวได้อย่างไร”