หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 347 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (2)
ตอนที่ 347 หมอเหยายกตนข่มท่าน แม่ทัพขอความช่วยเหลือ (2)
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา เว่ยจางก็ไม่พูดไม่จาเช่นกัน
หนึ่งคนแกล้งทำเป็นหลับ ส่วนอีกคนก็นั่งเช็ดผมให้อีกฝ่ายเงียบๆ พวกเขาตกอยู่ในความเงียบงันเช่นนี้ไปสักพัก จากนั้นไม่นาน เว่ยจางก็ได้ยินเสียงหายใจลากยาวและแผ่วเบาของคุณหนูเหยาดังขึ้นจึงหันไปดู กลับเห็นว่านางหลับไปแล้วจริงๆ
เว่ยจางยิ้มอย่างประหม่าแล้วโยนผ้าชื้นน้ำไปไว้ข้างๆ จากนั้นยื่นมืออุ้มนางไปนอนบนเตียงแล้วห่มผ้าให้
ที่นอกประตู ชุ่ยเวยจะไปรินน้ำชาได้อย่างไร นางสั่งให้ปั้นซย่าและสาวใช้คนอื่นๆ แยกย้าย ส่วนตนก็เฝ้าอยู่ตรงใต้ชายคาระเบียงไม่กล้าไปไหน
ทว่าพูดถึงฉังเหมาที่ได้ข่าวว่าแม่ทัพของตนกลับมาจึงตามมาที่นี่ทันที พอมาถึงก็เห็นเรือนเงียบสงบ มีเพียงชุ่ยเวยที่สวมเสื้อคลุมขนหนูสีนิลนั่งกอดอกพิงเสา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ จึงเดินเข้าไปหานางด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
“แม่นางชุ่ยเวย เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ไปไย แม่ทัพของข้า…” ฉังเหมาเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลม พอเห็นชุ่ยเวยนั่งตากลมหนาวอยู่ที่นี่จนตัวสั่น ความคิดอันยิ่งใหญ่ที่เขาคิดเมื่อครู่นี้ก็หายไป
“คนอย่างเจ้าไร้มารยาทเกินไปหรือเปล่า!” ชุ่ยเวยถลึงตามองฉังเหมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วทำเสียงฮึดฮัด “ที่นี่มันที่ใดกัน เจ้าอยากเข้าก็เข้ากระนั้นหรือ ยังไม่รีบออกไปอีก”
ฉังเหมาจึงเข้าใจขึ้นมาทันที แม่ทัพของเขาต้องแอบพูดอะไรเงียบๆ กับฮูหยินอยู่แน่นอน ดังนั้นจึงพูดขึ้นยิ้มๆ ด้วยเสียงต่ำ “เจ้านี่สุดยอดจริงๆ! วันนี้เจ้าติดตามฮูหยินออกไป เกรงว่าคงจะเหนื่อยเกินไป ถึงได้ไม่สบอารมณ์เช่นนี้”
ชุ่ยเวยเกียจคร้านไปมากความกับคนเช่นนี้ จึงพึมพำด้วยเสียงเบาแล้วละสายตาไปทางอื่น
“นี่ ข้าพูดอยู่?” ฉังเหมานั่งลงข้างชุ่ยเวยแล้วเอ่ยถามเสียงเบายิ้มๆ “ข้าได้ข่าวว่าฝีมือการแพทย์ของเจ้าก็เก่งกาจใช่ย่อยนี่”
ชุ่ยเวยกลอกตามองบนใส่ฉังเหมาแล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะพูดอะไรก็พูดมาสิ แล้วจะมายืนใกล้ข้าไปไย ไปยืนไกลๆ โน่น มิเช่นนั้นเชื่อไหมว่าข้าจะเข้าไปรายงานแม่ทัพของเจ้า”
“เชื่อ ข้าเชื่อ” ฉังเหมาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม แล้วถอยไปยืนที่ไกลๆ อย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ค้อมลงไปใกล้นาง พูดเสียงเบา “แต่ว่าพวกเราสองคนอยู่ห่างกันมากเช่นนี้ ข้าพูดเสียงเบา เจ้าคงไม่ได้ยิน ขืนพูดเสียงดัง ก็อาจทำให้คนที่อยู่ข้างในแตกตื่นได้ แล้วจะทำเช่นไร”
ชุ่ยเวยทำเสียงฮึดฮัดเพราะรู้สึกขบขัน สบถขึ้น “หุบปากของเจ้าไปเสีย! ระวังแม่ทัพออกมาเฆี่ยนเจ้าล่ะ”
ฉังเหมาไม่ได้โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แค่สีหน้าดูหม่นหมองขึ้นมา เขาแกล้งทำท่าทางน่าสงสาร อ้อนวอนเบาๆ “โธ่! น้องสาวผู้แสนดี หากเจ้ากลัวว่าแม่ทัพจะเฆี่ยนข้า พวกเราไปคุยกันทางโน้นเถอะ”
ชุ่ยเวยกลอกตามองบนใส่เขาอีกครา ไม่ยอมสนใจเขา
ฉังเหมาขยับเข้าไปใกล้ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “น้องสาวผู้แสนดี ถือว่าขอร้องเจ้าแล้ว หลายวันมานี้ข้าปวดฟันมาก เจ้าช่วยดูอาการให้ข้าทีได้ไหม ฝังเข็มหรือไม่ก็จ่ายยาให้ข้ากินหน่อยก็ได้”
ชุ่ยเวยต้องการคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ทว่าก็กลัวว่าจะรบกวนคนที่อยู่ในเรือน ดังนั้นนางเลยเอายาเม็ดสองเม็ดที่อยู่ในถุงบุหงาออกมาใส่ไว้ในมือของฉังเหมา “คืนนี้กินหนึ่งเม็ด พรุ่งนี้เช้ากินอีกเม็ด แค่บรรเทาอาการร้อนใน เจ้าก็จะดีขึ้นเอง”
ฉังเหมารับเม็ดยามาแล้วกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้ม่านประตูเปิดออก แม่ทัพเว่ยเดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น ฉังเหมาหันไปก็เห็นสีหน้าของแม่ทัพเขาแล้วลอบพึมพำว่าแย่แล้ว จากนั้นก็รีบเดินหน้าไปค้อมตัวลงแล้วยิ้มอย่างรู้สึกผิดทันที “นายท่านขอรับ บ่าวสั่งให้คนเตรียมมื้อค่ำไว้แล้ว จึงอยากจะมาถามว่าจะให้ส่งอาหารมาทางนี้หรือไม่”
“ส่งมาทางนี้ไปไย” น้ำเสียงของเว่ยจางทั้งเย็นชาและทุ้มต่ำ ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทะเลาะกับคนที่อยู่ในนั้น
ภายในใจของชุ่ยเวยคิดถึงแต่เหยาเยี่ยนอวี่ จึงกวาดสายตามองไปที่ประตู ทั้งสองเกิดปัญหาอะไรกันหรือ แต่นางเฝ้าอยู่ข้างนอกมาตลอด แม้แต่เสียงทะเลาะกันก็ยังไม่ได้ยิน นี่พวกเขากำลังทำอะไรอยู่
เว่ยจางพูดด้วยเสียงต่ำ “นางหลับไปแล้ว เจ้าเข้าไปเถอะ”
ชุ่ยเวยพลันค้อมตัวตอบแล้วหันหลังเข้าไปในเรือนทันที
“จุ๊!” ฉังเหมาแค่นเสียงเบา ส่ายหัว
เว่ยจางพลันเดินออกไปด้านนอก ฉังเหมาเดินตามไปอย่างรวดเร็ว พอเดินไปถึงนอกประตูแล้ว เว่ยจางก็เอ่ยถามด้วยเสียงเย็นชา “วันนี้เจ้าไปไหน ทำอะไรมา”
“เรียนนายท่าน วันนี้บ่าวคอยติดตามข้าหลวงหลี่ ช่วยเขาขนยาพวกนั้นไปไว้ในเรือนเก็บของขอรับ”
“เจ้าว่างมากหรือไร!” เว่ยจางตวาดด้วยความโมโห “หลี่อี้หรงมีข้ารับใช้ของตนเอง แล้วยังต้องการให้เจ้าไปช่วยด้วยหรือ”
ฉังเหมาก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไร ภายในใจคิดว่า ท่านไม่ให้พวกบ่าวติดตามไปค่ายทหาร แต่พวกบ่าวมากันสองร้อยกว่าคน แล้วจะให้กินๆ นอนๆ โดยไม่สร้างประโยชน์อะไรเลยหรือ
ทว่าแม่ทัพเว่ยก็ไม่อยากมากความกับฉังเหมา แค่สั่งการโดยตรง “เจ้าพาคนไปค่ายทหารพักฟื้นตัวตอนนี้เดี๋ยวนี้ ไปดูว่าหลูถงก่วงทำอะไร บอกว่านี่เป็นคำสั่งของข้า คืนนี้ต้องทำความสะอาดค่ายให้เรียบร้อย! วันรุ่งขึ้น หากยังทำให้ใต้เท้าเหยาของพวกเจ้าพึงพอใจไม่ได้ พวกเจ้าก็รอโดนเฆี่ยนได้เลย”
“ขอรับ” พ่อบ้านเอกฉังเหมาได้ยินคำว่าเฆี่ยน แขนจึงเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันถัดไป แม่ทัพเว่ยมาหาว่าที่ภรรยาด้วยตนเองอีกครั้ง ตอนนี้เหยาเยี่ยนอวี่แต่งกายเสร็จเรียบร้อย นางยังคงใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางสีขาวนวลจันทร์ ประดุจดวงจันทราที่สว่างไสว เยือกเย็นแต่สดใส ทำให้รู้สึกเย้ายวนใจ
เหล่าสาวใช้น้อมคำนับเว่ยจางด้วยความพร้อมเพรียง เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินเสียง ทว่ากลับไม่ได้หันไปมอง
เว่ยจางเดินไปใกล้สตรีที่โปรดปราน และสังเกตมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้น “ชุดที่เจ้าสวมใส่ไม่เลวเลยจริงๆ”
“นี่เป็นชุดเครื่องแบบขุนนาง ก็ต้องไม่เลวอยู่แล้วสิ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดเสียงเรียบ
แม่ทัพเว่ยดูอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ เขาไม่รอให้คนอื่นเชิญนั่ง ก็ไปนั่งลงบนตั่งไม้ด้วยตัวเองแล้วพูดขึ้น “สั่งให้พวกนางตัดชุดที่เจ้าสวมใส่ประจำตามแบบนี้เพิ่มอีกสามสี่ชุดเถอะ”
คุณหนูเหยากลอกตามองบน ไม่อยากมากความกับคนคนนี้ จึงหันไปสั่งชุ่ยเวย “รีบเอาอาหารเช้ามาได้แล้ว”
ชุ่ยเวยหันไปมองปั้นซย่าเพียงปราดเดียว ปั้นซย่ารีบออกไปด้านนอก ไม่นานก็พาไม่ตง เซียงหรูและคนอื่นๆ ยกอาหารเข้ามา
มื้อเช้าเป็นข้าวต้ม แป้งนึ่ง และผักดองอีกสองชนิด ว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องทุกข์ทรมานธรรมดา ทว่าในที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่มีทางได้กินผักสดอยู่แล้ว ต่อให้มีผักสดจริงๆ ก็ถูกชาวหูปล้นชิงไปหมดแล้ว ผักดองนี้ หนิงฮูหยินน้อยทำให้นางพกมาโดยเฉพาะ
เว่ยจางเห็นจึงรู้สึกเอ็นดูนาง ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “ไม่ใช่ว่ายังมีเนื้อหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่เอ่ยสิ่งใด ชุ่ยเวยจึงพูดด้วยความลำบากใจ “คุณหนูชอบกินอาหารจืดชืดเจ้าค่ะ”
เว่ยจางขมวดคิ้วไม่เอ่ยอะไร ภายในใจกลับยังรู้สึกไม่เข้าใจ เขาคิดว่านางเติบโตในตระกูลมั่งมีตั้งแต่เด็ก แล้วจะเคยเจอกับความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร ชีวิตที่นางใช้ตอนอยู่ในจวนข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมืองสุขสบายมากเพียงใด เกรงว่าแม้แต่ข้ารับใช้ชั้นสามในจวนยังกินดีกว่านี้เลย
หลังจากกินมื้อเช้าที่เรียบง่ายเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดไม่จา ก็พาคนมุ่งตรงไปที่ค่ายทหาร
ครั้งนี้ผู้ที่ไปเป็นเพื่อนนางไม่ใช่ถังเซียวอี้ กลับเปลี่ยนเป็นแม่ทัพเว่ย
แน่นอนว่าเขาไม่อยากปล่อยเวลาที่จะได้อยู่กับนางล่วงเลยไปอย่างเสียเปล่าแม้แต่ชั่วยามเดียว ทว่าตอนนี้ภายในใจของเขากำลังคิดถึงแผนยุทธศาสตร์ศึกสงคราม เขาต้องการเวลาในการครุ่นคิด และตอนที่อยู่ข้างกายเหยาเยี่ยนอวี่ เขารู้สึกว่าตนจึงจะครุ่นคิดได้อย่างมีสติ ถ้าเขาไปฐานทัพ ภายในใจของเขากลับเฝ้าคะนึงถึงนางตลอดเวลา